ตอนที่ 922 รับน้องใหม่และประเพณีดีงาม
หลังจากกำจัดตำแหน่งเจ้าเมืองจินหยางที่เจ็บปวดออกไปได้และสมัครเป็นหน่วยคุ้มกันภัยชั่วคราว ฟงจีรีบเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว
ก่อนอื่นเขาทำแผนที่เส้นทางเดินเรือแล้วส่งให้เปากู่เสนอให้เย่ว์หยาง
จากนั้นเขารีบกลับไปที่จวนเจ้าเมืองอย่างรวดเร็วและดึงเจ้ากิ้งก่าขายาวที่กำลังหิวโหยผอมโซจนเหลือแต่หนังติดกระดูกออกมา เจ้ากิ้งก่าขายาวนี้มีความภักดีที่ไม่เลว นอกจากนี้มีหลายครั้งที่ฟงจีได้อาหารมาแม้ตัวเองแทบจะไม่พอกิน เขายังแบ่งอาหารให้มันกินมิฉะนั้นความหิวโหนยาวนานถึงสองสามเดือน ต่อให้เป็นอสูรอารมณ์ดีก็หนีได้เหมือนกัน
“เจ้าคิดจะใช้เจ้าอสูรตัวนี้ช่วยนำทางหรือ?” เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์มองดูพลางหลั่งเหงื่อเยียบเย็นเมื่อคิดว่าเจ้าผู้นี้เป็นเจ้าเมืองที่ยากไร้ปานนั้นเชียวหรือ?
“มันเป็นอสูรบินชนิดไหน?” เปากู่ยังคงรู้สึกว่าฟงจีอดีตเจ้าเมืองไร้ประโยชน์!
“อ่า..มันไม่ใช่อสูรบิน แต่ข้ากล้าพูดได้เลยว่าตราบใดที่ท่านให้อาหารมันกินอิ่มท้องมันวิ่งได้เร็วกว่าบินเสียอีก!” คำพูดของฟงจีทำให้จงกวนหัวเราะจนน้ำตาไหล เป็นเจ้าเมืองที่โชคร้ายจริงๆ ในที่สุดเจ้ากบอ้วนจั๊ดด์พูดไม่ออก เขาโบกมือให้คนจัดเตรียมอาหารให้ฟงจีและกิ้งก่าขายาว
เพราะฟงจีได้อาหารช้ากว่าเล็กน้อยเขาไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองยังไง เขากินเนื้อดิบร่วมกับกิ้งก่าขายาว
จั๊ดด์กับเปากู่หันหน้าไปทางอื่นไม่ต้องการมอง
ต่อให้เป็นปีศาจหิวโหยก็ยังไม่เป็นอย่างนี้...เมื่อเห็นเนื้อดิบ ความจริงพ่อค้าเมืองจินหยาง ซาทงและโอโบ้ลอบทำน้ำลายหก
โชคดีที่เขาเจียมสถานะตนเองและควบคุมตนเองได้ดีกว่า บวกกับเขาไม่สามารถแสดงความหยิ่งยโสต่อหน้าคนชั้นสูงได้พวกเขาต้องอดทนอย่างหนัก
ในที่สุดรอจนเนื้อย่างวางอยู่บนโต๊ะอย่างยากลำบาก จากนั้นรอให้เปากู่เอ่ยปากเชิญทุกคนจึงรีบวิ่งเข้าประตูมาทันที ทุกคนใช้มือฉีกเนื้อไม่มีเวลาใช้อุปกรณ์นั่งโต๊ะ และไม่จำเป็นต้องปรุงใดๆทั้งสิ้น แค่ฉีกอาหารและจับยัดเข้าปาก
ซาทงโอโบ้และคนอื่นๆ ยังดูน่าเกลียดมากกว่าฟงจี ที่กินไปกลอกตาไป
หากไม่ใช่เพราะเขามีพลังระดับเตรียมปราณฟ้า คาดว่าฟงจีคงตายไปนานแล้ว
เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์ไม่ใช่คนจนที่ไม่เคยเห็นคนอดอยากหิวโหยในป้อมสายฟ้ายุคก่อนที่คุณชายสามจะเข้ายึดเหมือง พวกทาสอดอยากตายเป็นร้อยไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างไรก็ตามในแดนสวรรค์ในตำนาน แดนสวรรค์ที่มีนักสู้เตร็ดเตร่ไปมาทุกที่เหมือนสุนัขจรจัด แดนสวรรค์ที่ชาวหอทงเทียนหวังว่าจะได้ไป คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้หิวโหยอดอยากอย่างนี้ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกจริงๆเจ้ากบจั๊ดด์กล้าพูดได้ว่าถ้าคนชั้นสูงในหอทงเทียนรู้ความจริงเรื่องนี้คาดว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดลาก พวกเขาก็คงไม่มาที่แดนสวรรค์
หลังกินอาหารมื้อใหญ่แล้วฟงจีและอสูรกิ้งก่าขายาวพุงป่องราวกับสตรีมีครรภ์
อย่าว่าแต่เดินทางเลยแค่พุงไม่แตกตายก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!
“เราจะให้อสูรบินกับเจ้าตัวหนึ่ง!” เปากู่ไม่ต้องการรอให้เจ้าผู้นี้พักเขารู้ดีว่าเวลาสำคัญต่อเย่ว์หยางเพียงไหน
“ไม่ ไม่ต้อง” ฟงจีหยุดแคะฟันเนื่องจากเขาอิ่มแล้ว เขาโบกมือปฏิเสธ “ตอนนี้ไม่มีปัญหากับการเดินทาง ตราบใดที่ข้ากับมันอิ่มท้อง มันวิ่งได้เร็วกว่าอสูรบินเสียอีก!”
“เหลวไหล” จงกวนพูดเบาๆ “ให้มังกรบินเขาตัวหนึ่งและออกเดินทาง” เจ้ากบจั๊ดด์ไม่อนุญาตให้ขัดคำสั่ง
แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่ถาม แต่เจ้ากบอ้วนก็ไม่ยอมให้คนทำให้เขาต้องเสียเวลามีค่าไป
ต่อให้อสูรนี้วิ่งได้เร็ว แต่ก็เป็นการวิ่งบนพื้น
บนพื้นเป็นถนนขรุขระจะบินไปในท้องฟ้าได้ยังไง? ถ้าเผชิญพบเจอภูเขาสูง จากนั้นใช้เวลาวิ่งบนพื้นดิน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดหมายมีอสูรบินแต่ไม่ขี่ กลับไปใช้กิ้งก่าสี่ขา ไม่สิ เจ้ากิ้งก่านี้วิ่งด้วยสองขา...วิ่งด้วยสองขาจะไวกว่าอสูรบินบนฟ้าหรือ?
ฟงจีเมื่อได้ยินแล้วเขามีสีหน้าอึดอัดใจทันที
พ่อบ้านซาทงผู้รู้ของเขายืนอธิบายอย่างกล้าหาญ “เจ้าเมืองฟงจี เอ๊ย! ผู้คุ้มกันฟงจี เขาเป็นโรคกลัวความสูง ถ้าเขาตกอยู่ในอันตรายแห่งชีวิตเขาจะหลีกเลี่ยงการบิน ไม่อย่างนั้นเขาไม่กล้าบินในระดับสูง
ทุกคนล้มตึงกับพื้น
นักรบระดับเตรียมปราณฟ้าไม่ยอมบินช่างเถอะ ว่าแต่มีคนกลัวความสูงด้วยหรือ? ช่างทำให้พูดไม่ออกเลยจริงๆ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านายจ้างงานเจ้าเป็นพิเศษ ข้าจะลากเจ้าไปฝังทั้งเป็น” จงกวนไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อนในชีวิต
ถ้าเป็นเพราะเหตุผลที่ร่างกายมีลักษณะพิเศษอย่างเช่นมนุษย์เพลิงไม่กล้าลงน้ำ และมนุษย์น้ำไม่กล้าไปยังภูมิภาคร้อนนี่เป็นเรื่องพอเข้าใจได้
แต่เผ่ามนุษย์แมวไม่กล้าบิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
โชคดีที่เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่บินได้อย่างมนุษย์เหยี่ยวหรือมนุษย์เพลิง มิฉะนั้นเจ้าเด็กนี่คงถูกจับโยนลงขยะไปตั้งแต่เกิดแล้ว
หลังจากได้ยินเรื่องนี้เย่ว์หยางอดหัวเราะไม่ได้ แดนสวรรค์เป็นสถานที่น่าทึ่งจริงๆ นักสู้ระดับเตรียมปราณฟ้ากลับบินไม่เป็น ก็หมายความว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดของหอทงเทียนบินไม่ได้และกลัวความสูงจนเหงื่อตก! แน่นอนว่าในหอทงเทียนเพราะพลังของนักรบไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด แต่ได้มาจากการฝึกปรือ ดังนั้นนักสู้ปราณก่อกำเนิดจึงบินได้แน่นอน...นักสู้ปราณก่อกำเนิดของหอทงเทียนจะไม่มีการพูดเรื่องการกลัวความสูงไม่อย่างนั้นจะโดนดูถูก! นอกจากนี้หลังจากเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหก จะใช้ชีวิตอยู่ในอากาศก็ยังได้โดยไม่มีความต่างจากอยู่บนพื้นดิน
“จงกวนกับคนอื่นๆจงอยู่ช่วยเปากู่และจั๊ดด์ทำงานในเมืองจินหยางให้ดี จงให้ความสนใจที่แร่ดอกไฟฟ้า” เย่ว์หยางตัดสินใจไม่โดยสารเรือเหาะสำราญชั่วคราว แต่จะติดตามฟงจีเดินทางไปในภูมิภาคสวนสวรรค์บางทีอาจได้ข้อมูลวัตถุประสงค์ที่บุรุษผมงูนัดพบที่นี่
จุ้ยมาวอี้และเย่ว์หวี่เข้าไปในโลกคัมภีร์ของเย่ว์หยาง
สาวมังกรแดนสวรรค์และเรือเหาะสำราญอยู่รอที่เมืองจินหยางชั่วเวลาหนึ่งขณะที่เจ้ากบจั๊ดด์คงวุ่นวายกับงาน
เย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปรากฏตัวในชุดเกราะแพลตตินัมที่ออกแบบเหมือนกันพวกเขาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฟงจี พอพวกเขาเห็นชุดของคนทั้งสองแทบจะเหมือนกัน ซาทงและโอโบ้ตกตะลึง แม้แต่ฟงจีผู้มีสายตาไม่เลวก็ยังคาดไม่ถึง “โปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาทท่านใดคือนายท่านไตตัน?”
เจ้ากบจั๊ดด์โกรธทันที “ข้าสงสัยว่าเจ้าตาบอดหรือเปล่านายท่านไตตันอยู่ข้างๆ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน แม้แต่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นผู้กล้าหาญที่สุดในโลกเจ้ารู้เรื่องการสำรวจเส้นทางได้ยังไง? แมงป่องยังแข็งแกร่งมากกว่าเจ้าเสียอีก”
ความจริงเรื่องนี้ไม่สมควรตำหนิฟงจีเพราะเขาไม่รู้จักสถานะของบุรุษและสตรีคู่นี้
ในสนามพลังของเย่ว์หยางไม่มีใครสามารถมองเห็นความจริง องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นชุดได้เป็นร้อยและชุดของเย่ว์หยางเหมือนกันนั่นเป็นภาพลวงตา เว้นแต่จะไขปริศนาลึกลับของประตูเป็นตายได้หรือมีพลังระดับเทพปราณราชันย์ มิฉะนั้นใครจะมองเห็นได้? เจ้ากบจั๊ดด์ก็มองเห็นภายใต้การควบคุมของเย่ว์หยาง ฟงจีและพวกมองเห็นแตกต่าง แม้แต่ฟงจีและซาทงก็มองเห็นไม่เหมือนกัน
ฟงจีถูกจั๊ดด์ตำหนิเขารู้สึกอายทันที
แต่เขาคิดว่าดูเหมือนนายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพลังจะอ่อนแอเล็กน้อยเขาคิดว่าพวกเขามีพลังระดับเดียวกับราชา
เพราะผู้คุ้มกันมีพลังปราณฟ้าระดับสามเขาจะมีพลังปราณฟ้าระดับสี่ได้อย่างไร? เขาไม่คิดเหมือนสิ่งที่เห็น ดูเหมือนว่าเขาอยากใช้พลังอย่างนี้ช่วยให้ผ่านบึงหยุดลมไปให้ได้ แต่นั่นเป็นภารกิจที่เป็นไปได้ยากที่จะบรรลุ
แน่นอนว่านายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอาจจะปิดบังซ่อนเร้นพลังเอาไว้
พวกเขายืนอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด ดูเหมือนจะทรงพลังและดูเหมือนจะอ่อนแอมากยากจะตัดสินได้
ฟงจีตัดสินใจรับรู้ด้วยตนเอง
มิฉะนั้นเมื่อเข้าในบึงหยุดแล้วแล้วค่อยเสียใจก็สายเกินการณ์แล้ว
ถอนตัวจากบึงหยุดลมตอนนี้ดีกว่าและก็เหมือนกับนายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน ถ้าเขาโชคร้ายนำทางเขาเกรงว่าไม่เพียงแต่ตัวเขาเอง แต่ยังลามไปถึงเมืองจินหยาง พลเมืองชาวจินหยางอาจถูกกำจัดและกลบฝังก็ได้...ฟงจีคิดดูแล้ว เขายกมือทำความเคารพเย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอย่างกล้าหาญ“ในเมื่อนายท่านและองค์หญิงมอบหมายภารกิจให้ข้านำทางข้าก็ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของท่าน ก่อนจะเข้าไปในบึงหยุดลม ข้าหวังว่านายท่านและองค์หญิงช่วยแสดงฝีมือบ้างสักเล็กน้อย มิฉะนั้นเมื่อหลงอยู่ในบึงหยุดลมจะไม่มีใครสามารถช่วยได้ และมีโอกาสจบชีวิ.....”
“เจ้าต้องการทดสอบฝีมือนายท่านหรือ?” จงกวนรู้สึกทันทีว่าเจ้าผู้นี้บ้าไปแล้ว ถ้าไม่บ้าเขาจะโยนตำแหน่งเจ้าเมืองทิ้งและมาเป็นผู้คุ้มกันได้อย่างไร? เขาจะทำอะไรได้?
“ก็แค่หาที่ตาย!” เฮยถูและไป๋หม่าโกรธจัด ขณะที่ฮัวปันกับเฟยหวงสบถด่าไปแล้ว
คุณชายสามมีศักดิ์ฐานะระดับไหน เขาสงสัยได้ยังไง
ทำตัวเป็นสายลับและไม่ซื่อตรงในที่สุด แต่ก็ยังสงสัยพลังของคุณชายสามอีกหรือ? ถ้าคุณชายสามแข็งแกร่งไม่พอเขาจะยอมทิ้งหน่วยคุ้มกันทั้งหมด ตนเองกับองค์หญิงเข้าไปในบึงหยุดลมด้วยตนเองหรือ? เมื่อเขาตัดสินใจเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาพูดว่ามีความมั่นใจพอ และเจ้าฟงจีนี้กลับไม่เชื่อมั่นเจ้าผู้นี้โง่ยากเกินเยียวยาจริงๆ!
เย่ว์หยางโบกมือให้ฮัวปันและเฟยหวงถอยไป
เขาตั้งท่าส่งสัญญาณ “มา ดูข้าตั้งท่าหมัดดูซิว่าเจ้าสามารถประเมินพลังของข้าได้ไหม!” ฟงจีรู้ว่ายากจะทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าจะแย่ยังไงก็ตามแต่ก็ยังดีกว่าตายในบึงหยุดลม เขาขบกรามเร่งเร้าพลังและแน่นอนว่าเขาไม่กล้าเร่งเร้าพลังจนถึงที่สุด เขางำพลังไว้สามส่วนเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายศักดิ์ศรีอีกฝ่ายเขาไม่รู้ว่านายใหญ่ไตตันมีศักดิ์ศรีขนาดไหน หลังจากได้รับการกระตุ้นเตือนจากเย่ว์หยาง เขาปล่อยหมัดใส่เย่ว์หยางทันที
หมัดไปครึ่งทาง
ทันใดนั้นก็เปลี่ยนวิถีไปที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้ให้ความสนใจเขามากนัก แต่ตอนนี้นางสังเกตเห็นท่าทางของเจ้าแมวขโมย บางครั้งการสังเกตไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่เรื่องแย่อย่างแน่นอน
นางเหยียดหัวแม่มือรับหมัดที่ใช้พลังเจ็ดส่วนของฟงจีอย่างสบายๆ
ตอนแรกนางคิดว่าพลังของนางแทบเป็นระดับเดียวกับฟงจีและนางตกใจนิ่งอยู่กับที่ ขณะที่ซาทงและโอโบ้ถึงอ้าปากค้างโดยตรง
ใช้นิ้วเดียวสามารถหยุดการลอบโจมตีของฟงจีได้ พลังขององค์หญิงสูงส่งถึงเพียงไหนกันแน่? แต่นางดูเหมือนไม่ใช่นักสู้ปราณฟ้าเลย เกิดอะไรขึ้น?
ฟงจีตอนแรกเก็บงำพลังไว้สามส่วนเขาคำนับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนขออภัยอย่างจริงใจ “องค์หญิง! ฟงจีแค่ต้องการทดสอบและปฏิกิริยาตอบโต้ของท่าน ที่บึงหยุดลมมีอันตรายอยู่ทุกเมื่อ.....” พูดยังไม่ทันจบประโยคเขากระโจนเข้าหาเย่ว์หยาง ครั้งนี้เขาไม่เก็บรั้งพลังไว้และใช้พลังโจมตีใส่เย่ว์หยางถึงสิบส่วน
ในบึงหยุดลมมีอสูรปีศาจปราณฟ้าที่น่าทึ่งและทรงพลังอยู่มากมาย ถ้าเขาไม่สามารถรับการลอบโจมตีนี้ได้ อย่างนั้นก็ไม่สมควรไปบึงหยุดลม
เย่ว์หยางยังคงชี้นิ้วเดียว
การกระทำนี้ดูเหมือนช้า
ช้าพอให้ทุกคนเห็นชัดเจน
ฟงจีผู้ปล่อยหมัดช้านิ้วก็เหยียดช้าอย่างน่าทึ่ง และข้ามผ่านหมัดที่มีความเร็วดุจสายฟ้าของฟงจีไม่ได้หยุดเหมือนองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน แต่เป็นการตอบโต้กลับโดยตรง
นิ้วจี้ที่หน้าผากฟงจีแผ่วเบา
วินาทีต่อมาฟงจีปลิวออกไปหมื่นเมตรเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่หักโค่นต้นไม้ไปหลายสิบต้นจากนั้นปะทะจมเข้าไปในภูเขา
โอโบ้ซาทงและคนอื่นกลัวจนเข่าอ่อนตัวสั่น พวกเขาอยากจะคุกเข่าต่อหน้าท่านนักสู้ผู้แข็งแกร่งนี้เพื่อขอขมาโทษทันที แต่กลัวว่าจะเป็นการยั่วยุฝ่ายตรงข้ามให้โกรธ เขาไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร
ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดฟงจีคลานออกมาจากหลุมลึกเหมือนกับสุนัขใกล้ตาย
เขาปัดฝุ่นดินออกจากตัว
ฟงจีคำนับขณะที่พยายามข่มความตื่นเต้นที่ปะทุออกมาเขาตะโกน “แม้จะเจ็บตัวแต่การทดสอบนี้ทำให้ข้าสบายใจ ด้วยพลังของท่านและองค์หญิง และมีข้าร่วมทางข้ามีความมั่นใจอย่างน้อย 60% ว่าจะเข้าไปในบึงหยุดลมได้ หากพบคนที่มีจมูกสุนัข นัยน์ตาแมวทำงานร่วมกันอย่างนั้นโอกาสแห่งความสำเร็จจะเพิ่มสูงถึง 80% ต่อให้ล้มเหลว ข้าคิดว่าสามารถรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญท่านกับองค์หญิงเป็นหลักประกันที่ทรงพลังที่สุด! นายใหญ่ไตตัน! ท่านจ้างนายพรานเผ่ามนุษย์สุนัขอีกสักคนได้ไหม? ข้ากล้าพูดได้ว่าค่าจ้างไม่แพงแค่ให้ได้กินอิ่มท้องและมีกระดูกให้แทะเท่านั้นพอ!”
เย่ว์หยางพยักหน้า “เรื่องค่าจ้างไม่สำคัญ ขอเพียงให้ผ่านบึงหยุดลมไปได้ก็พอ”
ฟงจีเมื่อได้ยินแล้วเขามีความสุข เขาไม่สนใจสารรูปเปื้อนดินโคลนเขากระโดดขึ้นขี่หลังกิ้งก่าขายาวและโบกมือ “นายท่าน, องค์หญิง! ไปกันเถอะ”
“รอเดี๋ยว!” จงกวนและพวกอีกสองสามคนล้อมเข้ามาทันที
“เจ้าต้องการทำอะไร? ก็เมื่อครู่นี้นายท่านยอมรับทดสอบข้าแล้วข้าไม่ได้ทำให้นายท่านบาดเจ็บ!” ฟงจีพบว่าสถานการณ์ไม่ดี ผู้คุ้มกันเหล่านี้จะตั้งตัวเองตัดสินเขาหรือ?
“สิ่งที่นายใหญ่พูดไม่มีอะไรต้องสงสัยแน่นอนว่าเราไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว อย่างก็ไรก็ตามเจ้าเข้ามาร่วมเป็นหน่วยคุ้มกันเดียวกับเรา ตามปกติเราต้องมีพิธีรับน้องใหม่!” จงกวนยิ้มและตบไหล่ฟงจีอย่างเป็นกันเอง “ในฐานะรุ่นพี่เจ้า ข้าจะต้องดูแลเจ้าในอนาคต”ฟงจีหัวใจร้อนระอุ เขารีบกระโดดลงมาและคารวะทีละคน “ผู้น้องเมื่อครู่นี้ไม่ได้แสดงคารวะต่อพี่ใหญ่ทั้งหลายเพราะกังวลเกินไป มิทราบว่าจะมีพิธีรับน้องใหม่ยังไง? ถ้ายังไงรอให้ภารกิจสำเร็จ ข้าค่อยเชิญพี่ใหญ่ดื่มเหล้าบุปผา!”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องการดื่มเหล้าฉลอง ตอนนี้เป็นพิธีรับน้องใหม่ และเป็นพิธีที่มีความสำคัญมาก! หน่วยคุ้มกันของเรามีประเพณีที่ดีงาม...”
จงกวนต่อยหน้าฟงจีจนทรุดกับพื้น
เฮยถู ไป๋หม่าและคนอื่นๆรุมล้อมทุบตีเขาอย่างเมามัน
จนกระทั่งเหนื่อยถึงได้หยุด
ฟงจีอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาพิธีรับน้องบ้าบออะไรกัน? แม่มันเถอะแอบทุบตีน้องใหม่ตอนเผลอ!
จงกวนยื่นมือฉุดให้เขาลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นให้เขาและพูดด้วยความรู้สึกจริงใจ “เพราะเจ้ามีภารกิจเจ้าไม่อาจทำให้นายท่านเสียเวลา พิธีต้อนรับงดเว้นชั่วคราวก่อนรอให้เจ้ากลับมาเราค่อยทำพิธีต้อนรับอีก ไม่ต้องโอดครวญ ความจริงพิธีรับน้องมันดีอยู่แล้ว ข้าต้องการให้เด็กรุ่นใหม่ได้สืบทอดประเพณีที่ดีงามนี้ไว้”
ตอนนี้ฟงจีเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนพวกนี้ต้องโดนทุบตีกันก่อนที่จะได้เข้าร่วมงานดังนั้นพอมีคนใหม่เข้าร่วมงาน พวกเขาจะโดนทุบตีก่อนเป็นเรื่องปกติ
อาศัยประเพณีนี้...แน่นอนว่าการทุบตีนี้ไม่มีความหมายอะไร เขาปาดน้ำตาพยักหน้าให้จงกวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หัวหน้า! ท่านมั่นใจได้เลย รอให้มีน้องใหม่เข้ามาร่วมก่อน ข้าจะทำการรับน้องใหม่เอง เขาจะได้เข้าใจว่าเช่นไรเรียกว่าประเพณีที่ดีงาม!” เมื่อพูดจบฟงจีกัดฟันกรอดและกระตือรือร้นจะได้รับน้องใหม่จะได้ทุบตีระบายอารมณ์โกรธในใจออกไปบ้าง
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว!” จงกวนต่อยหน้าฟงจีอีกหนึ่งหมัด พอฟงจีล้มลงเขาเตะใส่อีกหนึ่งเท้า “ยินดีต้อนรับน้องใหม่ นี่คือการแสดงความรักจากใจของสมาชิกรุ่นพี่ทุกคนเจ้าต้องจำไว้ให้ดี!”
“อย่ารับน้องนานเกิน” เขากล่าว “ให้เวลาอีกสิบนาที!” เย่ว์หยางไม่เคยคัดค้านประเพณีนี้ ความจริงเขาเป็นคนแรกที่สร้างธรรมเนียมนี้ขึ้นมา
บางครั้งยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนั่นเป็นแรงผลักดันให้งานเดินหน้า
หัวใจยิ่งมีความศรัทธาเชื่อมั่นเท่าใดก็ยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้นตามเท่านั้น
การรอคอยยิ่งทำให้มีความอดกลั้น
แม้ว่าจะไม่ได้ทั้งหมดแต่โลกก็เป็นเช่นนี้จริงๆ...!-!