ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 186 ทะลวงขอบเขต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 188 ความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัว

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 187 อัจฉริยะกับคนธรรมดา


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 187 อัจฉริยะกับคนธรรมดา

แปลโดย iPAT  

การตายของสองผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬเป็นเรื่องสะเทือนขวัญในบางสถานที่ อย่างไรก็ตามในสายตาของบางคน สิ่งนี้ไม่มีนัยสำคัญใดๆ

ความแตกต่างระหว่างพลังอำนาจทำให้เกิดความสนใจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นหวังฝูซื่อที่ไม่ชอบหลี่ฉิงซานหรือฮัวเฉิงซานที่ชอบเขา ทั้งคู่จัดเรื่องนี้อยู่ในกลุ่มที่ไม่สำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงบรรลุข้อตกลงหลังจาพูดคุยกันเพียงไม่นาน

หวังฝูซื่อกล่าว “เพื่อความยุติธรรม ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องจัดการเด็กคนนี้”

ฮัวเฉิงซานถาม “อย่างไร?”

หวังฝูซื่อกล่าว “รองผู้นำนิกายเมฆาพิรุณเดินทางไปเมืองเจียเผิงพร้อมกับยายทั้งสี่ ลูกชายห่วยๆของเขาเข้าไปตามหาหลี่ฉิงซานในถ้ำผีดิบและไม่ได้กลับออกมา ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้ว อันใด? คู่รักของเจ้าไม่ได้พูดถึงมันงั้นหรือ?”

ฮัวเฉิงซานกล่าว “ท่านมีคำตอบอยู่แล้ว แม้แต่ท่านก็ยังบอกว่านางเป็นคู่รักของข้า นางเป็นผู้นำนิกาย นางย่อมต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของนิกาย เด็กผู้หญิงดูเหมือนจะสำคัญสำหรับพวกนาง แน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่สนใจข้าที่เป็นเพียงรองผู้บัญชาการ” เขาห้ามนิกายเมฆาพิรุณไม่ให้แตะต้องหลี่ฉิงซานไปแล้วแต่พวกเขาไม่แยแสและดำเนินการอย่างเข้มข้นในเวลานี้ นั่นถือเป็นการเพิกเฉยต่ออำนาจของเขาอย่างชัดเจน

หวังฝูซื่อยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “เมื่อเจ้าก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์แล้ว เราจะทำงานร่วมกัน ข้าอยากรู้ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้ใดยังกล้าพอที่จะท้าทายคำขอของเจ้าในมณฑลชิงเหอแห่งนี้อีก!” คนทั้งสองเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรียที่ทรงอิทธิพลที่สุดในมณฑลชิงเหอ แต่ความแตกต่างระหว่างการบ่มเพาะเพียงขั้นเดียวสามารถสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

ฮัวเฉิงซานเผยรอยยิ้มขมขื่น “การบ่มเพาะต้องเป็นไปตามขั้นตอน ท่านไม่สามารถบังคับมัน”

หวังฝูซื่อกล่าว “เอาล่ะ ข้าจะไม่ทะเลาะกับสิ่งที่เจ้ายึดติด เราจะไม่นำตัวเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและเราก็จะไม่ปกป้องเขาเช่นกัน เพียงรอดูกันไป ข้าอยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะรอดมาได้หรือไม่!”

ฮัวเฉิงซานลุกขึ้นจากเก้าอี้และตบไหล่หวังฝูซื่อ “เขายังเป็นคนที่ผู้บัญชาการกู่ชื่นชม เพียงหยุดไม่พอใจเขา ตาแก่หวัง ท่านควรระวังมิให้มันส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะของท่าน”

หวังฝูซื่อกล่าว “แล้วอย่างไร? ข้าก็เป็นคนที่ผู้บัญชาการกู่ชื่นชมเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะความไม่พอใจนี้ ข้าคงเป็นเพียงชายชราใกล้ตายเท่านั้น! ข้าจะไปเยี่ยมสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์และดูว่ามีเด็กคนใดสนใจรับตำแหน่งผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬและรองผู้บัญชาการหรือไม่”

จอมยุทธ์ทั่วไปต้องทำงานหนักและเสี่ยงชีวิตขณะที่พวกเขาแทบไม่มีโอกาสเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ อย่างไรก็ตามศิษย์ของสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์สามารถเป็นผู้บัญชาการหมาป่าอินทรีย์ได้โดยตรง นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกเขา

หลังจากหวังฝูซื่อจากไป ใบหน้าของฮัวเฉิงซานก็มืดมนลงเล็กน้อย เขาถอนหายใจเบาๆ แม้เขาจะฉลาดและยืนหยัดเพื่อความภาคภูมิใจในฐานะอัจฉริยะของตน แต่มันจะมีประโยชน์ใดหากเขาไม่สามารถทะลวงขอบเขต

อัจฉริยะยืนอยู่ด้านบนและถอนหายใจขณะที่คนธรรมดาดิ้นรนอยู่บนพื้น

“เพี้ยะ!” การตบอย่างรุนแรงทำให้เฉียนหรงจื่อกระเด็นออกไป นางหมุนตัวอากาศก่อนจะกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรงและล้มลงกับพื้น แก้มของนางบวมและมีเลือดไหลซึมออกมาจากปาก ตอนนี้นางดูน่าอนาถมาก

“เหตุใดเจ้าไม่หยุดเขา? แล้วเหตุใดเจ้าถึงมารายงานตอนนี้!” ชายวัยกลางคนผมหงอกในชุดคลุมสีม่วงราคาแพงคำราม พลังปราณของเขาปะทุขึ้นทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เขากำลังบดขยี้เฉียนหรงจื่อราวกับแมลงวัน

ชายวัยกลางคนเป็นรองผู้นำของนิกายเมฆาพิรุณ จอมยุทธ์ขั้นสิบ เว่ยจงหยวน เขาบ่มเพาะมาถึงระดับนี้ด้วยวิธีการบ่มเพาะของนิกายเมฆาพิรุณ

ด้านข้างมีหญิงชราสี่คนนั่งอยู่ ทั้งสี่แต่งหน้าจัดมาก มันเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลก  แม้จะอยู่ห่างออกไปสิบก้าวก็ยังได้กลิ่นเครื่องสำอางของพวกนาง

ไม่มีหญิงชราคนใดชำเลืองมองเฉียนหรงจื่อขณะที่ชายหนุ่มสองสามคนคอยปรนนิบัติพวกนางอยู่ด้านหลังอย่างเต็มที่

หนึ่งในนั้นคือยายประจิม ชายหนุ่มรูปงามสองคนกำลังนวดไหล่ของนางขณะที่นางก้มศีรษะลงจิบชาและไม่สนใจสภาพที่น่าสังเวชของศิษย์ของนาง

น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเฉียนหรงจื่อขณะที่นางกล่าวอย่างน่าสงสาร “ข้าพยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่ข้าไม่สามารถห้ามนายน้อยเว่ย ท่านรองผู้นำ ท่านไม่สามารถตำหนิข้าในเรื่องนี้!”

“กล้าโต้เถียงงั้นหรือ!” เว่ยจงหยวนผลักฝ่ามือปลดปล่อยพลังปราณออกไปยกร่างของเฉียนหรงจื่อขึ้นสู่อากาศ “ด้วยนิสัยของลูกชายข้า เขาไม่มีทางพยายามตามหาหลี่ฉิงซาน หากเขาไม่ถูกอาคมของโสเภณีเช่นเจ้า!” หากไม่ใช่เพราะเฉียนหรงจื่ออ่อนแอเกินไป เขาคงสงสัยว่านางเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากความคิดอย่างมีเหตุผลของเขาแต่มาจากความโกรธที่เขาต้องการระบายกับนาง

กระดูกของเฉียนหรงจื่อเริ่มส่งเสียงดังพร้อมกับเสียงกรีดร้องของนาง “ข้า...จริงๆ...”

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกอย่างกะทันหัน ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์กลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา “พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด...” หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นซีขาวด้วยความตกใจ พวกเขาได้รับข่าวว่าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ถูกขังอยู่ในนิกายเมฆาพิรุณ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบมา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยคิดว่าจะพบกับจอมยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้และมันทำให้พวกเขารู้สึกพูดไม่ออก

“พะ...พวกเจ้าพยายามฆ่าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรียงั้นหรือ?”

เว่ยจงหยวนพึ่งจำได้ว่าเฉียนหรงจื่อเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ขณะที่ยายประจิมกระแอมเบาๆ “ท่านรองผู้นำ อย่าพึ่งโมโห มันไม่ใช่ความผิดของหรงจื่อ นอกจากนั้นสิ่งสำคัญตอนนี้คือเราควรรีบตามหาเสี่ยวเจีย ข้าเฝ้าดูเด็กคนนี้เติบโตขึ้นมา ข้าไม่อยากให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเขา”

เว่ยจงหยวนก่นเสียงเย็นก่อนจะโยนเฉียนหรงจื่อออกไปด้วยความไม่พอใจ ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ไม่กล้าช่วยนางขณะที่นางพยายามคลานไปคุกเข่าด้านหน้ายายประจิม “ขอบคุณท่านยาย!” จากนั้นนางก็โค้งศีรษะไปทางเว่ยจงหยวน “ขอบคุณรองผู้นำ”

“หากเราหาเจียเอ๋อไม่พบ ฮืม!” เว่ยจงหยวนหันกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว ยายทั้งสี่เดินตามไปขณะที่ชายหนุ่มทั้งหมดเดินผ่านเฉียนหรงจื่อและมองนางด้วยสายตาเหยียดหยาม “ดูนางสิ นางดูเหมือนหญิงข้างถนน!”

เด็กหนุ่มของยายประจิมกล่าวเสริม “ดังที่ข้ากล่าวหรือไม่? นางพยายามใช้เต้าไต่ท่านหญิง ช่างไร้ยางอายนัก!”

เฉียนหรงจื่อก้นหน้าลงเพื่อให้เส้นผมที่ยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้าและดวงตาของนาง

โชคดีที่นางวางแผนส่งคนไปขอกำลังเสริมจากผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ไว้ก่อนแล้ว มิฉะนั้นนางอาจถูกฆ่าตายเพราะความโกรธของไอ้แก่ผู้นี้ นางเริ่มคิดว่าหากนางใช้เคล็ดวิชาดูดพลังกับจอมยุทธ์ขั้นสิบเช่นเขา มันจะทำให้นางก้าวเข้าสู่ขั้นหกได้โดยตรงหรือไม่

ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มองเฉียนหรงจื่อ หนึ่งในนั้นกล่าว “ตอนนี้เจ้ารู้ผลที่ตามมาของการพยายามเกาะเท้าเหม็นๆของนิกายเมฆาพิรุณแล้วหรือยัง?”

“เมื่อหอเมฆาพิรุณเปิดตัวอีกครั้ง เราจะดูแลธุรกิจอย่างดีโดยพิจารณาจากความจริงที่ว่าเราเป็นหุ้นส่วน หรงจื่อ เมื่อเจ้าหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว หวังว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเราเป็นอย่างดี”

บางคนเผยรอยยิ้มชั่วร้ายขณะที่จ้องมองร่างกายของเฉียนหรงจื่ออย่างไร้ยางอาย

ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เหล่านี้เคยถูกจ้าวจื่อป๋อกีดกัน พวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาและเหยียดหยามเฉียนหรงจื่อที่ร่วมหลับนอนกับจ้าวจื่อป๋อทันทีที่ก้าวเข้าสู่หน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เมื่อจ้าวจื่อป๋อจากไป พวกเขารู้สึกว่าถึงเวลาของพวกเขาแล้ว

เฉียนหรงจื่อยืนขึ้น ด้วยการโคจรพลังปราณ ใบหน้าที่บวมแดงของนางก็กลับมาเป็นปกติและทิ้งรอยฟกช้ำไว้เพียงเล็กน้อย นางเช็ดเลือดออกจากมุมปากและยิ้ม “ข้าสนใจเพียงการทำภารกิจแต่ข้าคงไม่ประสบความสำเร็จหากข้าไปคนเดียว ดังนั้นข้าหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกท่าน ข้าจะตอบแทนพวกท่านอย่างเต็มที่”

ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มองหน้ากัน พวกเขาถูกล่อลวง ตอนนี้จ้าวจื่อป๋อไม่อยู่แล้ว นางต้องหาที่พึ่งใหม่ ท่ามกลางพวกเขา หนึ่งในนั้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่และอีกสามคนเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาถือเป็นเสาหลักของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิงในปัจจุบัน ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเป้าหมายที่ดีที่จะยึดเกาะ

อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ต้องการลิ้มลองหญิงผู้นี้และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวนาง

หลังจากเฉียนหรงจื่อกับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ทั้งสี่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วและกำลังจะออกเดินทาง เตียวเฟยก็วิ่งเข้ามา

เตียวเฟยมองเฉียนหรงจื่อและถามอย่างสุภาพ “พวกเจ้าทั้งหมด...”

จอมยุทธ์ขั้นสี่ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มกล่าว “เรากำลังจะออกไปทำภารกิจเล็กๆน้อยๆ ปีศาจบางตนแสดงตัวออกมา ดังนั้นเราจึงต้องการออกไปตรวจสอบ อยากไปด้วยกันหรือไม่?”

“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่ มันเป็นเพียงภารกิจเล็กๆ คนจะไม่เยอะไปงั้นหรือ?” ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อีกคนเผยรอยยิ้มชั่วร้ายและนำไปสู่เสียงหัวเราะของคนอื่นๆ

ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เมืองวายุบรรพกาล เตียวเฟยไม่ต้องการยุ่งเกียวกับหลี่ฉิงซานและเฉียนหรงจื่ออีก เขาเก็บตัวและทำทุกอย่างเพียงลำพัง สะสมทรัพยากรและหลีกเลี่ยงการติดต่อกับคนอื่นๆ เขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการทะลวงเข้าสู่ขั้นสี่

เมื่อเขาได้ยินว่าจ้าวจื่อป๋อนำกลุ่มผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ออกไล่ล่าหลี่ฉิงซาน เขาไม่เชื่อว่าหลี่ฉิงซานจะจบสิ้นเพราะเรื่องนี้ สุดท้ายผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ทั้งหมดก็หายตัวไปและไม่ได้กลับมา เขาไม่กล้าพอที่จะกล่าวว่าหลี่ฉิงซานอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด แต่เขารู้สึกว่าหลี่ฉิงซานต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจมากขึ้น เขาไม่สามารถเดินเคียงข้างพยัคฆ์ มันเป็นไปได้ที่จะป้องกันตัวจากการโจมตีของพยัคฆ์ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถป้องกันงูพิษ เขามองผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เหล่านั้นด้วยสายตาที่แปลกประหลาดก่อนกล่าว “ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ” จากนั้นเขาก็รีบออกไป

“ช่างเก็บตัวนัก”

“ลืมมันไปซะ ไปกันเถอะ” จอมยุทธ์ขั้นสี่วางมือลงบนสะโพกของเฉียนหรงจื่อ

เฉียนหรงจื่อยิ้ม แม้พลังปราณที่แตกต่างจะทำให้เกิดปัญหาเล็กน้อย แต่นางจะปฏิเสธเหยื่อที่ส่งมอบตัวเองให้นางได้อย่างไร

วันรุ่งขึ้น เฉียนหรงจื่อกลับเมืองเจียเผิงอย่างเงียบๆพร้อมกับถุงกระสอบสี่ใบ นางกลับมายังวังใต้ดินของหอเมฆาพิรุณ

ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะหรือคนธรรมดา พวกเขาก็ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เมื่อคนธรรมดาปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตธรรมดาและยอมรับการจัดเตรียมของโชคชะตา พวกเขาก็ต้องรีดเค้นสมองและจ่ายด้วยการทำงานหนักและทุกสิ่งเพื่อให้ได้ครอบครองสิ่งเดียวกับอัจฉริยะ แม้มันจะต้องแลกด้วยการละทิ้งศักดิ์ศรี อดทนต่อการล่วงละเมิด ละทิ้งความรู้สึก และโยนตัวเองเข้าสู่เส้นทางที่ทุกข์ทรมานก็ตาม

ลึกลงไปใต้ดิน ในบ้านของนักพรตผีดิบ หลี่ฉิงซานกำลังรับการทดสอบครั้งใหญ่พร้อมกับเหงื่อไหลออกมาจากร่างกายที่เหมือนเหล็กสีดำของเขา