(ฟรี) บทที่ 240 พี่ชายที่ดีของเหลิงอู่เหยียน
เหลิงอู่เหยียนดูงงงวย “เจ้าถูกเปิดโปง?”
หลี่หรานก้มหัวลงและพูดว่า “อาจารย์ชิงหลันรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”
“อา?” เหลิงอู่เหยียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตาของนางจะเบิกกว้าง “เจ้าว่าไงนะ? เดี๋ยวก่อน! อะ...อวี้ชิงหลันรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา?”
หลี่หรานถอนหายใจ “ถ้าไม่มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็คง... ใช่”
สิ่งที่ทั้งสองคนเพิ่งพูดนั้นชัดเจนมาก
อวี้ชิงหลันเดาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหลิงอู่เหยียนออก นางแนะนำเขาว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครและบอกว่านางเข้าใจ
รูม่านตาของเหลิงอู่เหยียนสั่นเล็กน้อยขณะที่แก้มขาวผ่องของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง
‘ความสัมพันธ์ของข้ากับหรานเอ๋อร์ถูกล่วงรู้โดยนักพรตเต๋าสารเลวนั่น?’
นับตั้งแต่ที่นางตกลงรับคำสารภาพรักของหลี่หราน นางก็รู้ว่านางไม่สามารถเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้
นางไม่สนใจเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนอื่น มีข่าวซุบซินนินทาแล้วยังไง?
เช่นเดียวกับที่หลี่หรานพูด เลวร้ายที่สุดนางก็แค่ฆ่าทุกคนบนโลก
คนกลุ่มเดียวที่นางรู้สีกผิดด้วยอาจเป็นเหล่าศิษย์ของนิกาย
นางรู้สึกละอายเล็กน้อยที่ทำผิดกฎที่ตัวเองเป็นคนตั้งไว้
แต่นางไม่เคยคาดคิดว่าคนแรกที่รู้เรื่องนี้จะเป็นอวี้ชิงหลัน!
‘นักพรตเต๋าสารเลวนั่นจะต้องหัวเราะเยาะข้าแน่ๆถ้านางรู้ว่าข้าหลงรักศิษย์ของตัวเอง!’
‘ข้าเกรงว่าจะไม่มีหน้าไปเจอนางอีกในอนาคต!’
‘หรือข้าควรปิดปากนางเลยดี?’
‘แต่นางก็ไม่ง่ายที่จะจัดการ... เฮ้อ ข้าควรทำยังไงดี?’
เหลิงอู่เหยียนลูบคางที่เรียบเนียนของนางและเริ่มครุ่นคิด
ทันใดนั้นนางนึกถึงบางสิ่งและถามว่า “หรานเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่านางรู้แล้ว?”
หลี่หรานเกาหัว “เมื่อคิดดูแล้วข้าคิดว่ามันเป็นการพลั้งปาก”
เขาไม่ได้เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับด้ายสีแดง
นี่ไม่ใช่เพียงความลับของเขา มันยังเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของอวี้ชิงหลัน
นอกจากนี้ด้วยบุคลิกของเหลิงอู่เหยียน หากนางรู้ว่าเขาผูกมัดจิตวิญญาณกับอวี้ชิงหลัน นางอาจจะไปฆ่าอวี้ชิงหลันทิ้งเลยก็ได้
เหลิงอู่เหยียนพยักหน้าและไม่ถามต่อ
เมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของเขา นางก็ปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรหรอก ใครว่าอาจารย์กับศิษย์รักกันไม่ได้? ข้ากับเจ้ารักกัน ใครจะกล้าคัดค้าน?”
“ท่านอาจารย์...” ดวงตาของหลี่หรานเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในขณะที่เขามองดูใบหน้าที่แดงก่ำแต่มุ่งมั่นของนาง
“แม้ว่าอวี้ชิงหลันจะเกลียดข้าแต่นางก็ไม่ใช่คนชอบซุบซิบนินทา แม้นางจะรู้นางก็คงไม่บอกใคร” เหลิงอู่เหยียนวิเคราะห์
หลี่หรานพยักหน้าเห็นด้วย
อวี้ชิงหลันสัญญากับเขาว่านางจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครและเขาเชื่อมั่นในตัวของนาง
“ลืมมันไปซะ ข้าไม่สนใจหรอก” เหลิงอู่เหยียนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าสวยของนางฝังอยู่ที่คอของเขาและถูมันเหมือนลูกแมว
ตราบใดที่นางได้อยู่กับหลี่หรานนางก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น
หลี่หรานลูบหัวของนางด้วยความรักและพูดเบาๆว่า “เพื่อที่จะได้พบท่านอาจารย์ ข้าคงทำสิ่งดีๆในชีวิตที่แล้วมามากมายเลยจริงๆ”
เหลิงอู่เหยียนเงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยความรักใคร่ “รู้ได้ยังไงว่าชีวิตที่แล้วเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน?”
“ท่านอาจารย์พูดถูก” หลี่หรานระเบิดเสียงหัวเราะ
ใบหน้าของเหลิงอู่เหยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง “ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นยังไงข้าก็จะอยู่กับเจ้าตลอดไป และถ้าชาติหน้ามีจริงเจ้าก็ต้องมาสารภาพรักกับข้าอีกเข้าใจไหม?”
หลี่หรานยิ้ม “เช่นนั้นทำไมท่านอาจารย์ไม่สารภาพรักกับศิษย์คนนี้บ้างล่ะ?”
“อา?” เหลิงอู่เหยียนตกตะลึง
หลี่หรานแสร้งทำเป็นจริงจังและพูดว่า “ครั้งนี้ข้าเป็นคนริเริ่ม คราวหน้าก็ถึงคราวของท่านอาจารย์แล้วใช่ไหม?”
เหลิงอู่เหยียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าไม่เคยหยุดที่จะรังแกข้าเลยจริงๆ”
“ท่านอาจารย์ไม่เต็มใจเหรอ?”
ฮึ่ม!
เหลิงอู่เหยียนจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นท่าทางขุ่นเคืองของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
นึกถึงทุกสิ่งที่ทั้งสองประสบมา หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยน้ำผึ้งที่เข้มข้น นางขยับเข้าไปใกล้หูของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พี่หราน เหยียนเอ๋อร์ชอบพี่ที่สุดเลย~”
หลังจากพูดอย่างนั้นใบหน้าสวยของนางก็แดงก่ำทันที นางก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาเขา
“……” หลี่หรานนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความมึนงง หัวใจของเขาแทบจะกระโจนออกมา
ท่านอาจารย์ของเขา...
นางน่ารักมาก!
เขากลืนน้ำลายและพูดอย่างยากลำบาก “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม?”
“ไม่!”
“ขอแค่ครั้งเดียว”
“...ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ”
เหลิงอู่เหยียนระงับความเขินอายและเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางแดงก่ำและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับยุง “พี่หราน เหยียนเอ๋อร์... อ๊ะ!”
ร่างกายของนางแข็งทื่อในทันที ดวงตาของนางกระเพื่อมไหวและไม่สามารถแม้แต่จะใช้แรงใดๆได้
ขณะที่ทั้งสองกำลังจูบกัน เสียงของผู้ดูแลก็ดังมาจากนอกประตู “รายงานท่านผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสฉางขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
เหลิงอู่เหยียนหลุดพ้นอย่างอ่อนแรง ใบหน้าสวยของนางแดงระเรื่อ แต่น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสง่างาม “เข้าใจแล้ว ให้เขารอก่อน”
“เจ้าค่ะ” ผู้ดูแลถอยกลับ
เหลิงอู่เหยียนถอนหายใจและยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
หลี่หรานถามด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ ทำไมวันนี้ท่านยุ่งนัก?”
ผู้อาวุโสซุนเพิ่งจากไป แล้วผู้อาวุโสฉางก็มา...
เหลิงอู่เหยียนส่ายหัวและกล่าวว่า “งานชุมนุมสวรรค์อมตะกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้อาวุโสจากทุกยอดเขาต้องการมีส่วนร่วม”
หลี่หรานเข้าใจทันที
งานชุมนุมสวรรค์อมตะเป็นหนทางหลักสำหรับมนุษย์ธรรมดาที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางอมตะ
ในช่วงเวลานี้ของปี สมาชิกในตระกูลจำนวนมากจะเข้าร่วมงานและไปที่แท่นแสวงดาราเพื่อทดสอบพรสวรรค์ของพวกเขา
เนื่องจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของหลี่หราน นิกายอื่นๆจึงตกอยู่ในความระส่ำระส่าย พวกเขาต้องการต้นกล้าที่มีพรสวรรค์มากขึ้นและกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับการงานชุมนุมสวรรค์อมตะครั้งนี้
สายเลือดของคนรุ่นใหม่เป็นแรงผลักดันให้นิกายอยู่รอด
สำหรับวิหารโหยวหลัว ชื่อเสียงของพวกเขากำลังโด่งดังถึงขีดสุด มันเป็นโอกาสดีในการสรรหาผู้มีพรสวรรค์
ผู้อาวุโสจากยอดเขาต่างๆจึงต้องการให้ศิษย์ของพวกเขาเป็นผู้นำทีม เพราะหากพวกเขาเจอต้นกล้าที่ดี คนเหล่านั้นจะถูกพาไปที่ยอดเขาของพวกเขาก่อนเช่นกัน
หลี่หรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านไม่ให้ข้าเป็นคนจัดการล่ะ?”
“โอ้?” เหลิงอู่เหยียนประหลาดใจ “ทำไมเจ้าถึงสนใจเรื่องแบบนี้?”
จากนั้นนางก็นึกถึงบางอย่างและพูดขึ้นว่า “เจ้าต้องการใช้โอกาสนี้ไปพบกับคู่หมั้นตัวน้อยของเจ้าใช่ไหม?”
หลี่หรานยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “ท่านอาจารย์เข้าใจผิดแล้ว เป็นเพียงศิษย์สัญญากับคนอื่นไว้”
จากนั้นเขาก็บอกนางเกี่ยวกับเซินหนิง
เหลิงอู่เหยียนพยักหน้า “ข้าเข้าใจ เช่นนั้นก็แค่ให้พวกเขามุ่งความสนใจไปที่นาง ทำไมเจ้าต้องไปด้วยตัวเองด้วย?”
นางไม่ต้องการแยกกับหลี่หราน
หลี่หรานอธิบายว่า “ตั้งแต่เซินฉินติดตามศิษย์คนนี้มาที่วิหารโหยวหลัวมันเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ศิษย์ต้องการใช้โอกาสนี้พานางกลับบ้าน”
“เซินฉิน?” เหลิงอู่เหยียนนึกถึงสาวใช้ตัวน้อยและพยักหน้า “สตรีนางนั้น... เอาล่ะ ข้าให้เจ้าไปก็ได้”
“ท่านอาจารย์ดีที่สุด!” หลี่หรานยิ้มและดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
เหลิงอู่เหยียนอุทาน “เดี๋ยวก่อน! ผู้อาวุโสฉางยังรออยู่ข้างนอก!”
“งั้นก็ให้เขารอไปสิ!”
“ศิษย์อกตัญญู...”
/////