ตอนที่ 917 ความรู้สึก
หลังจากเซี่ยอวี่อันรายงานภารกิจต่อนายท่าน เขาเลิกวางท่าทางผู้บัญชาการด้วยสีหน้าสงบ แต่ใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
เขาได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการสูงสุดและไม่พบว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ว่าเขาจะถูกวางตัวไว้แนวหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับสมัครคัดเลือกทหารหรือถ่วงเวลาม่อซินให้ล่าช้าเขาทำทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นการปฏิบัติการทางทหารที่โดดเด่น
สิ่งแรกที่ผู้คนทำเมื่อพวกเขาเห็นคำสั่งคือแสดงความยินดีกับเขา พวกเขาเห็นเซี่ยอวี่อันในฐานะแม่ทัพทหารที่โดดเด่นซึ่งได้รับการสนับสนุน การเลื่อนขั้นของเซี่ยอวี่อันเป็นเรื่องที่ทุกคนจับตามมอง ในสายตาคนส่วนใหญ่ไม่มีใครสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่ได้เท่าท่านเซี่ยอวี่อัน
เขากลายเป็นแบบอย่างของภูมิภาคใต้
เซี่ยอวี่อันไม่ได้รับผลกระทบมากนักหลังจากสงครามนองเลือดและกลายเป็นคนที่มั่นคงมากกว่าเดิม เหรียญตราที่เขาได้รับล้วนอาบเลือดของเหล่าสหายของเขา และสำหรับเขามันเป็นความรู้สึกที่หนักมาก
และเขารู้ว่าคำสั่งสูงสุดได้สั่งให้เขากลับมาไม่ใช่เพื่อเลื่อนตำแหน่งเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะสงครามเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว
จากการสูญเสียอย่างร้ายแรงของโกวเฉิงเวิ่นเต้าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทวีปซางโจว ความสำเร็จในการถ่วงเวลาม่อซินและชิวซิ่วหัว พวกเขาได้ขุดหลุมลึกสำหรับทวีปกวงหมิง
แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้สัมพันธมิตรใต้กุมความได้เปรียบคือมีการขัดแย้งกันของผู้มีอำนาจในทวีปกวงหมิง เซี่ยอวี่อันไม่เคยคาดว่าการขัดแย้งกันภายในจะเกิดขึ้นในทวีปกวงหมิงในช่วงเวลาสำคัญขนาดนั้น ความขัดแย้งภายในของทวีปกวงหมิงกะทันหันและรุนแรงจนข่าวลือและข่าวนินทากระจายไปทั่วทุกพื้นที่
ความขัดแย้งภายในทวีปกวงหมิงก็คือปมของสงคราม และเป็นปมจุดเปลี่ยนให้สัมพันธมิตรใต้เปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุก
คู่สงครามทั้งสองฝ่ายตระหนักว่าสมดุลของสมรภูมิเริ่มเอนเอียงไปทางสัมพันธมิตรใต้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังใจครั้งใหญ่ กำลังใจของสัมพันธมิตรใต้พุ่งสูง และความกลัวที่พวกเขามีต่อทวีปกวงหมิงถูกกวาดหายไปหมดเริ่มมองเห็นชัยชนะในอนาคต ศักดิ์ศรีของสัมพันธมิตรใต้เริ่มสูงเฉิดฉายเหมือนกับพระอาทิตย์เที่ยงวัน ศัตรูของพวกเขาก็คือทวีปกวงหมิง วิหารที่ทรงพลังและการเพิ่มขึ้นของชัยชนะของสัมพันธมิตรใต้ทำให้เป็นที่รู้กันว่าพวกเขาก็แข็งแกร่ง
แม้ว่าการสู้รบจะยังไม่จบ แต่ข่าวของสัมพันธมิตรใต้ก็มีการแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคใต้ ในช่วงต้นของการรวมตัวของภูมิภาคใต้ ภายใต้ไฟสงคราม ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าพวกเขาสามารถต้านทานต่อสู้การแทรกซึมของทวีปกวงหมิงได้ และทั้งหมดเข้าร่วมกับสัมพันธมิตรใต้
เทียบกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นของสัมพันธมิตรใต้แล้ว กำลังใจของทหารจากทวีปกวงหมิงนับวันมีแต่จะตกต่ำลง
ทหารของทวีปกวงหมิงทุกคนเผชิญกับการลอบทำร้ายหรือการต่อต้านก็ตระหนักได้ว่ามีความรุนแรงเกินกว่าเมื่อตอนสงครามเพิ่งเริ่ม พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาติดอยู่ในทรายดูด การสู้รบกลายเป็นยากลำบากมากขึ้น และถ้านี่ไม่พอจะให้พวกเขาสูญเสียกำลังใจ อย่างนั้นข่าวการขัดแย้งกันในทวีปกวงหมิงทำให้หัวใจของพวกเขาเย็นยะเยือกชิวซิ่วหัวและม่อซินได้รับผลกระทบมากที่สุด การกระทำของตระกูลชิวและตระกูลม่อทำให้ทั้งสองคนอยู่ในสถานะที่น่าอึดอัด
พวกเขาลังเลไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไร และกลับกลายเป็นกังวลถึงอนาคตของตน ถ้าสัมพันธมิตรใต้ชนะ ก็คงไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเขา แต่ถ้าวิหารชนะ พวกเขาจะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีที่ฝังศพ
ความกังวลของโกวเฉิงเวิ่นเต้าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงคืนเดียวเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้หรือการป้องกันได้เกิดขึ้นในระหว่างสามแม่ทัพใหญ่
เซี่ยอวี่อันมองเห็นตรงนี้ พวกเขาไม่มีศัตรูใดๆอยู่เบื้องหลังของพวกเขาต่อไปและการเพ่งความสนใจติดตามการสู้รบถูกย้ายไปที่ทวีปซางโจว นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงที่มีคำบัญชาเรียกตัวเขากลับ เนื่องจากไม่ต้องมีการระวังหลังอีกต่อไป สำหรับเซี่ยอวี่อันเป็นแม่ทัพทหารที่ทรงพลัง แต่ถ้าไม่ถูกใช้งาน นับเป็นความสูญเปล่า
เซี่ยอวี่อันดีใจราวกับเป็นแม่ทัพบัญชาการใหม่บริสุทธิ์ เขาเชื่อว่าเขาจะต้องกลับมาอยู่ในสมรภูมิ เพราะการสู้รบนั้นสำคัญมาก
‘ก็เพียงแค่นั้น....’
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขารู้สึกได้ก่อนนั้นความดีใจของเขาลดลง
เมื่อเขารายงานท่านปิง เขาตระหนักว่าท่านปิงมีร่องรอยกังวลอยู่ในใบหน้า แม้ว่าปิงจะซ่อนไว้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่เซี่ยอวี่อันก็ยังรู้ได้ เซี่ยอวี่อันกังวลมาก ‘สถานการณ์ก็ดีทำไมนายท่านถึงยังกังวล?’
ภายในห้องประชุมควันลอยอ้อยอิ่ง
ใบหน้าไพ่ของปิงเลือนรางอยู่ในกลุ่มควันมีเถ้าบุรุษตกอยู่โดยรอบเท้าเขา เขาจ้องมองแผนที่บนผนังและยังคงยืนอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานานโดยไม่ขยับ ตาของเขาราวกับว่าจะมองทะลุทุกอย่างบนแผนที่และเต็มไปด้วยความกังวล
การเชื่อมโยงของเขากับถังเทียนถูกตัด
ไม่ใช่เป็นครั้งแรก เมื่อถังเทียนอยู่ในแดนบาป การเชื่อมโยงของพวกเขาก็ถูกตัดขาด เวลานั้นเขาไม่ได้กังวล และยังคงควบคุมและพัฒนาสัมพันธมิตรใต้ เพราะเขารู้สึกว่าถังเทียนจะมีวิธีกลับมายังดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้
‘แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป’
ถังเทียนพบเขาในช่วงเวลาสองวัน และเขาได้ยินรายงานของถังเทียนเกี่ยวกับเรื่องทวีปกวงหมิง ปิงรู้สึกว่าข่าวการขัดแย้งภายในทวีปกวงหมิงถือเป็นโอกาสที่ดีมาก และโดยพลังของสัมพันธมิตรใต้ พวกเขาได้แพร่กระจายข่าวออกไปอย่างกว้างไกล แม้แต่โกวเฉิงเวิ่นเต้าและพวกก็ได้รับรับแจ้งผ่านช่องข่าวของปิง
ปิงยังรู้อีกว่าการต่อสู้ที่เด็ดขาดสำหรับถังเทียนและพวกสนิทและเพราะการเชื่อมโยงกับเขา ถังเทียนถูกตัดขาดกะทันหันในช่วงเวลาสำคัญ ปิงรู้สึกถึงอันตรายทันที
ความลึกซึ้งยากจะหยั่งของวิหารและการปิดบังพลังเอาไว้ทำให้ผู้คนกลัวพวกเขา ปิงและวิหารมีการต่อสู้มานานและความรู้ของเขาที่มีต่อวิหารและความตั้งใจของพวกเขาก็มีเหนือมากกว่าคนอื่นไม่ว่าจะเป็นกองทัพของวิหารหรือแม่ทัพใหญ่ ทุกอย่างนั้นโดดเด่นมากแสดงให้เห็นถึงระบบการคัดสรรผู้มีพรสวรรค์และการสร้างกองทัพที่มีเหนือมหาอำนาจอื่น
แม้แต่สัตว์ป่าก็จะดิ้นรนต่อสู้จนพวกมันตายสำหรับพวกโหดร้ายอำมหิตอย่างวิหาร พวกเขาจะรอให้ถูกจับได้อย่างไร?
สัตว์ที่ดุร้ายจะใช้พลังฮึดครั้งสุดท้ายของมันดิ้นรนมากขึ้น สัมพันธมิตรใต้ยิ่งคุกคามต่อวิหารโดยตรงและปิงเชื่อว่าถ้าเขาเองเห็นจากระยะไกลหลายไมล์ว่า ระดับสูงของวิหารก็จะต้องเห็นได้ชัดมากกว่าและการตอบโต้ของพวกเขาจะต้องรุนแรงเกินกว่าจะคาด
ด้วยการสนองตอบที่รวดเร็วที่สุดของเขา ปิงส่งคนจำนวนมากออกไปสังเกตการณ์และพยายามรับข้อมูลมาให้มากและชัดเจนที่สุด แต่เขารู้ว่าปัญหานั่นไม่สามารถจัดการได้โดยเร็ว เขาต้องการเวลา การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์อย่างฉับพลันทำให้สัมพันธมิตรใต้ไม่มีเวลาตั้งตัว มันอยู่นอกเหนืออิทธิพลของพวกเขา
ปิงทำได้แต่เพียงทำงานหนักเพื่อคาดเดาและไตร่ตรอง วิชาที่เป็นไปได้ที่ทางวิหารอาจใช้ออกและวิธีอื่นที่เขาสามารถช่วยถังเทียนและพวก ถังเทียน เชียนฮุ่ยและพวกที่เหลือก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่กับการปะทะภายในทวีปกวงหมิง ปิงไม่สามารถทำอะไรได้มาก ‘แต่ในสนามรบใหญ่ข้ายังจะสนับสนุนถังเทียนได้ไหม?’
นั่นคือสิ่งที่ปิงกำลังไตร่ตรองอย่างหนัก
‘อย่างน้อยข้าจำเป็นต้องทำบางอย่าง’ ปิงจัดการแยกแยะในใจ การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้เขารู้สึกถึงการขัดแย้งที่แปลกประหลาด บางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว
และเมื่อลำแสงลงทัณฑ์สุดท้ายยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้องฟ้าวิหารเซียนจะกลายเป็นสีทองอย่างสมบูรณ์ จะไม่มีดวงอาทิตย์หรือเมฆอีกต่อไป มีแต่เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยนิ่งอย่างสงบ
ทหารบนพื้นต่างแตกตื่นกันทุกคน มีบางคนที่พยายามบินขึ้นไปในท้องฟ้า แต่ถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำจัดสลายทันที ท้องฟ้าถูกผนึกอย่างสิ้นเชิง เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ปากอ่าวกลายเป็นหนาแน่นยิ่งขึ้น เรือรบระดับทองพยายามจะหนีผ่านไปให้ได้ แต่เมื่อเข้าไปใกล้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ เปลวเพลิงรุนแรงก็พ่นเปลวโจมตีเรือรบ และเรือรบระดับทองที่สรรเสริญกันว่าเด่นในเรื่องพลังป้องกันก็ระเบิดกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ภายในสิบสองวินาที
เพลิงทองศักดิ์สิทธิ์เผาไหม้ดาดฟ้าเรือทุกตารางนิ้ววัสดุที่แพงและมีค่าโดดเด่นถูกเผาไหม้เหมือนกระดาษ สมาชิกลูกเรือทุกคนไม่ว่าที่พยายามซ่อนอยู่ในเรือหรือพยายามกระโดดหนีล้วนถูกเผาไหม้อยู่ในเปลวเพลิง
เสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นและหยุดลงหลังจากเลือดเนื้อสุดท้ายสูญสลายไป
เมื่อการคุกคามสุดท้ายของเปลวเพลิงหายไปจากท้องฟ้า หน้าของคนที่เป็นประจักษ์พยานต่างก็ไร้สีเลือด
โหดร้ายเกินไป!
“วิหารพยายามจะทำอะไร?” หัวหน้าตระกูลอ้วนคนหนึ่งปาดเหงื่อและบ่น “เรามักจะทำตามคำสั่งของวิหารไม่เคยจะหักหลังพวกเขามาก่อน”
สายตาเยาะเย้ยมาจากด้านข้าง คนอ้วนผู้นี้เป็นนักฉวยโอกาส เขาเพียงแต่รอรับผลประโยชน์และฉวยกำไรจากทั้งสองฝ่าย
แต่หลายคนเห็นด้วย “ถูกแล้ว,ทำไมวิหารถึงทำกับเราเหมือนเป็นศัตรู? เรามีความภักดีต่อพวกเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย”
ตระกูลแทบทั้งหมดยินดีอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาจะมีความคลุมเครือในเรื่องความภักดี พวกเขาไม่เคยตัดขาดกับวิหารอย่างเอิกเกริก เนื่องจากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจึงคิดเอาเองว่าวิหารคงไม่ตัดพวกเขาลง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายตระกูลมากที่คาดว่าวิหารจะไม่ฆ่าพวกเขาทั้งหมด
ไม่มีใครเชื่อว่าวิหารจะทำเรื่องอย่างนั้น
ชัยชนะของวิหารอยู่ในสายตาและทุกคนพยายามแสดงการรับใช้ที่โดดเด่น หัวหน้าตระกูลที่ฉลาดทั้งหมดเข้าใจว่าถึงเวลาเปิดเผยความภักดีแล้วและพวกเขาต้องลอยตัวไว้
พวกเขาทั้งหมดรู้สึกไม่สบายใจ ต่อให้พวกเขารู้ว่าวิหารไม่สามารถทำลายทุกตระกูล แต่พวกเขาสามารถฆ่าสักตระกูลหรือสองตระกูลให้เป็นตัวอย่างแก่ตระกูลที่เหลือ วิหารจะถือความได้เปรียบไว้อย่างแน่นอน และถ้าพวกเขาไม่ฆ่าสักสองสามตระกูล พวกเขาจะควบคุมฝูงชนได้ยังไง? หัวหน้าตระกูลทั้งหมดต่างเฝ้าภาวนาขอให้พวกเขาอย่าได้ถูกเลือก พวกเขาคุยกันเบาๆ ว่าจะสามารถแสดงความภักดีกับวิหารได้ยังไง จะป้องกันตระกูลของพวกเขาไม่ให้ถูกเชือดเป็นตัวอย่างได้ยังไง?
ประมุขผู้อาวุโสจับตามองดูอยู่แต่ไกล เมื่อลำแสงลงทัณฑ์สุดท้ายเชื่อมโยงเสร็จ เขาก็เงียบ
‘ทุกอย่างลงตัวแล้ว ได้เวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์’
เขาไม่รู้สึกสบายใจแม้แต่น้อย แต่กลับหนักใจแทน เขารู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชนะสูงสุดเขารู้ว่าวิหารจะถือกำเนิดใหม่ แต่ในปัจจุบันนี้เขาไม่ดีใจกับชัยชนะ
ราคาที่เขาต้องจ่ายออกไปเพื่อชัยชนะทำให้เขาเศร้า
ผู้อาวุโสวิหารทั้งหมด อัศวินกวงหมิงทั้งหมดกลายเป็นทุนสำหรับเดิมพันในการพนันครั้งนี้ วิหารต้องใช้เลือด หยาดเหงื่อและน้ำตาและทุกอย่างทุ่มเทไปกับทุกคนเท่าใด? หลังจากสงครามจบลง ไม่มีใครเหลืออยู่ เขาไม่รู้ว่าแม่ทัพใหญ่จะเหลืออยู่เท่าใด เขายังคงรู้ว่าตระกูลชั้นสูงต้องทุ่มเทมากขนาดไหนพวกเขาจึงจะเติบโตมาถึงจุดที่เป็นอยู่นี้ได้ พวกเขามีพรสวรรค์มากขนาดไหน เป็นเจ้าของทรัพยากรมากมายขนาดไหน
แต่ทุกอย่างจะมอดไหม้ลงในไฟและถูกแผดเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน
เถ้าถ่านเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งวิหารเอาไว้ใช้สร้างชีวิตใหม่
‘ต้องเป็นแบบนั้น!’
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบตัวประมุขผู้อาวุโสพุ่งสูงขึ้น
ในความมืดโซเฟียนั่งเท้าคางขณะที่นางมองไปไกลอย่างไร้จุดหมายเหมือนกับว่านางจ้องมองดูความมืด นางไม่รู้เหตุผลที่เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น เหมือนกับที่นางไม่เข้าใจว่าทำไมโอรสศักดิ์สิทธิ์ชาร์ลส์ถึงได้ตายกะทันหัน และไม่มีโอกาสจะกล่าวคำอำลา
รัศมีแสงภายในดักแด้ค่อยๆหมองลง ร่างภายในแสงดิ้นเพื่อชีวิต แต่โซเฟียรู้ว่าไร้ผล ภายในนั้นนางมองดูแสงทั้งหมดที่ค่อยๆ หมองลงและสูญเสียสายใยของชีวิตทั้งหมด
ดักแด้ทุกรังหมดสัญญาณของชีวิตและหายไปและโอกาสจะกลายเป็นขุนพลวิญญาณก็สูญหายไปด้วย
โซเฟียรู้สึกเย็นยะเยือกเนื่องจากความเศร้าครอบงำใจนาง นางรู้ผลที่จะตามมาแล้ว แต่แล้วยังไงเล่า? ‘พวกเขายังจะรอดได้หรือ, ไม่,พวกเขายังจะรอดได้หรือ?’ เพราะเหตุผลบางอย่าง ความเศร้าในใจของโซเฟียมากขึ้น นางสามารถทุ่มเททุกอย่างเพื่อวิหาร นางไม่เคยลดความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อวิหาร แต่ไม่ใช่ในลักษณะอย่างนี้
นางไม่อาจเกลียดประมุขผู้อาวุโสได้ เขาเป็นผู้สร้างนาง และเขาเป็นเหมือนบิดาของนางผู้ให้ความอบอุ่นและความรักนาง
ไม่มีใครรู้ลึกๆ ในใจของนาง มีการต่อสู้กันของอารมณ์ที่ซับซ้อนและความกลัว
ขณะเมื่อนางตื่นขึ้น นางรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตของนางเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด เหมือนกับว่าชีวิตของนางเป็นแค่ฟองสบู่ มันสะท้อนสีสันที่งดงาม แต่ไม่มีอะไรอยู่ภายในและหลังจากลมพัดใส่ฟองสบู่ จะไม่มีอะไรเหลืออยู่
‘บางทีขุนพลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่มีอะไรเป็นของโลกนี้’
ด้วยความกลัวที่อธิบายไม่ได้นางข่มความรู้สึกของตัวนางเอง นางยังรักษาระยะห่างกับโลกไว้ ซึ่งนางไม่มีทางข้ามเส้นแบ่งในใจนางได้ แม้เพื่อชาร์ลส์ก็ตาม ‘บางทีชีวิตของข้าเป็นแค่ฟองสบู่ แต่ข้าจะใช้ชีวิตอย่างฟองสบู่นี้ยึดถือเอาไว้ให้นานเท่าที่ข้าทำได้’
นางมักจะรู้สึกว่าสิ่งที่นางทำถูกต้อง
จนกระทั่งชาร์ลส์ตาย เมื่อนั้นจึงทำให้นางตระหนักว่าสิ่งที่นางพยายามควบคุมนั้นช่างน่าขันเพียงไหน
เมื่อประมุขผู้อาวุโสต้องการให้อัศวินพิเศษกวงหมิงทุกคนที่ฝึกฝนร่วมมากับนางกลายเป็นขุนพลวิญญาณ อารมณ์อย่างเดียวที่เหลือในใจนางก็คือเสียใจ เพราะช่วงเวลาที่นานที่สุดนางกังวลเรื่องการสร้างขุนพลวิญญาณของประมุขผู้อาวุโสผู้ซึ่งมีชีวิตสีเทาปราศจากอนาคต ใครจะรู้กันว่าความกังวลของนางได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางปฏิเสธคำสั่งของประมุขผู้อาวุโส แต่ก็เหมือนกับชีวิตและความกลัวของนาง มันไร้ผลทั้งหมด
‘ความรุ่งเรืองสุดท้ายของของวิหารต้องการกลุ่มขุนพลวิญญาณไว้ใช่แล้ว, บางทีอาจเป็นชะตากรรมของเรา’
นางไม่เกลียดประมุขผู้อาวุโส
‘เมื่อความมืดกลืนแสงได้ก็หมายถึงวันใหม่จะมาเยือน’
ไม่ว่าจะเป็นความมืดหรือความสว่างก็ไม่ทำให้นางแตกต่างไปเลย
***********
กลุ่มการค้าเมซฟิลด์เงียบลง ซาดราและคนที่เหลือไม่สนใจถังเทียนอีกต่อไป เนื่องจากพวกเขามุ่งเน้นการรวมกำลังของพวกเขา พวกเขารู้ว่าหลังจากถูกกักขังไว้ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความโกรธเกรี้ยวของวิหาร เพราะเรื่องนั้นวิหารได้ทุ่มเทราคาออกไปครั้งใหญ่ ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก ไม่มีใครสงสัยวิธีฆ่าที่น่ากลัวที่ตระเตรียมเอาไว้สำหรับการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่
ความกลัวอย่างรุนแรงทำให้ซาดราและพวกที่เหลือดึงทหารกลับมาซึ่งเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้น
เทียบกับพวกเขาแล้วถังเทียนยังใจเย็นกว่ามาก แม้ว่าซาดราและพวกต้องการจะยึดอำนาจคืนจากวิหาร แต่ในใจพวกเขาก็ยังกลัววิหารและประมุขผู้อาวุโสอยู่ แต่ถังเทียนไม่ ในสายตาของเขา วิหารเป็นศัตรูของเขา ไม่ว่าวิหารจะทรงพลังมากเพียงไหน พวกเขาก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน และเขาไม่เคยมองวิหารในแง่บวก
นอกจากนั้นเขายังมีกองพลเกราะเทพเจ้า เชียนฮุ่ยและอาซิ่นอยู่กับเขา พลังต่อสู้ของตัวเขาเอง กับความคิดของเชียนฮุ่ยและอาซิ่นทำให้เขามั่นใจมาก
แต่ใครจะรู้กันว่าคนแรกที่ค้นพบบางสิ่งไม่ใช่เชียนฮุ่ยหรืออาซิ่นแต่เป็นเสี่ยวม่านที่เหมือนกับแทบไม่ได้คงอยู่เลย
“คุณหนู, มีบางอย่างผิดปกติ...” เสี่ยวม่านพูดกับเชียนฮุ่ยเบาๆ นางมีสีหน้าแปลกประหลาดและน้ำเสียงไม่แน่ใจ นางชำเลืองมองทุกคน ‘ทำไมทุกคนไม่รู้สึกเลย หรือว่าข้าเข้าใจผิด?’ นางไม่มั่นใจ
ในวันธรรมดานอกจากปกป้องเชียนฮุ่ยแล้ว งานของนางคือจะอยู่ในแนวหลังและลอบทำร้ายศัตรู นางมั่นใจพลังต่อสู้ของนางมากแต่ในด้านอื่น นางรู้ว่านางด้อยกว่า ไม่จำเป็นต้องเทียบกับเชียนฮุ่ย ในใจนางเชียนฮุ่ยเป็นเหมือนเทพธิดาสงคราม แม้แต่อาซิ่นผู้ชอบทำตัวเหลวใหลก็มีสัญชาตญาณต่อการสู้รบ ใจของเขาทำงานได้รวดเร็ว ล้ำหน้านางไปหลายเท่า
ตอนแรกนางรู้สึกท้อแท้ แต่จากนั้นนางก็ชิน นางชินกับการรอให้อาซิ่นค้นหาปัญหา และเชียนฮุ่ยออกคำสั่ง ซึ่งนางจะสู้อย่างดุเดือดเพื่อคลี่คลายการรบ
‘แต่เวลานี้ดูเหมือนไม่มีใครรู้สึกถึงมัน...หรือว่าข้าจะเข้าใจผิดไป?’
ดังนั้นเมื่อทุกคนมองนาง นางถึงกับอึดอัด และโพล่งออกมาอย่างกระวนกระวาย“ข้าอาจเข้าใจผิด...”
เชียนฮุ่ยปลอบนางอย่างนุ่มนวล “เสี่ยวม่าน อย่ากังวลไปเลย ต่อให้เข้าใจผิด บอกเรามาเถอะ”
ถังเทียนงง เสี่ยวม่านไม่เคยทำตัวเด่นโดยอยู่ข้างๆเชียนฮุ่ย นอกจากมีลงมือลงไม้กับอาซิ่นบ้าง เขาไม่ค่อยเห็นนางมากนัก อาซิ่นก็ยังประหลาดใจมาก เขาแค่นเสียง และถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูออกตัวเขาคงก่อกวนนาง
เมื่อเห็นสีหน้าอาซิ่นทำให้เสี่ยวม่านประหม่ากว่าเดิม
โชคดีที่มีคุณหนูคอยปลอบโยนทำให้นางกล้ามากขึ้น “ข้ารู้สึกว่าพลังของข้าเพิ่มมากขึ้น”
‘พลังเพิ่มมากขึ้น?’
ทุกคนตกใจแม้แต่อาซิ่นที่ร่าเริงก็ยังตกตะลึง
“ถูกแล้ว เพราะเหตุผลบางอย่าง ข้ารู้สึกว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าอบอุ่นมาก ให้ความรู้สึกสบายเหมือนกับ เหมือนอาบอยู่ใต้แสงอาทิตย์” เสี่ยวม่านพยายามอยู่ดีที่สุดที่จะอธิบายความรู้สึกของนาง แต่นางไม่รู้ว่าอาบแดดมีความรู้สึกยังไงเพราะนางเป็นขุนพลวิญญาณมายาวนานมาก
ขุนพลวิญญาณไม่ชอบแสงแดด
“ตอนแรก, ข้าไม่รู้สึกแต่หลังจากนั้นข้ากังวลว่าจะมีอันตรายแอบแฝง” เสี่ยวม่านค่อยๆ ใจเย็นลงได้ และคำพูดของนางไหลลื่นมากขึ้น “และข้าพิจารณาจากร่างกายของข้าจึงตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นจริงๆ”
ขณะที่พูดอย่างนั้นเสี่ยวม่านกวัดแกว่งดาบยักษ์ฟันอย่างคล่องแคล่วและเกิดรอยฉีกเป็นประกายในท้องฟ้า
ทุกคนตาเป็นประกาย พวกเขาเข้าใจทันทีว่าเสี่ยวม่านหมายความว่ายังไง
แรงฟันของเสี่ยวม่านไม่เกิดเสียงและเงียบมาก ปกติเสี่ยวม่านสามารถทำได้อยู่แล้วเพียงแต่ไม่ง่ายและสบายๆ อย่างนี้
ตาของเชียนฮุ่ยเป็นประกายแปลกประหลาด นางพูดทันที “เสี่ยวม่าน, กลับไปตรวจสอบทุกคน”
เสี่ยวม่านตกใจ แต่รู้ตัวทันที นางรีบกลับไปที่ค่ายขุนพลวิญญาณ เชียนฮุ่ยมีประสบการณ์การต่อสู้มาจากสนามรบโบราณนับไม่ถ้วน และเป็นแม่ทัพของกองทัพขุนพลวิญญาณ หลังจากมีประสบการณ์มายาวนาน จำนวนพวกเขาที่ติดตามมาลดลงเหลือเพียงสองสามร้อย
ขุนพลวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดถูกคัดเลือกมาอย่างระมัดระวัง ทุกตนได้รับเลือกมาจากหนึ่งในร้อย และมีพลังมาก
หลังจากได้รับความชัดเจนจากคำของเสี่ยวม่านแล้ว อาซิ่นตรวจสอบตัวเอง ความแข็งแรงของเขาก็เพิ่มขึ้น แต่ก็เพียงตระหนักได้ว่าเมื่อสั่งกองทัพในการสู้รบ การควบคุมร่างกายของเขาไม่อาจเทียบกับเสี่ยวม่านผู้เป็นขุนพลวิญญาณที่มีความเก่งกาจในด้านพลังส่วนตัว
ทันใดนั้นเขาเงยหน้า ตาของเขาฉายประกาย “ข้าคิดว่าเราค้นพบแล้วว่าวิหารจะวิธีสังหารยังไง”