ตอนที่ 914 ลำแสงลงทัณฑ์
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์อ่อนโยนเปล่งรัศมีที่ให้ความรู้สึกที่ศักดิ์สิทธิ์ทำให้ผู้คนรู้สึกได้อยากจะคุกเข่าและคำนับ แต่ฉากภาพที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาแปลกประหลาดจนทุกคนรู้สึกเย็นยะเยือก
ศีรษะของผู้อาวุโสซีอุสระเบิดหายไปเหลือแต่คอที่ขาดวิ่นและร่างที่มองเห็นกระดูกสีขาวและเลือดเนื้อสีแดงสด ในสถานการณ์ปกติ แผลจะต้องหลั่งโลหิตออกมา แต่สิ่งที่แปลกก็คือไม่มีเลือดไหลออกมาจากคอที่ขาดแม้สักหยดเดียว
ฟู่...เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาวลุกโพลงออกมาจากคอของซีอุส
ร่างไร้ศีรษะของผู้อาวุโสซีอุสยังคงยืนตรง และดูเหมือนกับมนุษย์เทียนไขที่ตั้งอยู่บนพื้น
เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาวกลืนร่างของเขาเงียบๆ
เลือดเนื้อของซีอุสเหมือนกับขี้ผึ้งที่ติดไฟสีขาว และยังคงสลายอยู่ในกองไฟ ศพละลายอย่างรวดเร็วมองเห็นด้วยตาเปล่า และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ยังคงรุนแรงขยายใหญ่ขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หัวใจของพวกเขาตรึงเครียดเหมือนกับว่าพวกเขาอยู่ในภาพยนตร์สยองขวัญ และมีเรื่องที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะหยุดเปลวเพลิงได้อย่างไร แม้จะทำลายศีรษะก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาได้แต่มองเปลวเพลิงอย่างจนใจ
ร่างของผู้อาวุโสซีอุสดูเหมือนจะเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดีมันเผาไหม้อย่างรวดเร็ว และในพริบตาเหลือแต่เพียงข้อมือและขา เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แต่เดิมมีขนาดเท่าแขนเพิ่มขนาดความรุนแรงอีกเป็นร้อยเท่า
เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังไหม้ลามเลียไปทุกตำแหน่ง และยังเหลืออยู่ในร่างของซีอุสครึ่งหนึ่งกลายเป็นเชื้อไฟ
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป และคนที่อยู่ใกล้เปลวเพลิงถอยกันหมด เพลิงศักดิ์สิทธิ์ยังคงรุนแรงขึ้นและอันตรายมากขึ้น
ถังเทียนจ้องมองดูศพที่กำลังไหม้เม็ดเหงื่อผุดจากหน้าผากของเขา หลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาไม่ถอยแต่ก้าวไปข้างหน้าคอยปกป้องเชียนฮุ่ยไว้ข้างหลังเขา
สัญชาตญาณของเขาแหลมคมมาก และความรู้สึกที่เขารับรู้ได้มากกว่าคนอื่น
ถังเทียนเคยสู้กับโรเจอร์มาก่อนและไม่คุ้นเคยกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์กวงหมิง ในการสู้รบ เขาข่มโรเจอร์ได้ตั้งแต่แรกป้องกันโรเจอร์ไม่ให้มีโอกาส เวลานั้นแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าอัศวินพิเศษกวงหมิงจะมีชื่อเสียงพอสมควรแต่เขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกเขาได้
แต่,เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาครอบงำความรู้สึกที่เขามีต่อเพลิงศักดิ์สิทธิ์
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองมีระดับที่แตกต่างกัน เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของโรเจอร์เหมือนกับแสงเทียนที่อ่อน แต่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาเหมือนกับเพลิงจากภูเขาไฟ
สิ่งทำให้เขากังวลมากกว่าก็คือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังเติบโตกล้าแข็งและยังไม่มีหยุด เมื่อขนาดและคุณภาพขยาย เพลิงศักดิ์สิทธิ์ยังคงเปลี่ยนแปลงเงียบๆและเขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังไหม้ไม่ได้ปล่อยรัศมีคลุ้มคลั่งแต่ยังคงเป็นเพลิงที่ศักดิ์สิทธิ์เคร่งขรึม แต่ก็ยังเครียดมากขึ้นเหมือนกับว่าเทพจากสวรรค์สอดส่องดูแลชีวิต แม้แต่พื้นที่ก็กลายเป็นหนาแน่น แรงกดดันที่มองไม่เห็นปรากฏตามทุกคน
‘เดี๋ยวก่อน!’
ม่านตาของถังเทียนหรี่ลงทันที ภายในเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์มีร่างเลือนรางที่กำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด
เงาร่างดำเลือนรางคือผู้อาวุโสซีอุสอย่างเห็นได้ชัด!
อาซิ่นสังเกตเห็นร่างหนึ่ง และร้องออกมา “นั่นเป็นไปได้ยังไง!”
‘นั่นไม่ใช่ขุนพลวิญญาณ’ ถังเทียนสังเกตได้ทันที
‘วิญญาณ นั่นคือวิญญาณของผู้อาวุโสซีอุส’
ทุกคนจ้องมองเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตกใจทุกคนมีสีหน้ากลัวและตกใจ แม้แต่ถังเทียนก็ไม่เว้น
เทียบกับคนของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ถังเทียนมาจากสวรรค์วิถี ถังเทียนคุ้นเคยกับขั้นตอนของจิตและวิญญาณมาก ขุนพลวิญญาณ, การ์ดวิญญาณ เหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาในสวรรค์วิถี และเป็นสิ่งมีชีวิตที่ธรรมดาที่สุดสวรรค์วิถี พวกเขาแตกต่างกันที่คุณภาพ แต่ในเรื่องสาระ จะเหมือนกันหมด
แต่ถังเทียนไม่เคยเห็นวิญญาณจริงมาก่อน ขุนพลวิญญาณไม่ใช่ดวงวิญญาณ และแม้แต่ความลับข้อมูลขุนพลวิญญาณไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน แต่พวกเขามีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันและส่วนใหญ่จะคิดว่าขุนพลวิญญาณมาจากการหลอมรวมครอบงำของวิญญาณนักสู้
แต่ไม่มีใครเคยเห็นดวงวิญญาณบริสุทธิ์มาก่อน
ดวงวิญญาณยังสั่นสะท้านอยู่ต่อหน้าของถังเทียน
วิญญาณของผู้อาวุโสซีอุสกำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดในเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกำลังกลืนเขาและแผดเผาเขาอย่างเงียบงัน แต่เพราะบางเหตุผล ทุกคนดูเหมือนสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของเขาได้
เมื่อเลือดเนื้อสุดท้ายของผู้อาวุโสซีอุสละลายอยู่ในเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพลิงขาวบริสุทธิ์ย้อมไปด้วยชั้นแสงสีทอง
วิญญาณภายในเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เริ่มละลายหายไปปล่อยของเหลวสีทองออกมา ของเหลวสีทองนี้เข้าไปรวมกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว วิญญาณที่กำลังดิ้นรนอ่อนแอลงทุกขณะหมองลงทุกที และเล็กลง เมื่อของเหลวสีทองหยดสุดท้ายเข้าไปรวมกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงศักดิ์สิทธิ์เริ่มกลายเป็นสีทองขาว
สถานที่ซึ่งผู้อาวุโสซีอุสยืนอยู่ไม่มีอะไรเหลืออยู่
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองเริ่มหมุนช้าราวกับว่าเป็นทุกความเคลื่อนไหวของไส้ตะเกียงที่หนักพันชั่ง เหมือนกับเทพลึกลับที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลค่อยๆ ปลดปล่อยจิตสำนึก สายตาของมันทำให้โลกแตกสลาย
“ถอยไป” ถังเทียนบอกเชียนฮุ่ยโดยไม่หันหน้าไปมอง
เขามองดูเหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังกล้ามเนื้อทุกมัดของเขาตึงเครียด
เชียนฮุ่ยไม่พูด นางรีบถอย นางรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และก็เหมือนอย่างที่ถังเทียนเชื่อมั่นในการตัดสินและสติปัญญาของนางนางเชื่อมั่นในพี่เทียนของนางเมื่อถึงเวลาต่อสู้
ที่ด้านซ้ายของถังเทียนจี๋เจ๋อไม่สนใจทุกอย่างและชักดาบพิศวงออกมาถือ มือของเขากำดาบอย่างมั่นคง แต่ตำแหน่งท่ายืนของเขาเอนเอียงไปข้างหน้าทำให้เขาดูเหมือนสัตว์ร้ายที่เตรียมพร้อมตะครุบเหยื่อ
เสี่ยวม่านก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากด้านหลังของถังเทียนครึ่งก้าวมือทั้งสองของนางจับอยู่ดาบยักษ์ คอยคุ้มครองปีกขวาของถังเทียน นางเตรียมพร้อมสนับสนุนเขาได้ทุกเมื่อ
นางมองดูอาซิ่นที่อยู่ใกล้ๆ
อาซิ่นถือกระบี่อมตะเตรียมพร้อมอยู่ในมือใบหน้าไม่มีความร่าเริงช่างเล่นเหลืออยู่แล้ว แต่เป็นความเคร่งเครียดพร้อมกับความโกรธ เป็นความโกรธลึก
นางรู้เหตุผลที่อาซิ่นโกรธนางเองก็โกรธพอกัน ใช้วิญญาณคนอื่นเป็นความชั่วร้ายอย่างยิ่งยวด เผาผลาญวิญญาณก็หมายความถึงตายอย่างแท้จริงและผู้อาวุโสซีอุสไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เป็นขุนพลวิญญาณ
ในฐานะของขุนพลวิญญาณพวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องรุนแรงมาก
ปัง!
ลำแสงยิงออกมาจากเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองและเข้าไปในท้องฟ้า
หลังคาของห้องโถงอ่อนแอมากเมื่อปะทะกับลำพระเพลิงสีทองและหายไปไม่เหลือเมื่อสัมผัส
ชิวหนิงซุ่มตัวอย่างเงียบงัน เขารอเวลานานถึงสองวันสองคืน
เมื่อเขาเห็นกองทัพใหญ่ของสี่ตระกูลชั้นสูงด้านนอกเมืองหิมะ เขารู้ว่าพวกเขาเตรียมพร้อมจะใช้มาตรการฉุกเฉินกับเมืองเมื่อเมืองถูกปิดตรึงการรักษาความปลอดภัยรอบกลุ่มการค้าเมซฟิลด์จะแน่นหนาแข็งแรงเวลานั้นจะเป็นกลายเป็นเรื่องยากให้เขาลอบเข้าไป
นั่นคือเหตุผลที่ชิวหนิงลอบเข้าไปก่อนสองวันและหลบการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาได้
เขาควบคุมรัศมีของตนเองได้ดีไม่เปิดร่องรอยอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย เขาสามารถปิดบังตนเองจากถังเทียนและซ่อนตัวเองจากทุกคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาเลือกตำแหน่งปฏิบัติการเป็นอย่างดี และนั่นคือคานเหนือห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในห้องโถงตึงเครียด และสภาพจิตใจของทุกคนตึงเครียด ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา
ชิวหนิงรอโอกาสมาตลอดเวลาแต่สถานการณ์เปลี่ยนไปรวดเร็วมากทำให้เขาจนใจ การเปลี่ยนแปลงของผู้อาวุโสซีอุสแทบทำให้เขาร้องด้วยความตกใจ
‘มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?’
ตั้งแต่เด็กชิวหนิงไม่เคยกลัวหรือประหลาดใจมาก่อน เขารู้สึกว่าเขาเห็นเรื่องแปลกประหลาดในโลกมาหลายอย่าง และไม่เคยกลัว แต่เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้อาวุโสซีอุส เขาตกใจจนตัวชาจริงๆ
เมื่อเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาวบริสุทธิ์พุ่งออกมาจากคอที่ขาดของผู้อาวุโสซีอุส ผมขนในตัวของเขาลุกชัน
เขาไม่เคยตกใจกลัวขนาดนั้นมาก่อนในชีวิต เป็นฉากภาพที่สยดสยองอย่างแท้จริง
ความหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วตัวของเขาทำให้ใจของเขาว่างเปล่า เขาไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้น ฉากภาพที่อำมหิต โหดเหี้ยมเกินกว่าที่เขาคิดและเห็น
แต่เขาเรียกความรู้สึกกลับมาโดยเร็ว และปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือหลบหนี
‘ความรุ่งเรืองของตระกูลคุณค่าของตระกูลช่างมันก่อน ข้าต้องเผ่นหนีไปจากที่นี่’ ความกลัวครอบงำเขาจนเขาต้องการออกไปให้ไกลเท่าที่เป็นไปได้
และเมื่อของเหลวทองปรากฏในเพลิงศักดิ์สิทธิ์ร่างของชิวหนิงถึงกับเย็นเฉียบ ความเย็นยะเยือกพุ่งไปตามส่วนลึกของกระดูกของเขา
‘วิหาร นี่คือวิหารจริงๆ....’
เขารู้สึกหนาวยะเยือกมากแม้แต่คนที่เกิดในตระกูลชิว แม้ว่าตระกูลชิวจะมีเจตนาต่อวิหาร แต่เขาก็ให้ความเคารพนับถือวิหารอยู่ในใจเสมอมาราวกับว่าเป็นความเคารพที่มีต่อเทพเจ้า เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งที่น่าทึ่งและสะพรึงกลัวนั้นจะมาจากวิหารเอง
‘นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่มาจากประมุขผู้อาวุโส!’
ของเหลวสีทองที่โดดเด่นงดงามหลอมรวมเข้ากับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ช่วยเพิ่มพลังอำนาจให้กับเพลิงศักดิ์สิทธิ์อีกหลายเท่าความโดดเด่นงดงามของเปลวเพลิงยิ่งครอบงำชิวหนิง
เขาไม่ลังเลใจใดๆไม่สนความจริงว่าเขาซ่อนตัวอยู่เขาดีดตัวหนีออกไปด้วยความเร็วเต็มที่
‘ข้าต้องการไปจากที่นี่ให้ไกลเท่าที่เป็นไปได้!’
นั่นเป็นความคิดในใจอย่างเดียวของเขาความกลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อนทำให้เขาปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนเร้นของเขาและใช้ความเร็ววิ่งออกไปอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เวลานั้นไม่มีใครสนใจเขาทุกคนถูกตรึงด้วยฉากภาพที่น่าสยดสยอง พลังที่แข็งแกร่งกว่า ความรู้สึกถึงอันตรายและความรุนแรงแผ่ออกและทุกคนจ้องมองเพลิงสีทองเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจ้องมองศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์คืออะไร แต่พวกเขารู้ว่าแผนของประมุขผู้อาวุโสอยู่ภายในเปลวเพลิงสีทองที่น่าสยดสยองนี้
ชิวหนิงเพิ่งมาถึงประตู ทันใดนั้นเมื่อเขารู้สึกถึงบางอย่างแผ่ออกมาจากด้านหลังเขารัศมีเย็นยะเยือกคลุมไว้ทั้งร่างกายและจิตใจของเขา
เขากลับกลายเป็นช้าลงทันทีและทันทีที่เขาเหลียวหลังกลับไปดู เปลวเพลิงสีทองยิงเข้าไปในท้องฟ้า
ลำแสงสีทองยิ่งทะลุผ่านเมฆ รัศมีเยือกเย็นศักดิ์สิทธิ์มาจากลำแสงทองที่ทรงพลัง
“ลำแสงลงทัณฑ์!”
เสียงของซาดราดังมาจากด้านหลังของเขา
หน้าของชิวหนิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง ลำแสงลงทัณฑ์เป็นชื่อที่เขาเคยได้ยินมาก่อนนั่นคือทัณฑ์ที่อำมหิตที่สุดของวิหาร และมีแต่เพียงสมาชิกที่มีความผิดไม่สมควรได้รับการอภัยไม่มีการยกเว้นจะต้องผูกติดกับแสงลงฑัณฑ์ สมาชิกผู้มีความผิดเหล่านี้จะต้องถูกผูกติดกับแสงลงทัณฑ์กลายเป็นเชื้อเพลิงให้เพลิงศักดิ์สิทธิ์และร่างของพวกเขาจะค่อยๆ เกิดการสันดาป ตลอดทั้งกระบวนการสมาชิกผู้มีความผิดจะยังไม่ตาย แต่พวกเขาจะตื่นตัวรับรู้และความรู้สึกของพวกเขาจะชัดเจนมากหลายเท่า ดังนั้นความเจ็บปวดจะทวีคูณอย่างนับไม่ถ้วน
เป็นการลงทัณฑ์ที่อำมหิตที่สุดของวิหาร ความเจ็บปวดมากยิ่งกว่าทัณฑ์ทรมานในนรก
เมื่อสมาชิกผู้มีความผิดหลายคนรู้ว่าพวกเขารู้ว่าจะต้องถูกทัณฑ์ทรมานด้วยแสงลงทัณฑ์ พวกเขาจะชิงฆ่าตัวตายอย่างเต็มที่
วิหารไม่เคยใช้ลำแสงลงทัณฑ์มาหลายปีแล้ว แต่ในที่สุดก็ปรากฏขึ้น
ชิวหนิงพยายามข่มความกลัวสยดสยองในใจของเขา เขาหนีอย่างเดียวโดยไม่สนใจทุกอย่าง เขารู้ว่าในเวลาเช่นนั้น เขาต้องมุ่งมั่นมากขึ้น ความลังเลใจแม้แต่เล็กน้อยมีแต่จะทำให้เขาสูญเสียโอกาสหลบหนี
ไม่มีใครหยุดเขาได้ และในพริบตา เขาวิ่งออกมาจากห้องโถงออกสู่ถนน
เขาถอนหายใจโล่งอก‘ในที่สุดข้าก็หนีออกมาจากแดนสยองขวัญได้ ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว’
‘วิหารน่ากลัวเกินไป ประมุขผู้อาวุโสน่ากลัวเกินไป นี่มันบ้าและไร้สาระจริงๆ!’
ความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ทำให้เขาผ่อนคลาย และฝีเท้าของเขาเบาลง เขาตั้งใจจะออกไปทันที หนีไปจากเมืองหิมะขาวออกไปจากทวีปเซียน
เขาไม่ใช่คนโง่ ประมุขผู้อาวุโสกล้าก่อเรื่องบ้าคลั่งและไร้สาระเช่นนั้นเขาไม่ยอมรับข้อตกลงอยู่แล้ว
‘กับดัก!’
‘มันเป็นกับดักที่ถูกวางไว้มาตลอดเวลา!’
‘ตั้งแต่เวลาที่เมื่อระฆังศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้น ทุกอย่างเป็นกับดักที่เตรียมไว้โดยประมุขผู้อาวุโส’ ชิวหนิงฝืนยิ้ม เมื่อคิดเกี่ยวกับตระกูลของเขาแล้ว ตระกูลชั้นสูงทั้งหมดพวกที่คิดว่าตนเองมีพรสวรรค์ ทุกคนต่างวิ่งเข้ากองไฟโดยไม่ลังเลใจ แต่ละคนเหมือนกับกำลังเล่นอยู่ในมือของประมุขผู้อาวุโส
‘แม้แต่ตระกูลที่เพิ่มขึ้นมาและตระกูลชั้นสูงใหม่ประมุขผู้อาวุโสไม่เคยคิดจะปล่อยพวกเขาไป เขาวางแผนกวาดล้างทุกคนทุกตระกูล ตั้งแต่แรกเริ่มวิหารกระทำเมื่อพวกเขาพยายามดึงดูดและสนับสนุนตระกูลชั้นสูงใหม่ ทุกคนคิดว่าวิหารต้องการใช้พวกเขาทำลายตระกูลชั้นสูงทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาสำคัญ เหมือนกับว่าพวกเขาได้ชีวิตใหม่และสามารถได้รับผลประโยชน์จากการนั้น’
‘พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขากำลังถูกเชิดให้เล่นกับภาพลวงตา’
‘ในสายตาของวิหารพวกเขาเป็นแค่เบี้ยทั้งนั้น เบี้ยทุกตัวที่ใช้ขวางมือขวางเท้าตระกูลชั้นสูงในปัจจุบัน และเป็นเบี้ยที่จะถูกทำลายเช่นกัน
‘วิหารน่ากลัวเกินไป! ประมุขผู้อาวุโสก็น่ากลัวเช่นกัน!’ ชิวหนิงไม่รู้ว่าภายในวันเดียวเขาต้องตื่นตระหนกตกใจกี่ครั้ง
เป็นอารมณ์สุดขีดที่เขาเคยรู้สึก มีแต่เพียงประมุขผู้อาวุโสคนเดียวที่อยู่ในใจเขา ความกลัวที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน
ประมุขผู้อาวุโสอยู่ล้ำหน้าไกลเกินไป เขาวางแผนไกลเกินกว่าใครจะคิดทัน ทุกคนกำลังเคลื่อนไหวไปตามแผนการของเขา และไม่มีใครเห็นความตั้งใจของเขา เขาเย็นชาและไร้ความรู้สึก แม้แต่ผู้อาวุโสซีอุสผู้ภักดีต่อเขาก็ยังถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงของเขาแม้แต่วิญญาณของเขาก็ยังไม่เหลืออยู่
ชิวหนิงตัดสินใจได้ทันทีว่าในสงครามจะมีเพียงผู้ชนะแต่เพียงผู้เดียวก็คือประมุขผู้อาวุโส
‘ทวีปเซียนตกอยู่ในอันตราย!’
‘ประมุขผู้อาวุโสหลอกให้ทุกคนมาที่ทวีปเซียน ทวีปเซียนเป็นกับดักในตัวมันเอง สถานที่นี้ต้องถูกนำมาใช้กับไม้ตายสังหารนับไม่ถ้วนโดยประมุขผู้อาวุโส’
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ประมุขผู้อาวุโสพูดแล้วว่าตระกูลทั้งหมดจะไม่สามารถหนีออกไปได้ ชิวหนิงยังไม่สามารถคาดคิดว่าประมุขผู้อาวุโสจะทำอะไรต่อไป ‘เขาจะใช้วิธีอะไรกำจัดตระกูลเหล่านั้นทั้งหมด?’
แต่ชิวหนิงรู้ว่าจะต้องเป็นวิธีการที่อันตรายและน่ากลัวอย่างมาก
‘เราจำเป็นต้องออกไปจากทวีปเซียน เราต้องจากไปเดี๋ยวนี้!’
เขาวิ่งหนีไปยังสถานที่ๆชิวอี้ซ่อนตัว เขาไม่มีสหายมากนัก ชิวอี้เติบโตมาด้วยกันกับเขาและพวกเขามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาวางแผนพาชิวอี้หนีเอาชีวิตรอด
เมื่อเขาวิ่งออกมาได้ไม่กี่เมตรก็ต้องหยุดทันที เขาเงยหน้ามองดูท้องฟ้าและตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น
จากระยะไกลสุดขอบฟ้าทุกตำแหน่งลำแสงเพลิงทองสายแล้วสายเล่ายิงขึ้นไปในท้องฟ้าเชื่อมโยงกับสวรรค์
ชิวหนิงหันไปรอบๆทันที ด้านหลังเขามีลำแสงเพลิงทองนับไม่ถ้วนยิงขึ้นไปในท้องฟ้าเช่นกัน
หน้าของเขาไร้สีเลือดทันที