ตอนที่ 935 ทางเลือกของชิวซิ่วหัว
ประตูทองห่างไกลตั้งอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่า แสงทองลอยอยู่ในอากาศและภายใต้จะมีโล่แสงเลือนลางซึ่งมีเพลิงโปร่งแสงลุกไหม้อยู่ ด้านนอกผนังแสงเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทะลักออกโดยรอบเหมือนกับทะเลทอง
ทันทีที่ผู้รอดชีวิตก้าวเข้าไป พวกเขากลายเป็นจุลก่อนที่พวกเขาจะทันดีใจ เพลิงโปร่งแสงไม่ได้รุนแรงแต่ตราบใดที่ผู้รอดชีวิตก้าวเข้าไปในผนังแสง พวกเขาจะไม่รอดชีวิต เห็นได้ชัดว่าผู้รอดชีวิตทะลักเข้าไปเหมือนคลื่น และเหมือนหยดน้ำที่ราดรดบนเหล็กร้อน พวกเขากลายเป็นหมอกเป็นไอ
ผู้รอดชีวิตคนแล้วคนเล่ามอดไหม้เป็นจุล
ประมุขผู้อาวุโสยังคงไม่เคลื่อนไหวขณะที่เขาจ้องมองผนังแสงอย่างเฉยเมย
ทันใดนั้นตาของประมุขผู้อาวุโสเป็นประกาย
หนึ่งในผู้โชคดีรอดชีวิตที่ไม่กลายเป็นเถ้าถ่าน ร่างของเขาเริ่มเปล่งเปลวเพลิงใส และสีหน้าของเขามีความเจ็บปวด ร่างเนื้อของเขาดูเหมือนหมูอ้วน เขาค่อยๆละลายขณะที่ถูกเผา จนกระทั่งหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือร่างหมองเลือนรางที่ยืนเงียบอยู่ภายในกรอบโล่พลัง เขามีสีหน้าว่างเปล่า และหน้าผากของเขาเปล่งรังสีสว่าง
ประมุขผู้อาวุโสขมวดคิ้ว ขุนพลวิญญาณมีคุณภาพทั่วไป แต่เขาคิดว่าก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร ประมุขผู้อาวุโสโบกมือ ขุนพลวิญญาณนั้นปลิวออกมาจากม่านแสงนั้นและก้าวเข้ามาในทะเลเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อบินออกมาจากม่านแสงทะเลเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่สงบแต่เดิมพลันปั่นป่วนเพลิงศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนลอยเข้ามาทันที และในพริบตาขุนพลวิญญาณใหญ่ถูกพันล้อมด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทองก็เปลี่ยนเป็นเพลิงสีแดงซึ่งคล้ายๆกับลูกไฟลอยอยู่ในทะเลสีทอง
ผู้โชคดีรอดตายยังคงหลั่งไหลเข้ามา และส่วนใหญ่เหลือแต่เถ้าถ่าน มีส่วนน้อยที่กลายเป็นขุนพลวิญญาณ ในทะเลเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทอง มีกลุ่มเพลิงสีแดงลอยอยู่มองดูคล้ายรังไหม
ประมุขผู้อาวุโสส่ายศีรษะ ‘ตามคาด,คุณภาพของขุนพลวิญญาณเกี่ยวข้องโดยตรงกับพลังของบุคคล ขุนพลวิญญาณที่ผลิตขึ้นจากอัศวินกวงหมิงคุณภาพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ขุนพลวิญญาณที่สร้างจากผู้โชคดีรอดตายไม่ได้คุณสมบัติที่ข้าต้องการเลยพวกเขาธรรมดาเกินไป และเป็นได้แต่เพียงทหารชั้นเลว’
โชคดีที่ความตั้งใจเดิมของเขาคือต้องการได้ทหารธรรมดาไว้ช่วยโซเฟียและพวกที่เหลือให้ได้มีบริวาร
‘มีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตั้งมากมาย ถ้าข้าไม่ใช้ก็จะสูญเปล่า’
เขารู้สึกเสียดายต่อตระกูลชั้นสูง ศิษย์ของพวกเขาโดดเด่นมากและอาจเป็นไปได้ว่าจะใช้สร้างขุนพลวิญญาณชั้นดีแต่ตระกูลชั้นสูงทั้งหมดมีประสบการณ์และไม่หวั่นไหวได้ง่าย คงไม่ง่ายที่จะหลอกพวกเขาให้เข้าไปในประตูแสง
ความเสียดายหายไปจากใจประมุขผู้อาวุโสอย่างรวดเร็ว เขามีความทะเยอทะยานในใจ เมื่อโซเฟียและขุนพลวิญญาณอื่นเปลี่ยนแปลงสำเร็จ เขาจะสามารถกวาดล้างได้ทั่วดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์
มันคือยุคแห่งแสงของเขา ยุคสำหรับวิหาร ยุคที่เป็นของเขา เขาเชื่อหนักแน่นว่ายุคเช่นนั้นจะต้องมาถึง
******************
ชิวซิ่วหัวมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนที่ตกพรำไม่หยุดทำให้เขางง
คำขอเข้าทวีปซางโจวของเขาถูกโกวเฉิงเวิ่นเต้าปฏิเสธ และเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอย ออกมาตั้งค่ายอยู่ในทวีปเล็กบนเส้นทางลำเลียง เขาไม่คาดว่าการเสริมกำลังอย่างกระวนกระวายของเขาจะต้องทำให้เขาต้องจ่ายราคาใหญ่และจบลงด้วยคำปฏิเสธนั้น ทำให้เขารู้สึกท้อแท้
กองเรือที่เต็มไปด้วยบาดแผลของม่อซินก็ยังถูกโกวเฉิงเวิ่นเต้าปฏิเสธ อย่างไรก็ตามม่อซินกับเขาไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้
ความแตกแยกระหว่างทั้งสามคือเรื่องที่ทุกคนรู้ดี ขณะที่ข่าวเกี่ยวกับการปะทะกันภายในเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ โกวเฉิงเวิ่นเต้าเป็นฝ่ายที่รักษาความเป็นกลาง เขาไม่ต้องการตอแยวิหารหรือตระกูล ดังนั้นเขาจึงยืนยันไม่ยอม และตัดสินใจรอให้สถานการณ์ขัดแย้งภายในและการต่อสู้เพื่อแย่งอำนาจกันในทวีปกวงหมิงจบลงเสียก่อน
ม่อซินเป็นคนของตระกูลม่อแห่งพันธมิตรตระกูลชั้นสูงและตั้งแต่ข่าวตระกูลชั้นสูงทอดทิ้งตระกูลชิวนั่นไม่ใช่เรื่องลับ ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย เหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายเป็นน้ำกับไฟ
เรื่องกะทันหันทั้งหมดนั้นทำให้การได้เปรียบของการรุกรานลงใต้หายไปอย่างรวดเร็ว
ความหวาดระแวงกันระหว่างสองแม่ทัพใหญ่ในแนวหน้าเกิดขึ้นกับทวีปกวงหมิงที่มีชื่อเสียงจะไม่ทำให้ชิวซิ่วหัวหัวเราะอย่างจำฝืนได้ยังไง
แต่เรื่องกังวลใจที่ใหญ่ที่สุดของเขาเกิดจากข่าวลือลับ
ตระกูลชิวและเขาตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ตระกูลชิวเป็นไม่กี่ตระกูลแรกที่เข้าร่วมกับพันธมิตรซึ่งก็หมายความว่าตระกูลชิวถูกวิหารขึ้นบัญชีดำเอาไว้แล้ว ด้วยพลังของวิหาร ถ้าพวกเขาปราบจลาจลได้ ตระกูลชิวคงยากจะหลบหนีจากชะตากรรมได้
นอกจากนี้ ตระกูลชิวถูกพันธมิตรทอดทิ้ง ซึ่งหมายความว่าถ้าพันธมิตรชนะการขัดแย้งภายใน ตระกูลชิวจะไม่มีวันที่ดีรออยู่ นอกจากนี้ ตระกูลชิวประสบความลำบากอย่างมากมายที่สุด และเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ซึ่งทำให้เขาคิดถึงคำว่าคนเดียวไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ ถ้าพันธมิตรชนะ พวกเขาจะยึดเอาทรัพย์สินของตระกูลชิวมาเติมเต็ม ชิวซิ่วหัวเข้าใจตระกูลชั้นสูง เขาเข้าใจรูปแบบการกระทำของพวกเขา ความโลภและความเลือดเย็นของพวกเขา และแม้แต่ตระกูลชิวเองก็คงทำถ้าพวกเขาอยู่ในสถานะที่ต่างกัน
ไม่ว่าใครเป็นผู้ชนะลงท้ายก็เป็นเรื่องแย่สำหรับตระกูลชิว ข้อแตกต่างประการเดียวก็คือตระกูลชิวถูกลงโทษ หรือไม่ก็ถูกตระกูลอื่นกิน
เมื่อเขาไม่แน่ใจในอนาคต เขาก็ได้รับทราบข่าว หรือจะพูดให้ถูกก็คือคำเชิญทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความว้าวุ่น
เป็นเวลาสามวันสามคืน ที่เขานอนไม่หลับ เนื่องจากเขาต้องแยกแยะข้อมูลที่อยู่ต่อหน้าเขา
ความจริง เมื่อข่าวถูกแพร่กระจาย เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ‘ทำไมแม่ทัพใหญ่ที่อยู่แนวหน้าจึงได้รับข้อมูลอย่างนี้ แต่สัมพันธมิตรใต้เป็นฝ่ายแพร่กระจายข่าวหรือเปล่า? ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สัมพันธมิตรใต้รวบรวมข่าวได้รวดเร็วกว่าเราที่เป็นชาวท้องถิ่น?’
หลังจากเขาทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้เขาได้ค้นพบอะไรอีกมากมาย
ตัวอย่างเช่น เขาตระหนักได้โดยไม่ทันรู้ตัวว่าการสนองตอบและความรับผิดชอบของทวีปกวงหมิงทำอย่างเรื่อยเปื่อย และมีข้อจำกัด เหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยออกแบบดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการของเขาเอง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากยิ่งขึ้นก็คือมือที่มองไม่เห็นนั้นประสานงานเป็นอย่างดีกับแผนการของสัมพันธมิตรใต้
ตัวอย่างเช่น การซุ่มโจมตีเส้นทางส่งบำรุง โกวเฉิงเวิ่นเต้าต้องการกำลังเสริม ขณะที่ม่อซินกับเขาเผชิญกับอุปสรรคพร้อมกัน พร้อมๆ กับความมั่นคงของทวีปกวงหมิงพังทลายความขัดแย้งภายในที่ทำให้ทุกคนกังวล โจรทวีปทอง แดนบาปการทำลายล้างของเรือรบรังสีกัมปนาทและการเอาชนะกองกำลังท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องการบุกรุกทวีปกวงหมิง ทวีปที่มีกองทัพมากที่สุด กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดมีกำลังพลไม่พอ
นี่ทำให้เกิดการลั่นระฆังศักดิ์สิทธิ์โดยตรง และการรวมกองทัพที่ทวีปเซียน ซึ่งทำให้พันธมิตรเห็นจุดอ่อนของวิหารและทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะเอาชนะวิหารได้
ช่วงเวลาที่เกิดความไม่สงบและการแทรกแซงทำให้ชิวซิ่วหัวสงสัยว่ามือสีดำที่มองไม่เห็นก็คือสัมพันธมิตรใต้ ไม่ใช่ความลับเลยที่ผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรใต้หายสาบสูญไปช่วงเวลาหนึ่งซึ่งพวกเขาไม่ได้พูดถึงกัน แต่ทุกคนรู้สึกว่าเหตุผลหลักที่สุดสำหรับการหายไปของเขาเป็นเพราะเขาไปหาการสนับสนุนอย่างเช่นจากทวีปทอง
แม้แต่คนที่กล้าที่สุดก็ไม่เคยคาดเดาว่าเขาจะลอบเข้าไปในทวีปกวงหมิง
ร่องรอยที่ชิวซิ่วหัวตามได้บังเอิญได้มาจากตระกูลชิว การทำลายล้างกองทัพตระกูลชิวสร้างความตกตะลึงให้กับชิวซิ่วหัวอยู่นาน ดังนั้นกลุ่มการค้าเมซฟิลด์จึงตกเป็นเป้าหมายเพ่งเล็งของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์โดยตรง ตระกูลสูงส่งตระกูลเล็กอย่างนั้นไม่มีทางเป็นที่ดึงดูดความสนใจได้ เมื่อชิวซิ่วหัวศึกษาตระกูลเมซฟิลด์ เขาตระหนักได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มาจากภูมิภาคตะวันตก เขาคิดได้ทันทีเกี่ยวกับเรื่องเกิดขึ้นต่อเนื่องในภูมิภาคตะวันตกการล้มเหลวของแม่ทัพระดับพลโทไม่ใช่เรื่องเล็ก
ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น พลโททั้งสองที่ล้มเหลวนำทัพสู้โดยตรงซึ่งนำกองทัพภูมิภาคตะวันตกหายสาบสูญ ซึ่งก็ถูกกลบโดยสงครามต่อเนื่องที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น
การปรากฏตัวครั้งแรกของทวีปทองก็คือในภูมิภาคตะวันตก เรือรบรังสีกัมปนาทถูกชิงมาจากสุสานเรือรบในภูมิภาคตะวันตก ความล้มเหลวของพลโทคอลลินเกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันตก มีแต่เรื่องบังเอิญมากเกินไป การพลาดล้มเหลวของสามพลโทอย่างต่อเนื่องกันสั่นสะเทือนทวีปกวงหมิง และทำให้พลเมืองหวั่นไหวและเป็นจุดเริ่มต้นในการกระทำโง่ๆ ของตระกูลชั้นสูง
ถ้านั่นคือเรื่องทั้งหมดทวีปกวงหมิงก็ยังสามารถทนรับได้ ความสำเร็จในการยึดทวีปซางโจวของโกวเฉิงเวิ่นเต้าทำให้กองเรือของเขาถูกซุ่มโจมตี เส้นทางส่งกำลังบำรุงถูกสัมพันธมิตรใต้โจมตีอย่างรุนแรง และโกวเฉิวเวิ่นเต้าเรียกขอกำลังเสริมทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกัน ชิวซิ่วหัวและม่อซินก็ถูกขัดขวาง และพวกเขาไม่สามารถสนับสนุนโกวเฉิงเวิ่นเต้าได้
หลังจากชิวซิ่วหัวคิดดูแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆมีการประสานงานและบังเอิญเกินไป ในบางความรู้สึก เหตุการณ์เล็กๆ ทั้งหมดนี้นำไปสู่การสร้างสถานการณ์ของทวีปกวงหมิง
ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจะสำเร็จหรือเวลาสมบูรณ์หรือไม่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบเกินไป
มีสงครามกลางเมืองการรุกรานลงภูมิภาคใต้ลดความเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้ลำบากจนวิหารต้องลั่นระฆังศักดิ์สิทธิ์ การตัดสินใจนี้ได้ถอดโซ่ตรวนที่วิหารล่ามตระกูลชั้นสูงไว้และทำให้พวกเขามองเห็นโอกาส
‘เป็นแผนที่มองการณ์ไกลจริงๆ’ ชิวซิ่วหัวเชื่อและเคารพคนที่วางแผนได้ไกลขนาดนั้นอย่างหมดใจจริงๆ
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันในทวีปเซียนทำให้เขาตระหนักว่าความตั้งใจที่แท้จริงของศัตรูไม่ใช่ที่โกวเฉิงเวิ่นเต้า แต่เป็นทวีปเซียน! ศัตรูวางแผนทำให้วิหารล้าเกินกว่าจะโต้ตอบ แต่สำหรับวิหารก็ยังส่งกำลังออกไปอย่างต่อเนื่องและสร้างความอ่อนแอให้ศูนย์กลาง
ชิวซิ่วหัวคาดว่าการตัดสินใจของวิหารลั่นระฆังศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องเกินคาดไปบ้าง แต่พันธมิตรตระกูลชั้นสูงเป็นบางสิ่งที่ผู้วางแผนไม่เคยมองไกลขนาดนั้น แต่ศัตรูรู้วิธีฉวยประโยชน์จากสถานการณ์ ‘ความจริงศัตรูแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดตระกูลชิวกลายเป็นตระกูลแรกที่เสียสละ’
ชิวซิ่วหัวไม่รู้จะพูดยังไง เนื่องจากตระกูลชิวเป็นก่อปัญหาและตอแยศัตรูเอง อาจกล่าวได้ว่าศัตรูทรงพลังเกินไปและด้วยการควบคุมระยะไกล ทุกย่างก้าวของพวกเขารุนแรงและทรงพลังมาก
ตั้งแต่เริ่มชิวซิ่วหัวคิดว่าผู้วางแผนก็คือผู้บัญชาการใหญ่ขุนพลวิญญาณของสัมพันธมิตรใต้ แต่เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าไม่ใช่ปิง แต่เป็นถังเทียน ในสถานการณ์ยุ่งเหยิงและซับซ้อนไฟไม่อาจส่องควบคุมระยะไกลได้ แต่ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับอุปสรรคขวากหนาม
ชิวซิ่วหัวฝืนหัวเราะขมขื่น ก่อนรุกรานลงใต้พวกเขามักจะดูถูกสัมพันธมิตรใต้ และเพียงหลังจากต่อสู้ซ้ำๆ กันพวกเขาจึงค่อยๆรู้จักความแข็งแกร่งของผู้นำสัมพันธมิตรใต้ แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าผู้นำของพวกเขายังคงอยู่
สถานะของถังเทียนไม่ได้เป็นความลับต่อวิหารอีกต่อไป ถึงขนาดที่พวกเขารู้ความสำเร็จของเขาในสวรรค์วิถี แต่สำหรับพวกเขา ความสำเร็จของเขาในสวรรค์วิถีไม่มีอะไร เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ในสวรรค์วิถีอ่อนแอเกินไปสำหรับชิวซิ่วหัวและพวก
แต่ขณะที่ชิวซิ่วหัวแยกแยะโยงใยสถานการณ์ไปทั่ว เขาตระหนักด้วยความเสียใจว่าทวีปกวงหมิงสูญเสียความหวังที่จะชนะเสียแล้ว เขาตระหนักว่าสัมพันธมิตรใต้องค์กรที่ดูไม่เหมือนผู้นำ ทรงพลังยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เพียงแค่ผู้นำคนนี้พวกเขาก็เปลี่ยนสถานการณ์ใหญ่ได้ ‘มีคนที่มีความสามารถขนาดนั้นอยู่ในโลกด้วยหรือนี่’
ทันใดนั้น เขาคิดถึงฉายาที่วิหารได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับถังเทียนไว้ว่า‘หนุ่มชาวฟ้า’
‘ชื่ออาจจะผิด แต่ฉายาไม่ผิดแน่’
สถานการณ์ในทวีปเซียนยังไม่จบ แต่ชิวซิ่วหัวสังหรณ์ใจว่าหนุ่มชาวฟ้าจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด ชิวซิ่วหัวเชื่อหนักแน่นว่าวิหารไม่รู้ตัวว่าพวกเขาเผชิญสัตว์ประหลาดแบบไหนอยู่กันแน่
เขารู้ว่าเขาและตระกูลชิวไม่มีคุณสมบัติรอให้ทวีปเซียนค้นพบปริศนานี้
เขาจำเป็นต้องปล่อยวางชะตาของเขาและของตระกูลของเขาก่อนจะทำอะไรอย่างอื่น