ตอนที่ 920 ความลับสะท้านฟ้า
ความเศร้าโศกเต็มไปทั่วค่าย
หุ่นจักรกลย่ำเท้ากระหึ่มเดินหน้าตามประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาควรจะซ่อนตัว พวกเขาควรจะสร้างแนวป้องกัน พวกเขาควรจะป้องกันปีกและเตรียมรุกโจมตี พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับกองทัพหุ่นบรอนซ์ได้
แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวสักอย่าง เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินอะไร
ทหารรายล้อมมู่จือเสียบางคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่บางคนเช็ดน้ำตาน้ำตาของพวกเขาผสมกับทรายเปรอะเต็มใบหน้าของพวกเขา ทุกคนดูเหมือนทหารผ่านศึกในสายตาพวกเขาราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาหลุดลอยจากร่าง พวกเขาสูญเสียความกระตือรือร้นและกำลังเดินเหมือนซากศพ
เมื่อแม่ทัพใหญ่และเล่าถังมาถึงพวกเขามองหน้ากันเอง
พวกเขาไม่ได้พบกับการต่อต้านใดๆ มากไปกว่าที่เห็น แม่ทัพใหญ่และเล่าถังเคร่งขรึมจริงจัง พวกเขาไม่สามารถเชื่อได้ว่าทหารที่อยู่หน้าพวกเขาที่ดูเหมือนทหารนี้คือทหารฝีมือดีที่สุดกับพวกเขาต่อสู้อย่างดุเดือด จนพวกเขาบาดเจ็บกันไปมากมาย
‘เกิดอะไรขึ้น?’
ทั้งสองเคร่งขรึมไม่มีรอยยิ้ม เพราะมีหลายครั้งที่พวกเขาชื่นชมความเข้มงวดและสมองของมู่จือเสียโดยไม่รู้ตัวและยกย่องทหารของมู่จือเสียนับครั้งไม่ถ้วนเพราะพวกเขารักษาสถานการณ์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ตั้งแต่เริ่มพวกเขาสามารถโจมตีกองทัพของมู่จือเสียง่ายๆ แต่ในเวลาอันรวดเร็วกองทัพของมู่จือเสียก็สู้ได้อย่างยากลำบากมากขึ้น ทำให้พวกเขามีคนบาดเจ็บเพิ่มขึ้น
พวกเขาคือกองทัพที่มีความมุ่งมั่นเหมือนเหล็กมีวินัยที่เข้มงวดแข็งแกร่ง จิตวิญญาณนักสู้เหนียวแน่นสามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนสงครามและกลยุทธได้ แค่เพียงผสานพลังได้ 100% ก็ถือว่าคู่ควรเป็นกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว
มู่จือเสียเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรและน่านับถือและทหารทั้งหลายก็เป็นทหารที่คู่ควรแก่การนับถือ
และเมื่อพวกเขาเห็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรและน่านับถืออยู่กับพื้นทั้งสองไม่มีความยินดีเลย
ไม่ใช่ชัยชนะที่พวกเขาต้องการ
พวกเขาเดินผ่านทหารที่กำลังเศร้าโศกอย่างระมัดระวัง และเห็นมู่จือเสียนอนอยู่บนพื้นมีดวงตาที่เปื้อนเลือดเหมือนกับละเลงลงบนร่างกายที่เหมือนหยก พวกเขาตกใจ ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าทำไมทหารจึงสูญเสียพลังต้านทาน มู่จือเสียคือจิตวิญญาณของกองทัพ เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขากองทัพจึงไม่ใช่กองทัพอันดับหนึ่งอีกต่อไป
เล่าถังคุกเข่าและมีสีหน้าจริงจัง เขาตรวจสอบมู่จือเสีย
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันมาอย่างยาวนานและชื่นชมกันและกัน เหตุผลที่มู่จือเสียถูกกองทัพดาวกางเขนใต้ข่มอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่เพราะมาตรฐานของเขาตรงกันข้ามเขาเป็นกองทัพเดียวในดินแดนศัตรู ไม่เพียงแต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองทัพดาวกางเขนใต้ พวกเขายังต้องระมัดระวังชนเผ่าทวีปแดนเถื่อน อีกอย่างหนึ่งประสบการณ์มู่จือเสียเป็นผู้บัญชาการเกินยี่สิบถึงสามสิบปี แต่ไม่เคยพบกับสงครามขนาดใหญ่จะสู้กับแม่ทัพใหญ่ที่ผ่านการต่อสู้มาตลอดชีวิตและเป็นตัวประหลาดที่ผ่านสงครามขนาดใหญ่มาอย่างโชกโชนเขาจะแข่งขันสู้ได้ยังไง?
แต่มู่จือเสียอดทนรับการโจมตีของพวกเขาและต่อสู้พร้อมทั้งเติบโตกล้าแข็งไปด้วยทำให้แม้แต่แม่ทัพอาวุโสพลอยรู้สึกกดดันไปด้วย
“ขอบคุณ”เสียงของมู่จือเสียอ่อนล้าเหมือนกับยุง แต่อารมณ์ของเขายังสงบ “โปรดอย่าเสียเวลากับข้าอีกต่อไปเลย”
ร่างของมู่จือเสียดูแปลกประหลาด ผมของเขาหงอกขาวเหมือนหิมะมือที่แข็งแกร่งแต่เดิมเปลี่ยนเป็นเปลี่ยนเป็นอ่อนแสงขาวเลือนรางเปล่งออกมาจากร่างของเขาทำให้ผิวและเลือดเนื้อของเขาดูเนียนตลอดทั้งร่างของเขาดูเหมือนจะเปล่งแสงขาว
เล่าถังมีสีหน้าตกใจพลังชีวิตภายในร่างของมู่จือเสียไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น จนถึงขั้นที่สามารถปล่อยเปลวไฟที่สว่างในราตรีได้ สิ่งที่เป็นเหตุให้ในร่างของมู่จือเสียเปลี่ยนแปลงเสียหายก็คือพลังชีวิตที่กล้าแข็งนี้ มันกำลังแผดเผาและกัดกร่อนร่างของมู่จือเสีย
แม้แต่ด้วยประสบการณ์ของเล่าถังเขายังไม่เคยเห็นสิ่งแปลกประหลาดแบบนี้
“นี่,คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์” มู่จือเสียพูดเสียงอ่อนล้า
ทหารที่รายล้อมเขาตะลึง พวกเขาเงยหน้าขึ้นหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ เพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยที่สุดวิชาที่พวกเขาจะต้องใช้ฝึกฝนประจำวัน ฉากภาพที่น่ากลัวนั้นเกิดขึ้นจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง? ในใจของพวกเขาเพลิงศักดิ์สิทธิ์มอบพลังและความกล้าหาญให้พวกเขาและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พวกเขา และเป็นเครื่องหมายของความภักดีของพวกเขา
‘กลายเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?’
ทันใดนั้นทหารหลายคนคิดถึงเรื่องลำแสงลงทัณฑ์ในวิหาร ‘หรือว่าวิหารคิดว่านายท่านไม่มีความภักดีแล้ว? หรือว่าพวกเขาคิดว่านายท่านทำบางอย่างที่ให้พวกเขาเสียเปรียบจนต้องลงโทษเขา?’ ทหารพากันตื่นตัว พวกเขาติดตามนายท่านเข้าดินแดนศัตรูและสู้เสี่ยงชีวิต ‘ทำไมวิหารถึงลงทัณฑ์นายท่านอย่างไม่มีความยุติธรรม?’
เพลิงศักดิ์สิทธิ์? เล่าถังและผู้บัญชาการเฒ่ามองหน้ากันเอง ทั้งสามารถเห็นความตกใจในสายตาของกันและกัน
เลือดเปรอะเปื้อนปิดตาของมู่จือเสียแต่เขารู้สึกได้ถึงความโกลาหลของทหารรอบตัวเขา เขาถอนหายใจ “ตอนนี้ทวีปเซียนมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นนรกไปแล้ว เรายอมแพ้, ข้าจะบอกทุกอย่างกับพวกท่าน โปรดอย่าทำร้ายทหารของข้าเลย ได้โปรด!”
ทุกคนตะลึงกับคำพูดของมู่จือเสีย แม้แต่ทหารที่มีอารมณ์แต่เดิมก็พากันตะลึงอีกครั้ง พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมนายท่านจู่ๆก็พูดถึงทวีปเซียนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ ทวีปเซียนเป็นดินแดนที่ตั้งของวิหาร มีกองทัพมากมายอยู่ที่นั่นและมีกำลังป้องกันหลักที่หนาแน่นที่สุดในทวีปกวงหมิง นั่นจะกลายเป็นนรกไปได้อย่างไร?
เล่าถังและแม่ทัพใหญ่ไม่เข้าใจ
พวกเขารู้จักเพลิงศักดิ์สิทธิ์และทวีปเซียน แต่พวกเขาไม่เคยเอาทั้งสองมาเชื่อมโยงกัน
“วางใจได้เราจะไม่ฆ่าอย่างไม่ยั้งคิด” เล่าถังพูดขึ้น
“วิหารมักจะมีแผนการอย่างหนึ่งอยู่เสมอ” เสียงของมู่จือเสียอ่อนล้ามากเหมือนกับว่าเสียงของเขาถูกเสียงลมกลบ และเขากล่าวอย่างมีอารมณ์ต่อ “แผนนี้สืบเนื่องมาจากการค้นคว้าพลังวิญญาณของวิหาร”
ทุกคนกลั้นลมหายใจ พวกเขารู้สึกว่าคำพูดของมู่จือเสียกำลังจะเปิดเผยความลับที่ทำให้สวรรค์ตะลึง ไม่ใช่ความลับที่วิหารค้นคว้าเรื่องพลังวิญญาณ แม้แต่เด็กสิบขวบก็รู้ได้ และวิหารเป็นตัวแทนมาตรฐานที่สูงสุดของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการค้นคว้าพลังวิญญาณ
“แผนการนี้ตอนแรกเริ่มแค่ต้องการจะสร้างขุนพลวิญญาณมันไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่หลังจากเอาชนะความยากลำบาก พวกเขาก็ทำได้สำเร็จ พวกเขาสร้างขุนพลวิญญาณตนแรก เป็นผู้บัญชาการอัศวินกวงหมิงนามว่าโซเฟีย”
พวกทหารตกใจ ‘อย่างนั้นข่าวลือผู้บัญชาการโซเฟียก็เป็นความจริง!’
อัศวินพิเศษกวงหมิงและผู้บัญชาการโซเฟียได้รับการเคารพนับถือและมีตำแหน่งที่สูงในใจของทุกคน ความรู้สึกในใจพวกเขาเริ่มกล้าแข็งมากขึ้น เป็นความลับอย่างหนึ่งนี่เกี่ยวกับคนที่สำคัญมาก แล้วจะเป็นความลับธรรมดาได้ยังไง?
“หลังจากโซเฟียถูกสร้างขึ้น นางแสดงออกได้โดดเด่น ความสามารถในการเรียนรู้และเติบโตของนาง ทุกอย่างเป็นไปตามเป้า ในเวลานี้มีการค้นพบอีกครั้ง วิหารค้นพบว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์มีคุณสมบัติเฉพาะ และนั่นก็คือขุนพลวิญญาณสามารถดูดซับไว้ได้ วิธีนี้ในช่วงกรอบเวลาสั้นๆสามารถเพิ่มพลังให้กับขุนพลวิญญาณได้”
“แผนการไร้ที่ติ” มู่จือเสียพูดต่อ “ในช่วงเวลาสั้นๆ ความแข็งแกร่งของโซเฟียเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า และเพียงก้าวเดียวก็กลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหาร แต่จากนั้นปัญหาก็ตาม การเติบโตของโซเฟียติดอยู่ที่คอขวดและการดูดซับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผลอีกต่อไป วิหารค้นคว้าเพิ่มขึ้น และตระหนักได้ว่าพลังของโซเฟียถึงขีดจำกัดแล้ว และถ้าจะบรรลุไปให้ได้ปริมาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่นางต้องดูดซับคงมากอย่างน่าประหลาดใจ”
ทุกคนต่างรับรู้เรื่องราวทั้งหมด
มู่จือเสียรู้ว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังลุกโหมในตัวเขาและกล่าว “ดังนั้นวิหารเริ่มสร้างเพลิงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ พวกเจ้าทุกคนคงจะจำเวลานั้น วิหารเริ่มวางแผนต่อเนื่อง”
ในสถานที่นั้นเงียบสนิท คำพูดเหมือนกับสายฟ้าฟาดพวกเขาและการคาดการที่น่ากลัวผุดขึ้นในใจพวกเขา ‘ไม่มีทาง....ไม่มีทาง! วิหารทำเช่นนั้นได้ยังไง!’
แม้ว่าเขาสามารถได้ยินความกลัวของพวกเขา มู่จือเสียก็พูดบอกสายใยความหวังสุดท้ายในใจเขา “ถูกแล้ว เป็นอย่างที่พวกเจ้าคาดเดา”
“เป็นไปไม่ได้! วิหารเป็นแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“อำมหิตผิดมนุษย์เกินไปแล้ว...”
“วิหารบ้าไปแล้วหรือ?”
ความเงียบแผ่ลามไป
ทหารหลายคนเอามือกุมศีรษะ หน้าของพวกเขาปรากฏแววเหลือเชื่อ วิหารที่พวกเขาศรัทธาเสมอมาและเป็นเหมือนเทพเจ้าสำหรับพวกเขา ถ้าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่มู่จือเสียพูดออกมาเองบุรุษที่พวกเขาเชื่อถือหมดใจ พวกเขาคงได้ทำลายคนที่พูดดูหมิ่นอย่างนั้นเป็นแน่
พวกเขารอให้เสียงฮือฮาสงบลง สายตาของทุกคนหันกลับไปมองมู่จือเสีย เวลานั้น ไม่มีใครมีอารมณ์ต่อไป พวกเขาหนาวยะเยือกไปทั้งตัว เพียงคนเดียวที่สามารถให้คำตอบพวกเขาก็คือเจ้านายของพวกเขา
หน้าที่เปื้อนคราบเลือดของเจ้านายเต็มไปด้วยราศีประหลาดหน้าของเขาโปร่งใสขึ้นเล็กน้อย และพวกเขาสามารถเห็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาวอยู่ใต้ผิวของเขา
ทันใดนั้นมู่จือเสียนึกถึงวันแรกที่เขาเข้าวิหารและคาดว่าเขาอายุไม่เกินสิบสองปี เมื่อประมุขผู้อาวุโสตอนนั้น ไม่ใช่ประมุขผู้อาวุโสคนปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ฉายแสงสว่างและประมุขผู้อาวุโสยิ้มอบอุ่นให้เขา
ความเจ็บปวดปรากฏอยู่ในดวงตาเขาดึงเขากลับสู่ความเป็นจริง ความมืดมิดที่โหดร้ายและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลอยู่ในตัวของเขาแม้จะคล้ายกลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ทะลุเข้าไปในกระดูกของเขา
“วิหารไม่ได้ทำเพื่อโซเฟีย”
มู่จือเสียถอนหายใจ “หลังจากมุ่งมั่นมาเป็นเวลานานและบวกกับข่าวจากวิหารเซียนของสวรรค์วิถีก็เข้ามา การค้นคว้าเรื่องพลังวิญญาณของวิหารกวงหมิงก็ได้รับความก้าวหน้าในที่สุดและหนึ่งในผลการค้นคว้าที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาค้นพบวิธีเอาชนะพลังกัดกร่อนได้ นั่นหมายความว่าขุนพลวิญญาณจะมีชีวิตอยู่ได้นานเหมือนกับว่าเป็นร่างอมตะ”
เมื่อได้ยินถึงจุดนี้แม่ทัพเฒ่าก็สรุปใจความสำคัญได้แล้ว
สายตาของเขาซับซ้อน ‘นั่นก็ถูก,ขุนพลวิญญาณจะมีอายุขัยยาวนาน แต่อายุขัยที่ยาวนานนี้คือความทุกข์ทรมานไม่มีจบสิ้น จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความเจ็บปวดนั้น?ต้องเห็นสหายของตนเองเติบโต แก่และตายไปต่อหน้าต่อตาท่าน ความเดียวดายที่คงอยู่มาเป็นเวลานานมากเจ็บปวดมากกว่าพลังงานกัดกร่อนนั้นเสียอีกเวลาที่ยาวนานทำให้ท่านลืมกลุ่มคนที่ท่านรักทำลายความทรงจำที่ดีที่สุดของท่าน และแม้แต่ความเชื่อมั่นและความฝันก็เน่าและตายไป ขณะที่ท่านอยู่อย่างเดียวดายในโลกนี้ นั่นน่าเศร้าและน่าเจ็บปวดเพียงไหน
‘ชีวิตอมตะ ฮึ...’
เขาฝืนหัวเราะในใจ นั่นมีแต่จะนำความขมขื่นและความเดียวดายผ่านกาลเวลามาให้
“โดยการเปลี่ยนมนุษย์ไปเป็นขุนพลวิญญาณนั่นคือรูปแบบชีวิตอมตะ แม้ว่าโซเฟียจะประสบความสำเร็จ แต่นางไม่มีความทรงจำของนางเอง ข้อสงสัยใหม่ก็คือวิธีเปลี่ยนขุนพลวิญญาณและรักษาความทรงจำไว้ได้คำถามนี้ไม่ได้ทำให้วิหารสับสน และรีบสร้างให้เร็ว แต่เนื่องจากเป็นไปตามธรรมชาติของโลกจึงมีความเสี่ยงอย่างมากมาย ความสำเร็จในการเปลี่ยนเป็นขุนพลวิญญาณต่ำมากประการแรกผู้ที่จะลองจะต้องเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมีกำลังใจสูง เขาต้องมอบชีวิตให้กับวิหาร เขาเชื่อหนักแน่นว่าถ้าให้เวลาเพียงพอ เขาสามารถสร้างวิหารใหม่ กำจัดจุดบกพร่องให้วิหาร เพื่อฝันนี้ เขายินดีจะเสี่ยงแม้ว่าเขาอาจจะต้องสละชีวิต ไม่ว่าจะเป็นของเขาหรือของคนอื่น
“เขาคือประมุขผู้อาวุโสของเรา”
เกิดความเงียบอีกครั้ง