ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 186 ทะลวงขอบเขต
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 186 ทะลวงขอบเขต
แปลโดย iPAT
หยดน้ำตกลงมาจากหินย้อยบนเพดานถ้ำที่มืดสนิทและหยดลงบนศีรษะของหลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานนั่งอยู่บนแท่นหินโดยไม่ได้เคลื่อนไหวแต่ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
พลังปราณที่บริสุทธ์ไหลผ่านเส้นลมปราณและทะลวงเข้าสู่กระดูกของเขา
หลังจากหนึ่งเดือน เขากินเม็ดยารวบรวมพลังปราณไปแล้วเกือบสามพันเม็ด
นี่เป็นตัวเลขที่น่ากลัวสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หยดน้ำที่ตกลงบนศีรษะของหลี่ฉิงซานแตกเป็นละอองเล็กๆเมื่อปะทะพลังปราณหนาสามนิ้วที่เคลือบคลุมอยู่บนร่างกายของเขา
พลังปราณของเขาถูกกลั่นให้บริสุทธิ์โดยแหวนมิติ เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหกของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้นและถึงจุดสูงสุดของจอมยุทธ์ขั้นสองได้อย่างไม่มีปัญหา
หลี่ฉิงซานยิ้ม เขารู้สึกทั้งโล่งอกและประหลาดใจ เขาโล่งอกกับความจริงที่ว่าเขาใช้เวลาน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับจอมยุทธ์ทั่วไป
ตัวอย่างเช่นเฉียนหรงจื่อที่บ่มเพาะพลังปราณมาตั้งแต่อายุยังน้อย นางต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะบรรลุขั้นสอง สำหรับเตียวเฟย เขามาจากนิกายและได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโส เขาอายุสามสิบแต่เขายังอยู่ขั้นสาม
ความเร็วในการบ่มเพาะของหลี่ฉิงซานถือว่าน่าอัศจรรย์มากแต่มันจะไม่เกิดขึ้นหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเม็ดยาปริมาณมหาศาลโดยเฉพาะแหวนมิติ มันจะไร้ประโยชน์แม้เขาจะครอบครองเม็ดยามากมายเท่าใดก็ตามเพราะการชำระล้างสิ่งเจือปนจากเม็ดยาต้องใช้เวลานานกว่าการบ่มเพาะถึงสิบเท่า
เขารู้สึกมีความสุขมาก นั่นทำให้เขาคิดถึงเสี่ยวอันและอยากรู้ว่าตอนนี้นางกำลังทำสิ่งใดอยู่
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานรีบปัดเป่าความคิดที่จะออกจากการปิดประตูฝึกตนทิ้งไปทันที เขาอยู่ห่างจากขั้นสองของเคล็ดวิชาหมัดปีศาจวัวเพียงไม่กี่ก้าว เขาไม่สามารถยอมแพ้ในเวลานี้ เขาต้องใช้จังหวะนี้ทะลวงเข้าสู่ขั้นสองของเคล็ดวิชาหมัดปีศาจวัวและกลายเป็นจอมยุทธ์พลังปราณขั้นสามในครั้งเดียว
แก่นปีศาจส่องประกายขึ้น ปราณปีศาจปะทุออกจากร่างของเขาราวกับภูเขาไฟระเบิด หลังจากหนึ่งเดือน ในที่สุดความสูงของเขาก็เกินกว่าเก้าเมตรไปแล้ว
แม้ห้องลับแห่งนี้จะค่อนข้างใหญ่ แต่เขาของหลี่ฉิงซานก็เกือบชนหินย้อยบนเพดานแล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด วันหนึ่งเขาอาจกลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาเหมือนก็อตซิลล่า ไม่ เขาจะน่ากลัวยิ่งกว่าก็อตซิลล่าอย่างแน่นอน ด้วยการกระทืบเท้าของเขา เมืองทั้งเมืองจะพังทลายจากแผ่นดินไหว ด้วยเสียงคำรามของเขา หัวของทุกคนจะระเบิด
…..
ในห้องใต้ดิน เว่ยอิงเจียสูญเสียวตัวตนไปอย่างสมบูรณ์ รูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาของเขาพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ผิวของเขาเหี่ยวแห้งและหมองคล้ำเหมือนคนชรา ดวงตาของเขาสูญเสียประกาย ขณะที่น้ำลายไหลออกมาจากปากของเขาอย่างต่อเนื่อง
เขากินเม็ดยาปลุกกำหนัดจนกลายเป็นคนเสียสติ
เฉียนหรงจื่อใช้ทักษะดูดพลังดูดพลังปราณของเขาจนเหือดแห้ง แม้แต่พละกำลังของเขาก็ไม่เหลือ ในฐานะคนที่เคยเล่นสนุกกับผู้หญิงเป็นงานอดิเรก เขาต้องจบชีวิตลงเพราะถูกผู้หญิงเล่นสนุก มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าขัน
บนร่างของเขา ร่างของเฉียนหรงจื่อเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวของนางเปล่งประกายขณะที่รูปลักษณ์ของนางดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากขึ้น นางเหมือนเถาวัลย์สีเขียวอ่อนที่พันรอบต้นไม้และดูดสารอาหารจากมันจนออกดอกบานสะพรั่ง
นางมีความสุขที่ไม่ถูกสิ่งใดรบกวนจิตใจเนื่องจากเม็ดยาสงบใจ ด้วยการสนับสนุนจากบิดาของเว่ยอิงเจีย พลังปราณของเขาจึงมีมากมายมหาศาล มันมากกว่าที่เฉียนหรงจื่อคาดไว้นับสิบเท่า
เฉียนหรงจื่อรับพลังปราณทั้งหมดเอาไว้โดยไม่ลังเล ตอนนี้นางกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ไปแล้วและยังอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นสี่ การก้าวเข้าสู่ขั้นห้าเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
แม้ทักษะดูดพลังจะน่ากลัวแต่มันก็ไม่สามารถดูดซับพลังปราณทั้งหมดของจอมยุทธ์ขั้นหกได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่หายไประหว่างกระบวนการ มิฉะนั้นนางคงก้าวเข้าสู่ขั้นหกได้โดยตรง อย่างไรก็ตามเฉียนหรงจื่อพอใจมากแล้วกับความสำเร็จของนาง
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้รับมาโดยไม่มีข้อเสีย นางต้องการเม็ดยาเมฆาพิรุณเพื่อชำระล้างพลังปราณให้บริสุทธิ์มากขึ้น อย่างไรก็ตามนางไม่กังวลกับเรื่องนี้ ตราบเท่าที่การบ่มเพาะของนางเพิ่มขึ้น มันก็มีวิธีการมากขึ้นที่นางจะได้รับเม็ดยาดังกล่าว
นางไม่เคยวางแผนที่จะดูดกลืนพลังปราณของจอมยุทธ์ทั่วไป มันสกปรกเกินไปและช้าเกินไป พลังปราณของแต่ละคนแตกต่างกัน หากมันต่างกันมากเกินไป มันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง นี่คือเหตุผลที่นางไม่มีความคิดที่จะไล่ล่าจอมยุทธ์ทั่วไป นางต้องการเหยื่อที่มาจากนิกายเมฆาพิรุณเหมือนนางเท่านั้น
ยันต์อัคคีเผาศพเป็นขี้เถ้า นางคิดว่าถึงเวลาแล้วที่นางจะกลับไปรายงานข่าวกับนิกายเมฆาพิรุณว่านายน้อยเว่ยหมดความอดทนและเข้าไปตามหาหลี่ฉิงซานในถ้ำผีดิบโดยไม่กลับออกมา
นางหยิบยาอีกเม็ดออกมาและกินมันเข้าไป มันทำให้การบ่มเพาะของนางกลับสู่ขั้นสาม หลังจากนั้นนางก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกจากวังใต้ดิน นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าของฤดูใบไม้ร่างที่ปลอดโปร่งและเผยรอยยิ้มเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ “ชะตากรรมของข้าอยู่ในมือของข้าเอง!”
…..
ในห้องที่มีทิวทัศน์งดงาม หวังฝูซื่อโยนกองเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของฮัวเฉิงซาน “เจ้าคิดอย่างไร?”
ฮัวเฉิงซานเอนหลังลงบนพนัก เพียงยื่นมือออกไป เอกสารก็ลอยขึ้นสู่อากาศ
ฮัวเฉิงซานมองผ่านพวกมันอย่างรวดเร็วและจดจำได้ทุกประโยค
ข้าเห็นพวกเขาออกเดินทาง...เราแยกทางกับหลี่ฉิงซาน ข้าไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น...เขาบอกด้วยตัวเองว่ามีความคับข้องใจกับจ้าวจื่อป๋อ...ผู้นำนิกายของเราบอกว่าเราต้องนำตัวเด็กกลับไป...
ราวกับเสียงนับไม่ถ้วนกระซิบอยู่ที่ข้างหูของเขาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกัน ไม่นานเอกสารที่ลอยอยู่กลางอากาศก็กลับมารวมตัวกันบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
ฮัวเฉิงซานเปิดเปลือกตาขึ้น “หากเหออี้ซื่อกล่าวเรื่องจริง...”
หวังฝูซื่อถาม “แล้วอย่างไร?”
ฮัวเฉิงซานยิ้ม “หลี่ฉิงซานล่อจ้าวจื่อป๋อไปฆ่าก่อนจะฆ่าเหล่าซีซาน” หลังจากมันสมองอันชาญฉลาดของเขาแยกแยะข้อมูล ความเท็จทั้งหมดก็ถูกกำจัดออกไป ช่องว่างถูกเติมเต็ม และสิ่งที่เหลืออยู่ก็ไม่ห่างไกลจากความจริงมากนัก
หวังฝูซื่อขมวดคิ้ว “นั่นเป็นไปไม่ได้ เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสอง เขาจะฆ่าจ้าวจื่อป๋อและผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จำนวนมากได้อย่างไร?”
ฮัวเฉิงซานกล่าว “เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองที่ฆ่าจอมยุทธ์ขั้นห้า ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเอง เขาอาจล่อจ้าวจื่อป๋อเข้าไปในรังปีศาจ ท่านรู้ว่าใต้ดินไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย แม้แต่พวกเราก็ยังต้องระวังตัว”
หวังฝูซื่อพยักหน้า ใต้ดินเป็นเขตต้องห้ามสำหรับมนุษย์
ฮัวเฉิงซานกล่าวต่อ “เป็นไปได้ว่าเขาวางกับดักด้วยยันต์ระเบิดหลายร้อยแผ่นหรือหากเขาใช้พายุอีกาเพลิงของนิกายม่อจื้อ สิ่งที่เขาต้องทำก็มีเพียงการเลือกสถานที่ มันไม่ได้ยากลำบากมากนักในการฆ่าจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีวิธีการมากมายที่สามารถฆ่าพวกเขา หากเขาไม่ถูกหลี่ฉิงซานฆ่า ข้าควรคิดว่าจ้าวจื่อป๋อหลงทางอยู่ในถ้ำใต้ดินหรือไม่?”
“หลี่ฉิงซานนำพวกเขาออกไปแต่กลับมาคนเดียว ตาแก่หวัง หากไม่ใช่เพียงเพราะการบ่มเพาะของเขา มันยังไม่ชัดเจนอีกงั้นหรือ? ผู้ชนะเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมา เห็นได้ชัดว่าผู้แพ้จะต้องตายอยู่ที่ใดสักแห่ง”
“มันควรเป็นเช่นนั้น!” หวังฝูซื่อค่อยๆเชื่อเรื่องนี้ เขาผ่านความยากลำบากมากมายก่อนจะกลายเป็นผู้บัญชาการที่ทรงอิทธพล แต่เขายังชื่นชมสติปัญญาของฮัวเฉิงซาน เขาต้องยอมรับว่ามีอัจฉริยะมากมายอยู่บนโลกใบนี้
ฮัวเฉิงซานกล่าวต่อ “หลังจากศิษย์นิกายม่อจื้อแยกทางกับหลี่ฉิงซาน หลี่ฉิงซานก็อยู่ตามลำพังกับเหล่าซีซาน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างพวกเขา ตามที่เหออี้ซื่อรายงาน หลี่ฉิงซานได้รับผีดิบเหล็กไหล ด้วยความสามารถของเหล่าซีซานที่พึ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นหก เป็นไปได้ที่เขาจะถูกสังหารโดยผีดิบเหล็กไหล บางทีตอนนี้เด็กคนนี้อาจกำลังบ่มเพาะอย่างสันโดษอยู่ที่ใดที่หนึ่งด้วยสมบัติที่ยึดมา”
หวังฝูซื่อกล่าวด้วยความโกรธ “เด็กคนนี้ช่างเลวทรามนัก ข้าไม่ควรปล่อยให้เขาเข้าร่วมหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ตั้งแต่แรก!”
ฮัวเฉิงซานขยิบตาอย่างซุกซน “ในเวลานั้นท่านไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถสังหารเฟิงจางและยังกล้าพอที่จะมารายงานตัวที่เมืองเจียเผิง”
หวังฝูซื่อมองฮัวเฉิงซานด้วยสายตาชั่วร้าย “เขาเพียงโชคดี”
ฮัวเฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองเพดาน “หนึ่งหรือสองครั้งคือโชคดี หากเขาสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งกว่าและรอดพ้นจากความตายได้ทุกครั้ง นั่นไม่ใช่โชคอีกต่อไป มันคือความแข็งแกร่ง!”
หวังฝูซื่อกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรโชคของเขาก็หมดลงแล้ว”
ฮัวเฉิงซานก้มศีรษะลงและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท่านคิดจะทำสิ่งใด?”
หวังฝูซื่อกล่าว “ฮืม ข้าจะนำเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพียงไม่กี่เดือนหลังจากเข้าร่วมหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เขาก็สังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปถึงสองคน ข้าไม่เคยเห็นผู้พิทักษ์หมาป่าทมิฬคนใดแข็งกร้าวเช่นนี้มาก่อน เขาไม่เกรงกลัวกฎหมายหรืออำนาจใดๆเลย”
ฮัวเฉิงซานกล่าว “นั่นเป็นเพียงการคาดเดาของข้า มันอาจไม่ใช่เรื่องจริงและไม่มีหลักฐาน แล้วเหตุใดเขาต้องยอมรับ?”
หวังฝูซื่อกล่าว “แล้วเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเช่นนี้งั้นหรือ?”
ฮัวเฉิงซานกล่าว “จ้าวจื่อป๋อรนหาที่เอง เขาไปไกลถึงกับระดมทุกคน เขาพยายามฆ่าลูกน้องของตน แล้วหลี่ฉิงซานไม่ได้รับอนุญาตให้สู้กลับงั้นหรือ? จ้าวจื่อป๋ออยู่ในเมืองเจียเผิงมานานแล้ว เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายเมฆาพิรุณมากเกินไปและมันก็ถึงเวลาที่เราควรเปลี่ยนตัวเขาแล้วเช่นกัน”
หวังฝูซื่อกล่าว “เหล่าซีซานก็ถูกฆ่า เขาสมควรได้รับสิ่งนี้งั้นหรือ?”
ฮัวเฉิงซานไม่สบอารมณ์ “เขาสมควรได้รับมัน หากหลี่ฉิงซานต้องการปิดปากผู้คน คนที่เขาควรปิดปากมากที่สุดคือศิษย์นิกายม่อจื้อ โดยพื้นฐานแล้วคำให้การของเหออี้ซื่อพยายามปรับปรำหลี่ฉิงซานให้เป็นฆาตกรแม้หลี่ฉิงซานจะช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ก็ตาม หากหลี่ฉิงซานใจดำ เขาคงปล่อยให้คนเหล่านั้นตายด้วยน้ำมือของนักพรตผีดิบไปแล้วโดยที่ตนเองไม่ต้องทำสิ่งใดเลย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีความตั้งใจเช่นนั้น เหตุใดพวกเราต้องใจแคบ?”
เขามีความประทับใจที่ดีต่อหลี่ฉิงซาน นอกจากครั้งที่พวกเขาพบกันในอดีต หลี่ฉิงซานยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮัวเฉิงลู่แต่เขากลับไม่ต้องการใช้สายสัมพันธ์ดังกล่าวเพื่อตนเอง เขาไม่เคยขอความช่วยเหลือจากตระกูลฮัวแม้เขาจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง เขาไม่เคยแม้แต่จะกลั่นแกล้งจ้าวจื่อป๋อโดยผ่านฮัวเฉิงลู่