ตอนที่ 929 น้องข้าหรือน้องเจ้ากันแน่
เย่ว์หยางใช้ประโยชน์จากความรู้เก่าของฟงจีโดยผ่านการติดต่อกับหัวหน้าจินฟันทองในที่สุดก็ได้รับบัตรเชิญเข้างานเลี้ยงวันเกิด
ยกเว้นมีสถานะที่น่าเกรงขามจินฟันทองผู้ได้รับสินบนพิเศษเป็นผลึกปีศาจชั้นปราณฟ้าจะระมัดระวังวิ่งเต้นเรื่องของเย่ว์หยางเป็นพิเศษเขาพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อดึงชนชั้นสูงอย่างว์หยางให้เข้ามาในแวดวงการสื่อสารของราชาจื่อฟงให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้ แน่นอนว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไม่มีคุณสมบัติจะพบกับราชาจื่อฟงได้แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องดึงให้เข้ามาอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับหัวหน้าผู้ดูแลให้ได้
“พรุ่งนี้เช้าหัวหน้าผู้ดูแลจะกลับมายังเมืองลู่หลิวคาดว่าตอนบ่ายสามารถจัดสรรเวลานัดพบที่เหมาะสมได้ คุณชายไตตันโปรดรออีกสักคืน” จินฟันทองไม่เพียงแต่แสดงความเคารพเย่ว์หยางแต่ยังกระตือรือร้นกับจินหวินตาไฟสหายเก่าของเขา เขาพยายามดึงสหายไปร่วมกินดื่มด้วยกันกับเขา
“ไม่มีปัญหา!หอการค้าไตตันของข้ามีความตั้งใจจะร่วมอวยพรวันเกิด และข้าไม่รีบร้อน” เย่ว์หยางยิ้ม
“ในช่วงสองวันที่ผ่านมามีชนชั้นสูงมากมาย ข้ากำลังจะไปที่วังพอดีไม่ทราบว่าคุณชายไตตันสนใจจะไปดูที่ทางเพื่อหาข้อมูลไว้ก่อนหรือไม่เผื่อมีสหายที่คุ้นเคยกันจะได้พบปะสนทนากันที่วังหลวงได้!” เพื่อชดเชยความสามารถที่ขาดหายของเขาจินฟันทองต้องการชักชวนเย่ว์หยางให้ไปที่วังหลวง อย่าว่าแต่เย่ว์หยางเลยแม้แต่ฟงจีและจินหวินที่เพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นานก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก่อนมายังเมืองลู่หลิวนายใหญ่ไตตันผู้นี้ไม่เคยอยู่ในภูมิภาคสวนสวรรค์มาก่อน เมื่อเข้ามายังเมืองลู่หลิวเขาจะพบเจอสหายเก่าได้ยังไง
“หลังจากพักอาหารมื้อเที่ยง ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำ ข้าคิดจะเข้าไปในวังหลวง” เย่ว์หยางไม่สนใจเข้าไปสำรวจภูมิประเทศและสอดส่องหาข้อมูล
ถ้าไม่ใช่เพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมภูมิภาคสวนสวรรค์ถึงเป็นเช่นนี้ เขายังจะเดินหน้าต่อได้หรือ?
มองอย่างผิวเผินการจัดการจักรพรรดิแดนดินเขตแรกเป็นเรื่องง่ายงั้นหรือ?
นอกจากนี้แม้ว่าจักรพรรดิแดนดินทั้งสามกำลังสู้กัน คนธรรมดามีความสำคัญอย่างไร ทำไมกองทัพนับเป็นสิบล้านคนถึงสู้กันเองจนตายในสมรภูมิ?
การดิ้นรนต่อสู้กันนี้ดูเหมือนเป็นสงคราม แต่หลังจากวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง ในระหว่างเย่ว์หยางเย่ว์หวี่ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและจุ้ยมาวอี้ นั่นเหมือนเป็นการยืมเลือดเนื้อของชีวิตมนุษย์นับไม่ถ้วน... อะไรคือผลประโยชน์ที่จักรพรรดิแดนดินทั้งสามจะได้จากชีวิตและเลือดเนื้อของทหารนับสิบล้านบูชายัญด้วยเลือด? แม้แต่เขาก็ไม่รู้ความจริง เย่ว์หยางมีเหตุผลเชื่อได้ว่า นักสู้ระดับราชาขึ้นไปควรจะรู้แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เหตุผลทำไมการต่อสู้ของจักรพรรดิแดนดินจะต้องเสียสละด้วยเลือดเนื้อผู้คนเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่มีสถานการณ์ที่แปลกประหลาดในภูมิภาคสวนสวรรค์ ตัวอย่างเช่นขีดจำกัดความตายของกฎสวรรค์รอบๆบึงหยุดลม น่าจะบ่งบอกให้รู้ถึงสถานการณ์บางอย่าง
การมาเมืองลู่หลิวคราวนี้เย่ว์หยางคงไม่ทำเรื่องง่ายๆ อย่างการทรมาน ฆ่าคนชั่วยึดสมบัติแน่
เขายังต้องการได้ข่าวสารลับของภูมิภาคสวนสวรรค์จากนักสู้ที่แข็งแกร่งอย่างราชาจื่อฟงอย่างน้อยก็ต้องรีดเอาความจริงเกี่ยวกับบึงหยุดลมและเมืองแม่น้ำขาว (ไป๋เหอ)
หัวหน้าจินเห็นเย่ว์หยางตกลงว่าจะไปด้วย
เขากลับไปเตรียมตัวด้วยความดีใจ
แม้ว่าโดยผิวเผินคุณชายไตตันนี้ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งระดับปราณฟ้า อย่างไรก็ตามเขาได้รับการปกป้องจากองครักษ์ระดับปราณฟ้า เขาคงจะเป็นผู้มีเกียรติและสูงศักดิ์เป็นที่รู้จักการได้รู้จักบุคคลผู้มีเกียรติเช่นนี้เป็นข้อได้เปรียบใหญ่หลวงสำหรับตัวของเขาเอง นอกจากนี้คุณชายไตตันยังอายุเยาว์ วัยมากแต่กลับมีพลังขนาดนั้นใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ยกระดับพลังเติบโตจนเป็นนักสู้ปราณฟ้าในอนาคตเล่า?
“นักโทษที่ถูกจับมานี้ไม่ต้องพากลับไปคุมขังที่หอทงเทียนหรือ?” เย่ว์หวี่มักจะคิดว่ารถคุมขังนั้นธรรมดาเกินไปสำหรับคุมขังนักสู้ปราณฟ้าเหล่านั้นแม้ว่าคนร้ายเหล่านี้จะถูกเย่ว์หยางปราบแล้ว แต่พวกเขาอาจมีฝีมือที่ซ่อนเร้นไว้ก็ได้ เมื่อเย่ว์หยางจากไป พวกเขาก็สามารถหลบหนีได้
“สบายใจได้ พวกเขาไม่สามารถหนีได้” เย่ว์หยางใจเย็น
“คนพวกนี้ถูกปิดกั้นการใช้พลังแล้ว และมีจงกวนเฮยถูและไป๋หม่าคอยเฝ้าทั้งวันทั้งคืน พวกจงกวนรับประกันด้วยชีวิต ข้าคิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องนักโทษเป็นคนฝ่ายหอทงเทียนที่มาทันเวลา หากมีความผิดพลาดเล็กน้อยในระหว่างดำเนินการหรือแผนผิดพลาดเล็กน้อย เป็นไปได้ว่า ราชาจื่อฟงหรือคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันอาจหนีไปได้ ที่สำคัญที่นี่คือถิ่นของพวกเขาเรายังไม่พบเจอรายละเอียดแล้วลงมือทันทีเป็นการยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง”องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกว่าพานักสู้จากหอทงเทียนอย่างมารสัมฤทธิ์ฟ้ามาด้วยยังจะดีกว่า แม้ว่าจะมีอันตรายจากการเปิดเผยความแข็งแกร่งของชาวหอทงเทียน แต่ยังดีกว่าใช้กองกำลังสู้ต้านรับในหอทงเทียน
“สหายจากวังมารเป็นพวกที่พร้อมจะสู้ ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่พวกเขาจะพักอยู่ในโรงแรมได้อย่างปลอดภัยหรือไม่? จอมปีศาจบารุธและพวกจ้าวปีศาจพอมาหยุดพักอยู่ที่นี่ คนอื่นต่อให้ตาบอดก็ดูสถานะออก ถ้าพวกเขามาจริงแค่นั้นก็พอแล้ว!” จุ้ยมาวอี้รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่จะทำ
“ถ้าอู๋เสียอยู่ที่นี่ก็คงดี” เย่ว์หยางถอนหายใจ
ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เสวี่ยอู๋เสียจะกำหนดขั้นตอนของแผนการ ทุกคนช่วยปรับปรุงจนแผนการไม่ยากเกินไป
ตอนนี้นางอยู่ในห้วงนิทรา ทุกคนถึงได้รู้ว่าภาระที่สาวหิมะแบกรับไว้หนักหน่วงเพียงไหน
ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าต่อสู้กันมาแล้วกี่ศึกแทบจะนับไม่ถ้วน ผ่านอันตรายที่ตื่นเต้นแทบจะล้มเหลว มีวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ราชาเฮยอวี้, สนามสู้มรณะ, สู้กับจ้าวปีศาจโบราณ, การรุกรานของจักรพรรดินีฟ้า ฯลฯและเหตุการณ์ที่ต้าเซี่ยทั้งที่เป็นศึกใหญ่ศึกเล็กทั้งหมดเย่ว์หยางจะได้เสวี่ยอู๋เสียช่วยให้คำปรึกษาตัดสินใจ และได้ชัยชนะในที่สุด
แม้ว่าทุกคนจะช่วยเสริมแต่ก็เป็นแค่แต่งเติมปรับโครงสร้างของแผนให้สมบูรณ์
เย่ว์หยางโบกมือให้สัญญาณว่าสตรีทั้งสามไม่ควรจะใส่ใจเรื่องนี้เกินไป“แผนที่เรียกกันว่าแผนสมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องนั่นเป็นไปไม่ได้และไม่มีอยู่จริง แผนการไม่สามารถติดตามความเปลี่ยนแปลงของเหตุต่างๆ ได้ ตราบเท่าที่เรามีเส้นทางพื้นฐานในการก้าวไปข้างหน้าถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนักก็ตาม เมื่อรู้ว่าอู๋เสียไม่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าทุกคนก็ต้องช่วยข้าให้ดีที่สุด ไม่ต้องถึงกับเป็นแผนไร้ข้อตำหนิบกพร่องสำหรับการจัดการกับราชาจื่อฟงเราไม่จำเป็นต้องบรรลุความแข็งแกร่ง....แม้ว่าเขาจะหลบหนีได้ เราสามารถไล่ตามได้ อาจจะไม่สำเร็จเต็มร้อย ถ้าทำไม่สำเร็จ นั่นถือว่าเป็นขีดจำกัด”
เมื่อได้ยินเขาพูดสามสาวลอบหัวเราะกันทุกคน
คิดดูแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ
ด้วยพลังของเย่ว์หยางไม่ใช่เรื่องยากเกินไปกับการเอาชนะราชาจื่อฟง
มีความยากลำบากเพียงเล็กน้อยก็คือกวาดล้างทหารทั้งหมดที่ร่วมงานฉลองวันเกิดรวดเดียวได้ยังไงถึงจะไม่เหลือใครไปเตือนจักรพรรดิแดนดินทั้งสาม
แม้ถ้าพวกเขาจะถอยกลับ พวกเขาอาจทำให้จักรพรรดิแดนดินตื่นตัวและทำให้พวกเขารู้ถึงความคงอยู่ของเย่ว์หยาง พวกเขาจะระมัดระวังยอดฝีมือใหญ่ที่ปรากฏขึ้นมาไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะไม่สงสัยพวกจากหอทงเทียน..การไม่ทำให้พวกเขาแตกตื่นเป็นการดำเนินการตามแผนที่สมบูรณ์แต่ถ้าจักรพรรดิแดนดินตื่นตัว นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่ส่งผลร้ายแรงต่อสถานการณ์
เหตุผลที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกกังวลเพราะยังขาดเสวี่ยอู๋เสียที่ยังไม่ได้สติ นางมักจะวางแผนการที่สมบูรณ์ไร้ที่ติให้กับเขา
“เสี่ยวซาน!อย่างนั้นเจ้าไปเดินสำรวจก่อน ดูว่าสามารถได้ข้อมูลใดกลับมาบ้าง ถ้าใช้ไม่ได้อย่างนั้นข้าจะหาวิธีช่วยอย่างอื่น” เย่ว์หวี่เป็นคนสงบเยือกเย็น นางไม่ค่อยชอบการต่อสู้นัก ครั้งนี้นางอาสาลงมือเอง นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะพบเห็น
“ก็ได้!”
เย่ว์หยางรู้ว่านางไม่ต้องการให้เสวี่ยอู๋เสียล้มเหลวในช่วงอยู่ในห้วงนิทราดังนั้นนางจึงกระตือรือร้นมาก
แน่นอนว่านี่ยังเกี่ยวข้องกับพลังที่เพิ่มขึ้นฉับพลันของเย่ว์หวี่
ตอนนี้นางไม่ใช่เย่ว์หวี่ที่อ่อนแออีกต่อไปนางต้องการปกป้องเย่ว์หยาง เมื่อเย่ว์หยางต้องการ นางจะยืนหยัดเป็นพลังให้กับเขา!
ขณะเดินอยู่บนถนนในเมืองลู่หลิวผู้พำนักอาศัยอยู่ที่นี่แปลกมาก ต่างจากที่อื่นที่เย่ว์หยางเคยเห็นมาก่อน คนจนคนรวยแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน คนร่ำรวยดูดี คนจนขาดแคลนไม่มีอะไร คนร่ำรวยมีเสื้อผ้าใหม่มีพาหนะ ส่วนคนจนแทบไม่มีอะไรปิดกาย เด็กๆที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนนมองหาโอกาสสร้างรายได้ อย่างเช่นขัดรองเท้า อาบน้ำม้าให้เจ้าใหญ่นายโต และทำธุระให้คนรวย... พวกเขาลำบากร่างผอมแห้ง ทำงานหนักจนอย่างคาดไม่ถึงเพื่อเลี้ยงชีวิตให้รอดไปวันๆ
เป็นเรื่องดีที่มีเงินรายได้และที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนรวยเหล่านั้นอารมณ์ไม่ดี ไม่เพียงแต่ไม่ให้รางวัลแต่กลับเตะพวกเขากระเด็นจนซี่โครงแทบหัก
พวกทหารรับจ้างก็คล้ายกัน
ทหารรับจ้างที่มีผู้สนับสนุนจ้างก็นั่งอย่างสบายใจ
ทหารรับจ้างบางคนดูซึมกระทือเหมือนกับศพเดินได้เดินตามหลังคนอื่นด้วยการใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อให้ได้อาหารยังแทบไม่มีหวัง ทหารรับจ้างหลายคนเป็นพวกไร้บ้านพเนจรนอนอยู่ตามถนนโดยตรง นอกจากล่าอสูรที่ระดับต่ำกว่าปราณดินระดับห้าชั้นทองแล้ว พวกเขาบางคนก็ยังขาดแคลนอาวุธ
หากเปรียบเทียบทั้งสองฝั่งถนนอาคารสูงสง่าต่างๆ ทำให้เมืองลู่หลิวดูเจริญรุ่งเรือง
ที่นี่คือสวรรค์ของคนรวย
แต่เป็นนรกของคนยากจน
เย่ว์หยางถอนหายใจเบาๆแม้ว่าหอทงเทียนจะเข้มแข็ง และคนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่งก็ตาม แต่ไม่ว่าจะแย่เพียงไหนก็ยังไม่ถึงขนาดเมืองลู่หลิว อย่างจุนอู๋โหย่วเป็นจักรพรรดิ แม้ว่าจักรพรรดิบางพระองค์จะไม่ฉลาดแต่ก็มีการควบคุมเสนาบดีและจัดการวิถีชีวิตของผู้คน
ในทวีปมังกรทะยานแม้ว่าจะไม่รวมตัวกันดีพอ ถ้าท่านบากหน้าลี้ภัยอยู่ในตระกูลบางตระกูล ก็ยังพอมีอาหารกิน
เมืองลู่หลิวมองไปทางไหนก็มีผู้หิวโหยเป็นพันๆ คนในที่นี่นอนอยู่บนถนนจนน่ากลัว
จากเล็กจนโตเขาเกรงว่าไม่เพียงแต่เมืองลู่หลิวเท่านั้น
แต่เป็นอาณาจักรจื่อฟงทั้งหมด
แม้แต่ทั่วทั้งแดนดินสวนสวรรค์ก็เป็นแบบนี้
“หลบไปให้พ้นทาง เจ้าพวกคนชั้นต่ำพวกนักสู้ปราณฟ้าจะเข้าเมืองมาในอีกไม่นาน รีบไปตายที่ไหนก็ไปอย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาของข้า!” อีกด้านหนึ่งของประตูมีพวกทหารกำลังเดินมาตามทางและขับไล่คนอดอยากยากไร้ที่นอนอยู่บนถนนตะเพิดไล่พวกเขาให้เข้าไปตามตรอกเล็กซอยน้อยอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้อาคันตุกะนักสู้ปราณฟ้าต้องมาเห็นภาพที่น่าเกลียดของคนสกปรกเหล่านี้ คนที่ป่วยไข้บางคนเคลื่อนไหวได้ช้าลงพวกทหารก็ต่อยเตะขับไล่พวกเขาให้พ้นไปจากทาง
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับอาคันตุกะชั้นสูงของเมืองลู่หลิว!”
คนกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากวังหลวง ส่วนใหญ่จะแต่งตัวสวยงามและครึ่งหนึ่งเป็นทหารสวมเกราะอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาตั้งแถวพร้อมกันกล่าวทักทายทูตนักสู้ปราณฟ้าอย่างร่าเริง พวกทูตเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากราชาระดับเดียวกับราชาจื่อฟงและมีไม่กี่คนที่เป็นอาคันตุกะชั้นสูงที่ราชาจื่อฟงเชิญมาเอง พวกเขาได้รับการต้อนรับจากอำมาตย์ใหญ่ทั้งสามและหนึ่งในสี่แม่ทัพบริวารของราชา แม่ทัพอายุร้อยปีก็เดินทางมาสมทบด้วย
จินฟันทองแนะนำให้รู้จักกับเย่ว์หยางเดิมทีเนื่องจากเดินทางมาถึงตอนดึก แต่เพราะเส้นทางราบเรียบไม่มีอุบัติเหตุตามแนวขอบบึงหยุดลม ดังนั้นเขาเดินทางมาถึงล่วงหน้าเป็นเวลานาน
นักสู้ปราณฟ้าหลายคนมีพลังถึงระดับสาม
จัดตั้งเป็นกลุ่ม
อำมาตย์ใหญ่และแม่ทัพอายุร้อยปีบินเข้ามาในเมืองลู่หลิวพร้อมกับรอยยิ้ม
เดิมทีเย่ว์หยางไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ นักสู้ปราณฟ้าสิบกว่าคนเย่ว์หยางไม่เคยพบเห็นมาก่อน อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่บินเข้ามาแนวกลางมีคนหนึ่งร่างกายใหญ่โตถึงสิบเมตรทำให้เย่ว์หยางถึงมองตะลึงว่าถึงรูปร่างของยักษ์ผู้นี้ไม่สูงที่สุด ไม่ได้เตี้ยที่สุดและไม่มีอะไรดูพิเศษเกราะประจำตัวดูธรรมดาไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ เมื่อเห็นก็ไม่คู่ควรกับการจดจำ
พลังของเขาไม่เลว เทียบเท่าปราณฟ้าระดับสองส่วนในกลุ่มนี้เขามีพลังปราณฟ้าระดับสาม
“เจ้าหมอนี่เอง!” เย่ว์หยางแค่นเสียง
“มีอะไรหรือ?” หัวหน้าจินฟันทองกลัวแทบตาย คุณชายผู้นี้อารมณ์ไม่ดี ปกติเขาต้องการทุบตีคนและต้องการฆ่าก็ได้ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปตอแยกับกลุ่มนักสู้ปราณฟ้านั่นอันตรายมาก แม้ว่าคุณชายไตตันจะมีชาติตระกูลที่ดีและแม้ว่าสุดท้ายแล้วคุณชายไตตันจะไม่เป็นอะไร แต่ชีวิตน้อยๆ ของเขายากจะรักษาได้ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเย่ว์หยางให้กลับและเปลี่ยนใจไม่ต่อสู้และปะทะกับฝ่ายตรงข้ามที่นี่เพราะมีนักสู้ปราณฟ้าที่นี่หลายสิบคน!
เย่ว์หยางเขี่ยเขาออกไปและชี้ไปที่ยักษ์ที่สูงสิบเมตรและตะโกนเรียก “พบเจอสหายเก่า เจ้าบ้านั่นจะไม่ทักทายเราคุณชายกันหน่อยหรือ?น่าขายหน้าจริงๆ”
ยักษ์ใหญ่มองดูเย่ว์หยางตรงๆ
สีหน้าของเขาตะลึงเหลือเชื่อ
คนที่อยู่ข้างเขาเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามกระซิบถาม“เทียนลี่! นั่นสหายเจ้าหรือ?”
เหมือนกับว่ายักษ์ผู้นั้นพยักหน้าและหัวเราะเดินเข้ามาหาเย่ว์หยางทันที “มีโอกาสได้พบกันในที่ห่างหลายพันไมล์นึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก นึกไม่ถึงเลยว่าไม่พบเจอเด็กน้อยเจ้ามานานเจ้าเติบโตและมีพลังถึงระดับนี้ได้ เจ้าทำให้ข้าเล่าฮ่าวกลัวแทบตาย! แม้ว่าข้าจะได้ยินว่าเจ้ามาข้าคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาเอาในตอนนี้.. เฮ้..ชุดของเจ้าดูน่าสนใจ และแหวนระดับศักดิ์สิทธิ์นี่แหวนพิรุณบุปผา ไปปล้นมาจากไหน?”
นักสู้ปราณฟ้าเหล่านี้พอเห็นพวกเขาเป็นสหายเก่าก็แค่เหลือบตามองด้วยความสงสัยแล้วเดินหน้าต่อ
มีแต่หัวหน้าอำมาตย์ที่นัยน์ตาเป็นประกาย
เขาเรียกจินฟันทองมาถามถึงสถานะของเย่ว์หยาง..แน่นอนว่านอกจากชื่อของคุณชายไตตันแล้ว เขาไม่มีอะไรโดดเด่น หัวหน้าจินฟันทองรู้จักเพียงเท่านี้แล้วเขาจะให้ข้อมูลกับเขาได้ยังไง
“เมื่อเจ้าเข้าไปบริการเขา จงหาความจริงให้ได้เขาเป็นสหายของท่านเทียนลี่หรือไม่? เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เห็น!” พ่อบ้านผู้ดูแลสั่งงานหัวหน้าจิน
จินฟันทองพอได้รับความไว้วางใจเขาดีใจจนตัวแทบลอย
เย่ว์หยางอยู่กับที่และกระซิบคุยกับบุรุษยักษ์สูงสิบเมตร
เย่ว์หยางพูดพล่ามใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ“ข้าเห็นคนที่นี่มามากมาย แต่ไม่เคยเห็นคนอย่างเจ้าเลย! เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ธรรมดาเป็นถึงนักสู้ปราณราชันย์ระดับแปด แต่กลับแสดงตัวเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามงี่เง่า ทั้งยังเข้ามาอยู่ในประเทศเสื่อมโทรมอย่างนี้ เจ้าจะทำอะไรกันแน่หมิงลี่ฮ่าว! เจ้าหลอกคุณชายอย่างข้าสาหัสนัก ชั่วพริบตาข้าเชื่อว่าเจ้ามีพลังปราณฟ้าระดับสามจริงๆ!”
บุรุษยักษ์ผู้นี้คือหมิงลี่ฮ่าวที่เขาเคยพบเจอที่วิหารเทพจักรพรรดิอวี้ แต่ตอนนี้เขาทำตัวธรรมดาไม่มีรัศมีสีทองให้เห็นและแสดงพลังแค่เพียงปราณฟ้าระดับสาม
การอำพรางตัวตนมิใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยพลังปราณราชันย์ระดับแปดแต่แสร้งทำเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสาม?
เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาจะตายหากไม่ได้พล่ามออกมา!
หมิงลี่ฮ่าวกระซิบกำชับ “อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า นั่นจะไม่ดีสำหรับทุกคนเจ้าทำตัวเป็นคุณชายผู้ห้าวหาญต่อไป ส่วนสถานะข้าทหารรับจ้างระดับปราณฟ้า นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเราต้องทำ!”
“ให้เวลาอธิบายสิบวินาทีไม่เช่นนั้นก็จงหันหน้าจากไป และถือว่าเราไม่ใช่สหาย!” เย่ว์หยางยับยั้งท่าทางเอ็ดตะโรและไม่พูดอะไรต่อ
“ถ้าข้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ข้าคงไม่มาไอ้เมืองลู่หลิวเฮงซวยนี่แน่นอน ก็ได้..พบกับเจ้าแล้วถือว่าข้าซวยจริงๆ แต่ก่อนข้าจะเล่าให้เจ้าฟังข้าขอถามเจ้าก่อน เด็กน้อย! เจ้าเปิดแดนล่มสลายแห่งทวยเทพและได้พลังเทพมาใช่ไหม? เจ้ามาที่นี่ได้ยังไงและข้าหยั่งพลังของเจ้าไม่ออก พลังเจ้าเหนือกว่าข้าหรือเปล่า? เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?ถ้าอย่างนั้นจักรพรรดิอวี้ในอดีตที่อ้างว่าก้าวหน้าเร็วที่สุดในอดีตที่ผ่านมานั่นหมายความว่ายังไง?” หมิงลี่ฮ่าวสงสัยเกี่ยวกับเย่ว์หยาง
“เราคุณชายก้าวหน้าได้เร็วเป็นเพราะพรสวรรค์กับอัจฉริยภาพไม่มีอะไรเกี่ยวกับแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ” เย่ว์หยางตอบคำถามหมิงลี่ฮ่าวอย่างสรุป “ข้าตอบเจ้าเสร็จแล้ว ตาเจ้าบ้างเจ้ามาทำอะไรที่นี่? ว่าแต่จดหมายรักของข้าเขียนส่งไปตั้งมากมาย ทำไมน้องสาวเจ้าไม่ตอบเลยซักฉบับ?”
“ไม่ต้องมาถามข้าเกี่ยวกับธุระของเจ้า!” หมิงลี่ฮ่าวดูเหมือนจะเกรงหมิงเยี่ยกวงน้องสาว เขาปฏิเสธจะพูดต่อไป
“อย่างนั้นเจ้ามาที่นี่ เจ้าจะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าเจ้าเจ็บไข่จนทนไม่ไหวก็เลยออกมาเดินเล่นที่นี่” เย่ว์หยางแค่นเสียงไม่พอใจ
“บนถนนหนทางผู้คนพลุกพล่านพูดคุยเรื่องใหญ่ในประเทศนี้ไปหาร้านอาหารและค่อยนั่งพูดคุยดื่มกินกันเถอะ ถ้าข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง รับรองเล่ากันสามวันสามคืนก็ยังไม่จบ”หมิงลี่ฮ่าวมีสีหน้ายุ่งยาก ถ้าเย่ว์หยางยังมีพลังแบบเมื่อก่อน เขาคงฆ่าไปแล้ว แต่ตอนนี้เย่ว์หยางมีพลังแข็งแกร่งขึ้นมากเป็นพลังที่เขาหยั่งไม่ถึง เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเขาได้ แทนที่จะเป็นศัตรูของเขาควรดึงเขาเข้ามาเป็นพันธมิตรจะดีกว่า
อย่างไรก็ตามถือว่าไม่ใช่เรื่องแย่ที่ได้เจ้าผู้หน้าหนามากเล่ห์เหลี่ยมมาเป็นสหายร่วมแนว
เย่ว์หยางมีความคิดอย่างหนึ่ง ถ้าหมิงลี่ฮ่าวนี้ไม่ใช่พี่ชายของหมิงเยี่ยกวงอย่างนั้นเขาต้องหาทางฆ่าเขา
อย่างไรก็ตามหมิงเยี่ยกวงคือสาวน้อยที่เขาต้องการพิชิตความรักนางให้ได้ เจ้าผู้นี้เป็นพี่ชายผู้เข้มงวด พลังไม่เลว สมองดีและทำงานได้พิเศษถ้าได้เขาเป็นร่วมแนวก็คงไม่ถึงกับแย่
หลังจากคิดดูแล้วเขาตัดสินใจร่วมมือกัน
อย่างไรก็ตาม
โชคดีที่หมิงลี่ฮ่าวอ่านใจเขาไม่ออกมิฉะนั้นถ้าเขารู้ความคิดเย่ว์หยาง เขาคงสบถดังๆ แน่นอน “น้องข้าหรือน้องเจ้ากันแน่? บัดซบ!”