ตอนที่แล้วตอนที่ 921 ขาดไม่ได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 923 ศัตรู? กลิ่นอายเกินเข้าใจ

ตอนที่ 922 รับน้องใหม่และประเพณีดีงาม


หลังจากกำจัดตำแหน่งเจ้าเมืองจินหยางที่เจ็บปวดออกไปได้และสมัครเป็นหน่วยคุ้มกันภัยชั่วคราว ฟงจีรีบเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว

ก่อนอื่นเขาทำแผนที่เส้นทางเดินเรือแล้วส่งให้เปากู่เสนอให้เย่ว์หยาง

จากนั้นเขารีบกลับไปที่จวนเจ้าเมืองอย่างรวดเร็วและดึงเจ้ากิ้งก่าขายาวที่กำลังหิวโหยผอมโซจนเหลือแต่หนังติดกระดูกออกมา  เจ้ากิ้งก่าขายาวนี้มีความภักดีที่ไม่เลว  นอกจากนี้มีหลายครั้งที่ฟงจีได้อาหารมาแม้ตัวเองแทบจะไม่พอกิน  เขายังแบ่งอาหารให้มันกินมิฉะนั้นความหิวโหนยาวนานถึงสองสามเดือน ต่อให้เป็นอสูรอารมณ์ดีก็หนีได้เหมือนกัน

“เจ้าคิดจะใช้เจ้าอสูรตัวนี้ช่วยนำทางหรือ?”  เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์มองดูพลางหลั่งเหงื่อเยียบเย็นเมื่อคิดว่าเจ้าผู้นี้เป็นเจ้าเมืองที่ยากไร้ปานนั้นเชียวหรือ?

“มันเป็นอสูรบินชนิดไหน?” เปากู่ยังคงรู้สึกว่าฟงจีอดีตเจ้าเมืองไร้ประโยชน์!

“อ่า..มันไม่ใช่อสูรบิน แต่ข้ากล้าพูดได้เลยว่าตราบใดที่ท่านให้อาหารมันกินอิ่มท้องมันวิ่งได้เร็วกว่าบินเสียอีก!”  คำพูดของฟงจีทำให้จงกวนหัวเราะจนน้ำตาไหล  เป็นเจ้าเมืองที่โชคร้ายจริงๆ  ในที่สุดเจ้ากบอ้วนจั๊ดด์พูดไม่ออก เขาโบกมือให้คนจัดเตรียมอาหารให้ฟงจีและกิ้งก่าขายาว

เพราะฟงจีได้อาหารช้ากว่าเล็กน้อยเขาไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองยังไง เขากินเนื้อดิบร่วมกับกิ้งก่าขายาว

จั๊ดด์กับเปากู่หันหน้าไปทางอื่นไม่ต้องการมอง

ต่อให้เป็นปีศาจหิวโหยก็ยังไม่เป็นอย่างนี้...เมื่อเห็นเนื้อดิบ ความจริงพ่อค้าเมืองจินหยาง ซาทงและโอโบ้ลอบทำน้ำลายหก

โชคดีที่เขาเจียมสถานะตนเองและควบคุมตนเองได้ดีกว่า   บวกกับเขาไม่สามารถแสดงความหยิ่งยโสต่อหน้าคนชั้นสูงได้พวกเขาต้องอดทนอย่างหนัก

ในที่สุดรอจนเนื้อย่างวางอยู่บนโต๊ะอย่างยากลำบาก จากนั้นรอให้เปากู่เอ่ยปากเชิญทุกคนจึงรีบวิ่งเข้าประตูมาทันที ทุกคนใช้มือฉีกเนื้อไม่มีเวลาใช้อุปกรณ์นั่งโต๊ะ และไม่จำเป็นต้องปรุงใดๆทั้งสิ้น แค่ฉีกอาหารและจับยัดเข้าปาก

ซาทงโอโบ้และคนอื่นๆ ยังดูน่าเกลียดมากกว่าฟงจี ที่กินไปกลอกตาไป

หากไม่ใช่เพราะเขามีพลังระดับเตรียมปราณฟ้า  คาดว่าฟงจีคงตายไปนานแล้ว

เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์ไม่ใช่คนจนที่ไม่เคยเห็นคนอดอยากหิวโหยในป้อมสายฟ้ายุคก่อนที่คุณชายสามจะเข้ายึดเหมือง พวกทาสอดอยากตายเป็นร้อยไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างไรก็ตามในแดนสวรรค์ในตำนาน แดนสวรรค์ที่มีนักสู้เตร็ดเตร่ไปมาทุกที่เหมือนสุนัขจรจัด  แดนสวรรค์ที่ชาวหอทงเทียนหวังว่าจะได้ไป  คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้หิวโหยอดอยากอย่างนี้ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกจริงๆเจ้ากบจั๊ดด์กล้าพูดได้ว่าถ้าคนชั้นสูงในหอทงเทียนรู้ความจริงเรื่องนี้คาดว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดลาก พวกเขาก็คงไม่มาที่แดนสวรรค์

หลังกินอาหารมื้อใหญ่แล้วฟงจีและอสูรกิ้งก่าขายาวพุงป่องราวกับสตรีมีครรภ์

อย่าว่าแต่เดินทางเลยแค่พุงไม่แตกตายก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!

“เราจะให้อสูรบินกับเจ้าตัวหนึ่ง!” เปากู่ไม่ต้องการรอให้เจ้าผู้นี้พักเขารู้ดีว่าเวลาสำคัญต่อเย่ว์หยางเพียงไหน

“ไม่ ไม่ต้อง” ฟงจีหยุดแคะฟันเนื่องจากเขาอิ่มแล้ว เขาโบกมือปฏิเสธ “ตอนนี้ไม่มีปัญหากับการเดินทาง ตราบใดที่ข้ากับมันอิ่มท้อง มันวิ่งได้เร็วกว่าอสูรบินเสียอีก!”

“เหลวไหล” จงกวนพูดเบาๆ “ให้มังกรบินเขาตัวหนึ่งและออกเดินทาง” เจ้ากบจั๊ดด์ไม่อนุญาตให้ขัดคำสั่ง

แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่ถาม แต่เจ้ากบอ้วนก็ไม่ยอมให้คนทำให้เขาต้องเสียเวลามีค่าไป

ต่อให้อสูรนี้วิ่งได้เร็ว  แต่ก็เป็นการวิ่งบนพื้น

บนพื้นเป็นถนนขรุขระจะบินไปในท้องฟ้าได้ยังไง? ถ้าเผชิญพบเจอภูเขาสูง จากนั้นใช้เวลาวิ่งบนพื้นดิน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดหมายมีอสูรบินแต่ไม่ขี่  กลับไปใช้กิ้งก่าสี่ขา ไม่สิ เจ้ากิ้งก่านี้วิ่งด้วยสองขา...วิ่งด้วยสองขาจะไวกว่าอสูรบินบนฟ้าหรือ?

ฟงจีเมื่อได้ยินแล้วเขามีสีหน้าอึดอัดใจทันที

พ่อบ้านซาทงผู้รู้ของเขายืนอธิบายอย่างกล้าหาญ  “เจ้าเมืองฟงจี เอ๊ย!  ผู้คุ้มกันฟงจี เขาเป็นโรคกลัวความสูง  ถ้าเขาตกอยู่ในอันตรายแห่งชีวิตเขาจะหลีกเลี่ยงการบิน ไม่อย่างนั้นเขาไม่กล้าบินในระดับสูง

ทุกคนล้มตึงกับพื้น

นักรบระดับเตรียมปราณฟ้าไม่ยอมบินช่างเถอะ ว่าแต่มีคนกลัวความสูงด้วยหรือ? ช่างทำให้พูดไม่ออกเลยจริงๆ

“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านายจ้างงานเจ้าเป็นพิเศษ  ข้าจะลากเจ้าไปฝังทั้งเป็น”  จงกวนไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อนในชีวิต

ถ้าเป็นเพราะเหตุผลที่ร่างกายมีลักษณะพิเศษอย่างเช่นมนุษย์เพลิงไม่กล้าลงน้ำ และมนุษย์น้ำไม่กล้าไปยังภูมิภาคร้อนนี่เป็นเรื่องพอเข้าใจได้

แต่เผ่ามนุษย์แมวไม่กล้าบิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?

โชคดีที่เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่บินได้อย่างมนุษย์เหยี่ยวหรือมนุษย์เพลิง มิฉะนั้นเจ้าเด็กนี่คงถูกจับโยนลงขยะไปตั้งแต่เกิดแล้ว

หลังจากได้ยินเรื่องนี้เย่ว์หยางอดหัวเราะไม่ได้ แดนสวรรค์เป็นสถานที่น่าทึ่งจริงๆ นักสู้ระดับเตรียมปราณฟ้ากลับบินไม่เป็น ก็หมายความว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดของหอทงเทียนบินไม่ได้และกลัวความสูงจนเหงื่อตก!  แน่นอนว่าในหอทงเทียนเพราะพลังของนักรบไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด แต่ได้มาจากการฝึกปรือ  ดังนั้นนักสู้ปราณก่อกำเนิดจึงบินได้แน่นอน...นักสู้ปราณก่อกำเนิดของหอทงเทียนจะไม่มีการพูดเรื่องการกลัวความสูงไม่อย่างนั้นจะโดนดูถูก! นอกจากนี้หลังจากเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหก  จะใช้ชีวิตอยู่ในอากาศก็ยังได้โดยไม่มีความต่างจากอยู่บนพื้นดิน

“จงกวนกับคนอื่นๆจงอยู่ช่วยเปากู่และจั๊ดด์ทำงานในเมืองจินหยางให้ดี  จงให้ความสนใจที่แร่ดอกไฟฟ้า”  เย่ว์หยางตัดสินใจไม่โดยสารเรือเหาะสำราญชั่วคราว  แต่จะติดตามฟงจีเดินทางไปในภูมิภาคสวนสวรรค์บางทีอาจได้ข้อมูลวัตถุประสงค์ที่บุรุษผมงูนัดพบที่นี่

จุ้ยมาวอี้และเย่ว์หวี่เข้าไปในโลกคัมภีร์ของเย่ว์หยาง

สาวมังกรแดนสวรรค์และเรือเหาะสำราญอยู่รอที่เมืองจินหยางชั่วเวลาหนึ่งขณะที่เจ้ากบจั๊ดด์คงวุ่นวายกับงาน

เย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปรากฏตัวในชุดเกราะแพลตตินัมที่ออกแบบเหมือนกันพวกเขาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฟงจี  พอพวกเขาเห็นชุดของคนทั้งสองแทบจะเหมือนกัน  ซาทงและโอโบ้ตกตะลึง  แม้แต่ฟงจีผู้มีสายตาไม่เลวก็ยังคาดไม่ถึง  “โปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาทท่านใดคือนายท่านไตตัน?”

เจ้ากบจั๊ดด์โกรธทันที  “ข้าสงสัยว่าเจ้าตาบอดหรือเปล่านายท่านไตตันอยู่ข้างๆ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน  แม้แต่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นผู้กล้าหาญที่สุดในโลกเจ้ารู้เรื่องการสำรวจเส้นทางได้ยังไง?  แมงป่องยังแข็งแกร่งมากกว่าเจ้าเสียอีก”

ความจริงเรื่องนี้ไม่สมควรตำหนิฟงจีเพราะเขาไม่รู้จักสถานะของบุรุษและสตรีคู่นี้

ในสนามพลังของเย่ว์หยางไม่มีใครสามารถมองเห็นความจริง  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นชุดได้เป็นร้อยและชุดของเย่ว์หยางเหมือนกันนั่นเป็นภาพลวงตา เว้นแต่จะไขปริศนาลึกลับของประตูเป็นตายได้หรือมีพลังระดับเทพปราณราชันย์ มิฉะนั้นใครจะมองเห็นได้? เจ้ากบจั๊ดด์ก็มองเห็นภายใต้การควบคุมของเย่ว์หยาง  ฟงจีและพวกมองเห็นแตกต่าง แม้แต่ฟงจีและซาทงก็มองเห็นไม่เหมือนกัน

ฟงจีถูกจั๊ดด์ตำหนิเขารู้สึกอายทันที

แต่เขาคิดว่าดูเหมือนนายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพลังจะอ่อนแอเล็กน้อยเขาคิดว่าพวกเขามีพลังระดับเดียวกับราชา

เพราะผู้คุ้มกันมีพลังปราณฟ้าระดับสามเขาจะมีพลังปราณฟ้าระดับสี่ได้อย่างไร? เขาไม่คิดเหมือนสิ่งที่เห็น ดูเหมือนว่าเขาอยากใช้พลังอย่างนี้ช่วยให้ผ่านบึงหยุดลมไปให้ได้  แต่นั่นเป็นภารกิจที่เป็นไปได้ยากที่จะบรรลุ

แน่นอนว่านายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอาจจะปิดบังซ่อนเร้นพลังเอาไว้

พวกเขายืนอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด  ดูเหมือนจะทรงพลังและดูเหมือนจะอ่อนแอมากยากจะตัดสินได้

ฟงจีตัดสินใจรับรู้ด้วยตนเอง

มิฉะนั้นเมื่อเข้าในบึงหยุดแล้วแล้วค่อยเสียใจก็สายเกินการณ์แล้ว

ถอนตัวจากบึงหยุดลมตอนนี้ดีกว่าและก็เหมือนกับนายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน  ถ้าเขาโชคร้ายนำทางเขาเกรงว่าไม่เพียงแต่ตัวเขาเอง แต่ยังลามไปถึงเมืองจินหยาง  พลเมืองชาวจินหยางอาจถูกกำจัดและกลบฝังก็ได้...ฟงจีคิดดูแล้ว เขายกมือทำความเคารพเย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอย่างกล้าหาญ“ในเมื่อนายท่านและองค์หญิงมอบหมายภารกิจให้ข้านำทางข้าก็ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของท่าน ก่อนจะเข้าไปในบึงหยุดลม ข้าหวังว่านายท่านและองค์หญิงช่วยแสดงฝีมือบ้างสักเล็กน้อย  มิฉะนั้นเมื่อหลงอยู่ในบึงหยุดลมจะไม่มีใครสามารถช่วยได้ และมีโอกาสจบชีวิ.....”

“เจ้าต้องการทดสอบฝีมือนายท่านหรือ?”  จงกวนรู้สึกทันทีว่าเจ้าผู้นี้บ้าไปแล้ว ถ้าไม่บ้าเขาจะโยนตำแหน่งเจ้าเมืองทิ้งและมาเป็นผู้คุ้มกันได้อย่างไร?  เขาจะทำอะไรได้?

“ก็แค่หาที่ตาย!”  เฮยถูและไป๋หม่าโกรธจัด  ขณะที่ฮัวปันกับเฟยหวงสบถด่าไปแล้ว

คุณชายสามมีศักดิ์ฐานะระดับไหน  เขาสงสัยได้ยังไง

ทำตัวเป็นสายลับและไม่ซื่อตรงในที่สุด  แต่ก็ยังสงสัยพลังของคุณชายสามอีกหรือ?  ถ้าคุณชายสามแข็งแกร่งไม่พอเขาจะยอมทิ้งหน่วยคุ้มกันทั้งหมด ตนเองกับองค์หญิงเข้าไปในบึงหยุดลมด้วยตนเองหรือ?  เมื่อเขาตัดสินใจเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาพูดว่ามีความมั่นใจพอ และเจ้าฟงจีนี้กลับไม่เชื่อมั่นเจ้าผู้นี้โง่ยากเกินเยียวยาจริงๆ!

เย่ว์หยางโบกมือให้ฮัวปันและเฟยหวงถอยไป

เขาตั้งท่าส่งสัญญาณ  “มา ดูข้าตั้งท่าหมัดดูซิว่าเจ้าสามารถประเมินพลังของข้าได้ไหม!”  ฟงจีรู้ว่ายากจะทำเช่นนั้น  แต่ไม่ว่าจะแย่ยังไงก็ตามแต่ก็ยังดีกว่าตายในบึงหยุดลม  เขาขบกรามเร่งเร้าพลังและแน่นอนว่าเขาไม่กล้าเร่งเร้าพลังจนถึงที่สุด เขางำพลังไว้สามส่วนเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายศักดิ์ศรีอีกฝ่ายเขาไม่รู้ว่านายใหญ่ไตตันมีศักดิ์ศรีขนาดไหน หลังจากได้รับการกระตุ้นเตือนจากเย่ว์หยาง เขาปล่อยหมัดใส่เย่ว์หยางทันที

หมัดไปครึ่งทาง

ทันใดนั้นก็เปลี่ยนวิถีไปที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน

องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้ให้ความสนใจเขามากนัก แต่ตอนนี้นางสังเกตเห็นท่าทางของเจ้าแมวขโมย  บางครั้งการสังเกตไม่ใช่เรื่องดี  แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่เรื่องแย่อย่างแน่นอน

นางเหยียดหัวแม่มือรับหมัดที่ใช้พลังเจ็ดส่วนของฟงจีอย่างสบายๆ

ตอนแรกนางคิดว่าพลังของนางแทบเป็นระดับเดียวกับฟงจีและนางตกใจนิ่งอยู่กับที่ ขณะที่ซาทงและโอโบ้ถึงอ้าปากค้างโดยตรง

ใช้นิ้วเดียวสามารถหยุดการลอบโจมตีของฟงจีได้  พลังขององค์หญิงสูงส่งถึงเพียงไหนกันแน่?  แต่นางดูเหมือนไม่ใช่นักสู้ปราณฟ้าเลย  เกิดอะไรขึ้น?

ฟงจีตอนแรกเก็บงำพลังไว้สามส่วนเขาคำนับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนขออภัยอย่างจริงใจ “องค์หญิง!  ฟงจีแค่ต้องการทดสอบและปฏิกิริยาตอบโต้ของท่าน  ที่บึงหยุดลมมีอันตรายอยู่ทุกเมื่อ.....”  พูดยังไม่ทันจบประโยคเขากระโจนเข้าหาเย่ว์หยาง ครั้งนี้เขาไม่เก็บรั้งพลังไว้และใช้พลังโจมตีใส่เย่ว์หยางถึงสิบส่วน

ในบึงหยุดลมมีอสูรปีศาจปราณฟ้าที่น่าทึ่งและทรงพลังอยู่มากมาย  ถ้าเขาไม่สามารถรับการลอบโจมตีนี้ได้  อย่างนั้นก็ไม่สมควรไปบึงหยุดลม

เย่ว์หยางยังคงชี้นิ้วเดียว

การกระทำนี้ดูเหมือนช้า

ช้าพอให้ทุกคนเห็นชัดเจน

ฟงจีผู้ปล่อยหมัดช้านิ้วก็เหยียดช้าอย่างน่าทึ่ง และข้ามผ่านหมัดที่มีความเร็วดุจสายฟ้าของฟงจีไม่ได้หยุดเหมือนองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน แต่เป็นการตอบโต้กลับโดยตรง

นิ้วจี้ที่หน้าผากฟงจีแผ่วเบา

วินาทีต่อมาฟงจีปลิวออกไปหมื่นเมตรเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่หักโค่นต้นไม้ไปหลายสิบต้นจากนั้นปะทะจมเข้าไปในภูเขา

โอโบ้ซาทงและคนอื่นกลัวจนเข่าอ่อนตัวสั่น พวกเขาอยากจะคุกเข่าต่อหน้าท่านนักสู้ผู้แข็งแกร่งนี้เพื่อขอขมาโทษทันที แต่กลัวว่าจะเป็นการยั่วยุฝ่ายตรงข้ามให้โกรธ  เขาไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร

ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดฟงจีคลานออกมาจากหลุมลึกเหมือนกับสุนัขใกล้ตาย

เขาปัดฝุ่นดินออกจากตัว

ฟงจีคำนับขณะที่พยายามข่มความตื่นเต้นที่ปะทุออกมาเขาตะโกน  “แม้จะเจ็บตัวแต่การทดสอบนี้ทำให้ข้าสบายใจ ด้วยพลังของท่านและองค์หญิง และมีข้าร่วมทางข้ามีความมั่นใจอย่างน้อย 60% ว่าจะเข้าไปในบึงหยุดลมได้   หากพบคนที่มีจมูกสุนัข นัยน์ตาแมวทำงานร่วมกันอย่างนั้นโอกาสแห่งความสำเร็จจะเพิ่มสูงถึง 80% ต่อให้ล้มเหลว ข้าคิดว่าสามารถรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญท่านกับองค์หญิงเป็นหลักประกันที่ทรงพลังที่สุด!  นายใหญ่ไตตัน! ท่านจ้างนายพรานเผ่ามนุษย์สุนัขอีกสักคนได้ไหม?  ข้ากล้าพูดได้ว่าค่าจ้างไม่แพงแค่ให้ได้กินอิ่มท้องและมีกระดูกให้แทะเท่านั้นพอ!”

เย่ว์หยางพยักหน้า  “เรื่องค่าจ้างไม่สำคัญ  ขอเพียงให้ผ่านบึงหยุดลมไปได้ก็พอ”

ฟงจีเมื่อได้ยินแล้วเขามีความสุข  เขาไม่สนใจสารรูปเปื้อนดินโคลนเขากระโดดขึ้นขี่หลังกิ้งก่าขายาวและโบกมือ  “นายท่าน, องค์หญิง!  ไปกันเถอะ”

“รอเดี๋ยว!” จงกวนและพวกอีกสองสามคนล้อมเข้ามาทันที

“เจ้าต้องการทำอะไร?  ก็เมื่อครู่นี้นายท่านยอมรับทดสอบข้าแล้วข้าไม่ได้ทำให้นายท่านบาดเจ็บ!” ฟงจีพบว่าสถานการณ์ไม่ดี ผู้คุ้มกันเหล่านี้จะตั้งตัวเองตัดสินเขาหรือ?

“สิ่งที่นายใหญ่พูดไม่มีอะไรต้องสงสัยแน่นอนว่าเราไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว อย่างก็ไรก็ตามเจ้าเข้ามาร่วมเป็นหน่วยคุ้มกันเดียวกับเรา  ตามปกติเราต้องมีพิธีรับน้องใหม่!” จงกวนยิ้มและตบไหล่ฟงจีอย่างเป็นกันเอง  “ในฐานะรุ่นพี่เจ้า ข้าจะต้องดูแลเจ้าในอนาคต”ฟงจีหัวใจร้อนระอุ เขารีบกระโดดลงมาและคารวะทีละคน  “ผู้น้องเมื่อครู่นี้ไม่ได้แสดงคารวะต่อพี่ใหญ่ทั้งหลายเพราะกังวลเกินไป มิทราบว่าจะมีพิธีรับน้องใหม่ยังไง? ถ้ายังไงรอให้ภารกิจสำเร็จ ข้าค่อยเชิญพี่ใหญ่ดื่มเหล้าบุปผา!”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องการดื่มเหล้าฉลอง  ตอนนี้เป็นพิธีรับน้องใหม่ และเป็นพิธีที่มีความสำคัญมาก! หน่วยคุ้มกันของเรามีประเพณีที่ดีงาม...”

จงกวนต่อยหน้าฟงจีจนทรุดกับพื้น

เฮยถู ไป๋หม่าและคนอื่นๆรุมล้อมทุบตีเขาอย่างเมามัน

จนกระทั่งเหนื่อยถึงได้หยุด

ฟงจีอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาพิธีรับน้องบ้าบออะไรกัน?  แม่มันเถอะแอบทุบตีน้องใหม่ตอนเผลอ!

จงกวนยื่นมือฉุดให้เขาลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นให้เขาและพูดด้วยความรู้สึกจริงใจ  “เพราะเจ้ามีภารกิจเจ้าไม่อาจทำให้นายท่านเสียเวลา พิธีต้อนรับงดเว้นชั่วคราวก่อนรอให้เจ้ากลับมาเราค่อยทำพิธีต้อนรับอีก ไม่ต้องโอดครวญ ความจริงพิธีรับน้องมันดีอยู่แล้ว ข้าต้องการให้เด็กรุ่นใหม่ได้สืบทอดประเพณีที่ดีงามนี้ไว้”

ตอนนี้ฟงจีเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น  กลับกลายเป็นว่าคนพวกนี้ต้องโดนทุบตีกันก่อนที่จะได้เข้าร่วมงานดังนั้นพอมีคนใหม่เข้าร่วมงาน พวกเขาจะโดนทุบตีก่อนเป็นเรื่องปกติ

อาศัยประเพณีนี้...แน่นอนว่าการทุบตีนี้ไม่มีความหมายอะไร  เขาปาดน้ำตาพยักหน้าให้จงกวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม  “หัวหน้า! ท่านมั่นใจได้เลย  รอให้มีน้องใหม่เข้ามาร่วมก่อน  ข้าจะทำการรับน้องใหม่เอง เขาจะได้เข้าใจว่าเช่นไรเรียกว่าประเพณีที่ดีงาม!”  เมื่อพูดจบฟงจีกัดฟันกรอดและกระตือรือร้นจะได้รับน้องใหม่จะได้ทุบตีระบายอารมณ์โกรธในใจออกไปบ้าง

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว!” จงกวนต่อยหน้าฟงจีอีกหนึ่งหมัด พอฟงจีล้มลงเขาเตะใส่อีกหนึ่งเท้า  “ยินดีต้อนรับน้องใหม่  นี่คือการแสดงความรักจากใจของสมาชิกรุ่นพี่ทุกคนเจ้าต้องจำไว้ให้ดี!”

“อย่ารับน้องนานเกิน”  เขากล่าว “ให้เวลาอีกสิบนาที!” เย่ว์หยางไม่เคยคัดค้านประเพณีนี้ ความจริงเขาเป็นคนแรกที่สร้างธรรมเนียมนี้ขึ้นมา

บางครั้งยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนั่นเป็นแรงผลักดันให้งานเดินหน้า

หัวใจยิ่งมีความศรัทธาเชื่อมั่นเท่าใดก็ยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้นตามเท่านั้น

การรอคอยยิ่งทำให้มีความอดกลั้น

แม้ว่าจะไม่ได้ทั้งหมดแต่โลกก็เป็นเช่นนี้จริงๆ...!-!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด