ตอนที่ 919 ล้มครืนสนั่นหวั่นไหว
มู่จื่อเสียยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่เศร้าและเคร่งขรึมเหมือนกับศิลาที่ถูกสายลมกัดกร่อน ลักษณะของเขาเหมือนกับคนได้รับความลำบาก แต่ภายในใจของเขาไม่เคยหวั่นไหวมาก่อน นี่เป็นสีหน้าที่คุ้นเคยที่สุดที่ทหารรู้จัก ไม่มีความอบอุ่นสีหน้าที่คอยเตือนพวกเขามาต่อเนื่องมาหลายปีต่อการเผชิญหิมะและความยากลำบากในทวีปเว่ยเย่กวน
แต่เป็นใบหน้าที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย
ทุกคนกลั้นลมหายใจและพักบนโขดหินรักษาความเงียบและฟื้นฟูเรี่ยวแรง กระบวนการสู้รบที่น่ากังวลและความแข็งแกร่งของศัตรูสร้างแรงกดดันอย่างหนักจนทุกคนหืดจับ แต่ความมุ่งมั่นบนใบหน้าของพวกเขาไม่เคยหวั่นไหว
หลังจากฟื้นฟูเล็กน้อยพวกเขาก็เริ่มทำความสะอาดดาบกระบี่ของพวกเขา ผลที่ได้รับจากมู่จื่อเสียทำให้ทหารภายใต้บัญชาการของเขารักการดูแลรักษาดาบ ถึงขนาดที่ดาบกระบี่ทั้งหมดออกแบบมาเหมือนๆกัน แต่พวกเขาเป็นกองทัพของแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่ง แม้ว่าการออกแบบดาบของพวกเขาจะออกแบบมาให้มีการบำรุงรักษา แต่ดาบนั้นก็สร้างขึ้นมาจากวัสดุมีค่ามากและใช้วิทยาการที่ก้าวหน้าที่สุดของวิหารสร้างขึ้นมา ราคาในการผลิตสูงมาก
ในตลาดมืดดาบกระบี่ที่ผ่านพิธีรับมอบนี้จะมีราคาที่ประเมินค่ามิได้ และเป็นสมบัติที่คนนับไม่ถ้วนแสวงหา
ดาบกระบี่เหล่านั้นล้วนเป็นสมบัติทั้งหมดมีลักษณะทนทานมากเป็นพิเศษสามารถทนต่อการโจมตีรุนแรงโดยไม่แตกหัก ในประวัติศาสตร์ของกองทัพของเขา ไม่เคยมีการสู้รบรุนแรงถึงขนาดที่ดาบได้รับความเสียหายมาก่อน
แต่ในขณะนั้นดาบทุกเล่มในมือพวกเขามีร่องรอยแตก และตำหนิที่สามารถมองเห็นได้
ทหารมองด้วยสายตาที่เจ็บปวดแม้ว่าพวกเขาจะเช็ดดูแลอย่างนุ่มนวล ในสายตาของพวกเขา ดาบกระนี่เหล่านี้ก็เป็นสหายมาอย่างยาวนานที่สุด อยู่กับตัวพวกเขามาทั้งวันและทั้งคืน
พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะมีสักวันที่สหายที่สนิทที่สุดของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ
‘พวกเจ้าสร้างขึ้นจากวัสดุมีค่าที่สุดของวิหารไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าถูกสร้างขึ้นจากวิทยาการที่ก้าวหน้าที่สุดไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกเจ้าถึงบาดเจ็บได้?’
ในตอนแรกหลังจากทุกๆการสู้รบ จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหลือเชื่อ แต่ขณะที่จำนวนการต่อสู้เพิ่มขึ้นความเข้าใจของพวกเขาที่มีต่อศัตรูพวกเขาก็ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และพวกเขาก็ต้องร้องด้วยความประหลาดใจ
เหมือนอย่างที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะมีกองทัพที่แข็งแกร่งเท่ากับพวกเขามาก่อน และยังมีแม่ทัพทหารที่ไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพฝ่ายเขาในเรื่องสติปัญญาและกำลัง กองทัพดาวกางเขนใต้ ชื่อที่พวกเขาทุกคนไม่รู้จัก แม่ทัพบอกพวกเขาว่า นี่เป็นกองทัพดาวกางเขนใต้ พวกทหารไม่เคยได้ยินชื่อกองทัพดาวกางเขนใต้มาก่อน แต่พวกเขารู้จักสัมพันธมิตรใต้ แม้ว่าพวกเขาจะยืนป้องกันทวีปเว่ยเย่กวนมานานและพวกเขาไม่มีส่วนร่วมกรีฑาทัพลงใต้ พวกเขาไม่คุ้นเคยกับชื่อสัมพันธมิตรใต้
‘แต่กองทัพสัมพันธมิตรใต้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นจริงๆ หรือ?’
นั่นคือความสงสัยที่พวกเขามี ‘ถ้าสัมพันธมิตรใต้ถือครองกองทัพที่ทรงพลังขนาดนั้นเป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะยอมพ่ายแพ้และถอยออกจากสมรภูมิ?’
ใช่แล้วนั่นเป็นข่าวเก่าไปแล้ว พวกเขาได้รับทราบสถานการณ์สู้รบล่าสุด ความเชื่อมโยงของพวกเขากับวิหารถูกตัดขาด และพวกเขายังอยู่ในทวีปคนเถื่อนโดยไม่ได้รับการสนับสนุน
ต้องกล่าวว่าพวกเขามองโลกในแง่ดีก่อนจะออกเดินทาง และตัวแปรที่ใหญ่ที่สุดก็คือกองทัพดาวกางเขนใต้ ไม่มีใครคิดว่าในดินแดนกันดารของทวีปแดนเถื่อนยังจะมีกองทัพดาวกางเขนใต้อยู่ด้วย นอกจากนี้ยังเป็นกองทัพจักรกล และพวกเขายังทรงพลังมาก
แผนการสู้รบของพวกเขาล้มเหลวมานานแล้ว และไม่เพียงแต่พวกเขาไม่อาจหาเทพธิดาศึกได้พบเท่านั้น พวกเขายังรบติดพันอยู่กับกองทัพดาวกางเขนใต้ พวกเขาไม่กล้ากลับไปยังที่ๆ พวกเขาจากมา เพราะทันทีที่ประตูดวงดาวเปิดเข้าสู่ทวีปเว่ยเย่กวน ทวีปเว่ยเย่กวนจะตกอยู่ในสภาพอันตราย นอกจากนี้กองทัพดาวกางเขนใต้ยังขวางทางกลับของพวกเขา พวกเขาไม่มีโอกาสกลับไปรวมกลุ่มและป้องกันไว้ได้
กองทัพแดนเถื่อนเป็นกองทัพใหญ่ที่น่าตกตะลึง แต่มู่จื่อเสียไม่กังวลในเวลาปกติเขาจะใช้เวลาฝึกฝนอย่างจริงจัง และก่อนจะเคลื่อนกำลังเขาได้สั่งแม่ทัพนายกองให้ป้องกันอย่างระมัดระวัง ทวีปเว่ยเย่กวนแต่ละชั้นถูกมู่จื่อเสียสร้างขึ้นและเขาทราบชัดถึงความทนทาน
ตราบใดที่พวกเขายังต้านรับในช่วงแรก วิหารจะส่งคนมาเสริมกำลังแน่นอน และมู่จือเสียรู้ว่าต้องเป็นเจียย่าต่อให้เขาหลับตาก็ตาม ใครจะมีพลังตั้งรับที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับเจียย่า? และจะมีที่ไหนที่เป็นสนามรบที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเจียย่า?
‘เจียย่าควรจะควบคุมทวีปเว่ยเย่กวนไว้ได้แล้ว’ มู่จือเสียประเมินและตัดสินใจแล้ว
‘มีเจียย่าประจำการอยู่ที่นั่น ทวีปเว่ยเย่กวนคงไม่ถูกตีแตก’
มู่จือเสียทิ้งปัญหาของทวีปเว่ยเย่กวนออกไปจากใจ และเริ่มพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันของเขา
ความแข็งแกร่งของกองทัพดาวกางเขนใต้เกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก เขาไม่เคยคิดเลยว่ากองทัพของเขาเองจะได้รับความเสียหายอย่างหนักก็เสียเปรียบก็คือพวกเขาอยู่ในทวีปแดนเถื่อนที่ซึ่งทุกเผ่าพันธุ์เป็นศัตรูกับเขา แต่ตรงกันข้ามกับกองทัพดาวกางเขนใต้
เขาต้องนำกองทัพของเขาเองกลับ ไม่เพียงแต่เพราะเขามองทหารทุกคนเหมือนกับลูกหลานของเขา ไม่ใช่แค่เพราะเขาสร้างความรู้สึกลึกซึ้งกับกองทัพ แต่เป็นเพราะวิหารต้องการพวกเขา วิหารต้องการกองทัพของมู่จือเสีย!
อาจกล่าวได้ว่ากองทัพดาวกางเขนใต้ตรึงการป้องกันของมู่จือเสียเอาไว้และทำลายแผนทั้งหมดของพวกเขาทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพทำอะไรไม่ได้ แต่เขาไม่ได้สูญเสียเหตุผลและการตัดสินใจ แม้ว่าเขาจะถูกตรึงไว้
‘พวกเขาไม่สามารถเอาชนะทวีปแดนเถื่อนได้’
มู่จือเสียใช้วิธีการต่างๆสลัดให้หลุดจากกองทัพดาวกางเขนใต้ แต่แม่ทัพนายกองศัตรูเจ้าเล่ห์มากและมีประสบการณ์ที่ทำให้เขาทึ่ง การปลอมแปลงของพวกเขาล้มเหลวทั้งหมด ศัตรูสามารถมองเห็นแผนของพวกเขาได้ทั้งหมดและทุกครั้งเขารู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังสวมเสื้อสะท้อนแสงอาทิตย์
เขามีความเข้าใจผิดว่าศัตรูเป็นเพียงจิ้งจอกแก่ที่ผ่านการรบมาเป็นหมื่นศึกและอาศัยประสบการณ์ที่โชกโชนของเขา มู่จือเสียงงกับการเข้าใจผิดของเขา ‘ไม่ว่าจะเป็นดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือสวรรค์วิถี ไม่ได้มีสงครามใหญ่เลย ตัวประหลาดเฒ่านั่นปรากฏออกมาได้ยังไง’
มู่จือเสียจนใจเมื่อตระหนักว่าไม่ว่ากลยุทธหรือความสามารถในการรบศัตรูแข็งแกร่งมากกว่าเขา
เขายังมีความประทับใจลึกกับรังสีกางเขนแพรวพราวที่สร้างความพ่ายแพ้ให้กับพวกเขา
‘ข้าควรทำยังไงดี?’
มู่จือเสียตระหนักได้ทันทีว่าเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง เขาถูกปลุกให้ตื่นหลังของเขาหลั่งเหงื่อโชกโดยไม่รู้ตัว เขารู้ว่าเขาถูกข่มเอาไว้ได้ทุกด้านทำให้ความคิดของเขาเสียสมดุล
เขาฝืนยิ้มขมขื่น
เขาไม่เคยคาดเลยว่าจะมีคนมีประสบการณ์ในโลกที่สามารถข่มเขาได้ทุกด้านสร้างความงุนงงสับสนให้เขา ‘นี่เป็นลางไม่ดีซึ่งก็หมายความว่าความมั่นใจของข้าถูกโยกคลอน’ เขาเตือนตนเอง
แม้ว่าเขาจะถูกข่มโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ยังต่อสู้เพื่อสร้างบาดแผลให้กับศัตรูของเขา แม้ว่าความมั่นใจของเขาจะหวั่นไหว เข้าก็ยังพยายามควบคุมสถานการณ์และป้องกันไม่ให้ล่มสลาย
ม่านตาของเขาชัดเจน เขามักจะเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและหนักแน่นความพ่ายแพ้ไม่ทำให้เขาสูญเสียความกล้าหาญ
เขาเรียกขุนพลของเขาและเรียกประชุมสั้นๆเมื่อผ่านการโจมตีถี่ๆ จากศัตรู เขาแทบไม่มีเวลาพักหายใจ และมู่จือเสียคาดว่าการโจมตีครั้งต่อไปจะเริ่มในไม่ช้า นั่นคืออีกจุดหนึ่งที่มู่จือเสียรู้สึกว่าเหลือเชื่อ กองทัพของเขาฝึกฝนมาอย่างโหดหินและความอดทนของพวกเขาไม่อาจวัดได้และไม่มีใครเทียบ แต่เมื่อถึงจุดนี้ศัตรูยังแข็งแกร่งกว่า
สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมมู่จือเสียได้ก็คือภายใต้แรงกดดันที่หนักหน่วงการเติบโตของพวกเขาน่าทึ่งมาก
ตอนเริ่มแรกพวกเขามีลักษณะที่น่ากลัวอาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ไม่เบา แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ยังอยู่ในสภาพแย่ แต่บางคราวพวกเขาสามารถตอบโต้ได้ และอาการบาดเจ็บล้มตายของพวกเขาลดลง ถ้ากองทัพดาวกางเขนใต้ไม่ได้เป็นของสัมพันธมิตรใต้ มู่จือเสียคิดว่าสามารถสู้กับพวกเขาได้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
“ให้ความสนใจด้านปีกของเรา เมื่อครั้งล่าสุด เราลำบากเพราะไม่มีการป้องกันปีกของเรา เหตุผลไม่ใช่เพราะเราดูแลไม่ดี แต่เป็นเพราะเรามาแยกกัน ข้าจะทำซ้ำอีกครั้ง ระยะเวลาที่เราสามารถแยกกันได้ประมานหกวินาทีถ้าเป็นในอดีตถือว่าเป็นข้อบกพร่อง แต่ศัตรูของเราเป็นยอดฝีมือ หกวินาทีเพียงพอให้พวกเขาลงมือโจมตีได้ พวกเขาเชี่ยวชาญในการรุกซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง จำเอาไว้เมื่อการสู้รบเริ่มต้นขึ้น อย่าให้พวกเขาได้โอกาสรุกและรักษาจังหวะเอาไว้ พวกเจ้าต้องดึงจึงหวะสู้รบให้ช้าลง กลยุทธของพวกเขาต้องอาศัยจังหวะที่รวดเร็ว...”
มู่จือเสียไม่ได้พูดเร็ว เขายังคงสงบสีหน้าปราศจากความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย
ขุนพลทั้งหลายฟังอย่างตั้งใจ พวกเขามักจะประชุมกันก่อนเข้าสู้รบ พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าพวกเขาจะแพ้มากเพียงไหน สิ่งที่พวกเขามียังไม่ถือว่าดีต่อการก้าวหน้าเติบโตของพวกเขา
ด้วยการสู้รบนับไม่ถ้วนพวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะยังเสียเปรียบ แต่ความมั่นใจของพวกเขาในการกลับไปวิหารเพิ่มขึ้น พวกเขาเป็นมือดีกันทุกคน และมู่จือเสียไม่เคยย่อหย่อนในเรื่องการฝึกฝนพวกเขา และสร้างรากฐานให้พวกเขาอย่างแข็งแกร่ง
พวกเขาเหมือนอัญมณีที่ยังไม่ได้เจียระไน และด้วยการสู้รบที่รุนแรงกับศัตรูที่มีพลังสูงส่งเป็นหินเจียระไนที่ดีที่สุด พวกเขาเริ่มเปล่งความสุกใสและไม่ว่าศัตรูของพวกเขาจะทรงพลังเพียงไหน พวกเขาไม่เคยกลัว
พวกเขารู้ว่าเจ้านายของพวกเขาจะนำพวกเขากลับไปยังวิหารได้
พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะต้องได้ชัยชนะต่อทหารดาวกางเขนใต้ ก็เหมือนอย่างที่พวกเขาเชื่อว่าทวีปกวงหมิงจะต้องได้ชัยชนะสุดท้ายต่อสัมพันธมิตรใต้
‘สถานการณ์ที่อยู่ต่อหน้าเราก็แค่การฝึกเท่านั้น
พวกเขาเงยหน้าและฟังทุกคำของผู้บัญชาการของพวกเขา
ทันใดนั้นโดยไม่มีเค้าลางมู่จือเสียเป็นเหมือนกับว่าถูกฟ้าผ่า เสียงของเขาหยุดชะงัก และเขาตกตะลึง
ลักษณะอาการของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน
มู่จือเสียชะงักค้างเหมือนตุ๊กตา ค่อยๆ หันหน้าไปมองในระยะไกล
ทุกคนใจหายวูบเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นอาการตื่นเต้นในดวงตาของเจ้านาย เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นความกลัวในดวงตาของเจ้านาย พวกเขาเห็นแววสูญเสียและหลุมแห่งความสิ้นหวัง
พวกเขามองตามสายตาเจ้านาย แต่ไม่พบอะไรเลย
‘เกิดอะไรขึ้นกับนายท่าน?’ทุกคนกังวล
ในดวงตาลึกดูเหมือนกับว่าชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอย ไม่มีมีราศีที่สง่าและเข้มงวดในร่างของเขาอีกต่อไป เขาเหมือนชายชราที่พยายามพยุงตัว
ผมของเขาพลันขาวโพลนดังหิมะอย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
น้ำตาโลหิตเริ่มหลั่งไหลออกมาจากเบ้าตาที่หมองคล้ำของเขาหน้าของเขาผิดหวัง
“ทวีปเซียน....ทำไม?”
บุรุษผู้ทนทานเหมือนเหล็กกล้าเบิกตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาและล้มตึงทันที