ตอนที่ 911 ต้นทุนเจรจาต่อรอง
ตำหนักกวงหมิง
“รายงานของผู้อาวุโสซีอุสไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาข้อยืนยันการสู้รบที่ที่ทำการกองทัพตระกูลชิว แต่สภาวะของการสู้รบต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีสุดท้ายของซิ่นได้เห็นประจักษ์กับสายตาของคนหลายคน เรามีการสำรวจจากคนเกิน 60 คนและพวกเขาทั้งหมดให้คำตอบเหมือนกัน เราจัดผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนเข้าถึงบันทึกถึงสามพันบันทึกในคืนเดียว และในที่สุดก็ได้รับเป้าหมายที่เป็นไปได้เก้าเป้าหมาย แต่เรายังไม่สามารถยืนยันสถานะของเขาได้”
“เมื่อพิจารณาถึงเบื้องหลังของซิ่นมีความเป็นไปได้ที่สุดว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลกลุ่มการค้าเมซฟิลด์, เรายังคงสืบดูตระกูลกลุ่มการค้าเมซฟิลด์ ไล่อ่านประวัติศาสตร์ของพวกเขา แต่เรามีข้อมูลอย่างจำกัดมาก ประวัติศาสตร์ของตระกูลกลุ่มการค้าเมซฟิลด์ยาวนานมาก บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นสาขาของตระกูลที่มาจากทางเหนือ และตระกูลทางเหนือสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงสองแสนปี น่าเสียดายที่ความสืบเนื่องกันของตระกูลเมซฟิลด์ไม่อยู่ในสภาพที่ดี ข้อมูลของพวกเขาไม่ได้เก็บไว้อย่างดีดังนั้นจึงไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์กับเรา”
รายงานของผู้อาวุโสทัฟฟี่มักจะมีรายละเอียดอยู่เสมอ หน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่น แต่เขายังคงแข็งแรงสุขภาพดี ดวงตาสีเทาของเขาคมชัด ผมของเขาหวีเรียบ และชุดสีขาวบริสุทธิ์เข้ากันกับเขาอย่างสมบูรณ์ เขาต่างจากผู้อาวุโสคนอื่นๆที่มีความสุขกับเครื่องประดับสดใสอย่างเช่นอัญมณีที่สว่างแพรวพราว หรือมีความสุขกับเครื่องแต่งกายที่ประณีตอย่างนั้น ไม่มีเครื่องประดับเช่นนั้นบนตัวเขา เขาเป็นคนเรียบง่ายเหมือนกับทหารผ่านศึกที่รอรับคำสั่ง
ถ้ามีคนพบเขาเป็นครั้งแรกน้อยคนนักจะรู้ว่าสุภาพบุรุษชราผู้เรียบง่ายนี้คือบุรุษหมายเลขสองของวิหาร
หลังจากฟังรายงานของผู้อาวุโสทัฟฟี่ ประมุขผู้อาวุโสพูดขึ้น “เจ้าพูดมาตั้งมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้ความอะไรออกมาเลยหรือ?”
ผู้อาวุโสทัฟฟี่สั่น เหงื่อเยียบเย็นไหลโชกหลังของเขา เขาก้มศีรษะและกัดฟันกล่าว “ขอรับ เราไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์”
เมื่อประมุขผู้อาวุโสไม่มีใครเหลือเลย ทัฟฟี่จึงเป็นผู้ช่วยที่เหลืออยู่ของเขา เขาติดตามประมุขผู้อาวุโสมาตั้งแต่เริ่มต้น และเป็นเวลาเกินกว่าสี่สิบปี พวกเขาได้รับศักดิ์ศรีและชื่อเสียง ขณะที่เขาได้รับความไว้วางใจของประมุขผู้อาวุโส เมื่อประมุขผู้อาวุโสกลายเป็นนายใหญ่ของตำหนักกวงหมิง เขาก็เช่นกันได้รับการเลื่อนยศครั้งแล้วครั้งเล่า และกลายเป็นคนสำคัญอันดับสองในวิหาร
หลังจากติดตามเขามาหลายปี เขาเข้าใจอารมณ์ของประมุขผู้อาวุโสดีที่สุดและไม่ได้ปกปิดอะไร แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความกลัวประมุขผู้อาวุโสก็ตาม แต่การเพิ่มแรงกดดันจากตัวประมุขผู้อาวุโสทำให้เขากังวลมากซึ่งไม่ได้มาจากนิสัย แต่เป็นสัญชาตญาณตอบโต้จากร่างกายของเขา
ประมุขผู้อาวุโสยังคงเงียบครู่หนึ่งจากนั้นพูดขึ้น “บอกซีอุสว่าข้าจะมอบอำนาจเต็มที่ให้เขา ข้าต้องการพบขุนพลวิญญาณผู้นี้”
“ขอรับ” ทัฟฟี่รับคำขณะสั่นสะท้าน เขาลังเลเล็กน้อย “ท่านคิดว่าเขามาจากสวรรค์วิถีหรือ? ข้ากังวลว่าขุนพลวิญญาณนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับขุนพลวิญญาณของสัมพันธมิตรใต้ ถังเทียนแห่งสัมพันธมิตรใต้เองก็มีขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังเหมือนกัน”
เสียงของประมุขผู้อาวุโสดังออกมาจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองซึ่งสงบและเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ตราบใดที่เขาเป็นเพียงขุนพลวิญญาณ นั่นไม่สำคัญ”
ทัฟฟี่พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว กลุ่มการค้าเมซฟิลเป็นแค่ตระกูลเล็กพวกเขาจะต้องเห็นด้วยกับเราแน่นอน”
“ถูกแล้ว พวกเขาคิดว่าแค่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกันพวกเขาก็สามารถต่อต้านเราได้ พวกเขาคิดเช่นนั้นลงมือในเวลาอย่างนั้น เราจะไม่ลงมือกับพวกเขา พวกเขาคิดว่าเราจะร่วมมือกับพวกเขาเพื่อเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม” เสียงของประมุขผู้อาวุโสแฝงไปด้วยท่าทีเย็นชา“โง่เขลาทั้งนั้น”
ทัฟฟี่รู้ว่าประมุขผู้อาวุโสโกรธอย่างแท้จริง เขารู้สึกได้เช่นกันว่าตระกูลต่างๆเสียสติกันไปแล้ว เพราะพวกเขาสนใจแต่ตัวเอง พวกเขาควรจะเสียสละให้ความสนใจทวีปกวงหมิง ‘พวกเนรคุณเหล่านี้ไม่รู้ว่าถ้าทวีปกวงหมิงแพ้พวกเขาก็จะแพ้ไปด้วย?’
ใช่แล้วพวกเขาเชื่อว่าประมุขผู้อาวุโสจะไม่ยอมให้ทวีปกวงหมิงแพ้ ดังนั้นพวกเขาเชื่อว่าเขาจะต้องยอมตาม แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าประมุขผู้อาวุโสก็มีแผนการเป็นของตนเอง
เขาพูดด้วยความเคารพ “พวกเขากำลังหาเรื่องตายให้ตนเอง”
“พวกเขาเหมือนซากเน่า, ทัฟฟี่”
เสียงของประมุขผู้อาวุโสก้องดังไปทั่วตำหนักกวงหมิง
“พวกเขาสูญเสียความกล้าและความรุ่งเรืองของบรรพบุรุษของพวกเขาไปแล้ว พวกเขาเป็นแค่หนูแก่ที่หลงอยู่ในความมืดและเอาแต่เล่นแง่ พวกเขาไม่เหมาะจะมีอะไรในตอนนี้แล้ว และพวกเขาจะตระหนักได้ในไม่ช้าว่าทวีปกวงหมิงไม่ต้องการพวกเขา มีแต่วิหารเท่านั้น วิหารไม่ต้องการพวกเขาเช่นกัน ยุคสมัยของพวกเขายาวนานเกินห้าร้อยปีก็เกินพอแล้ว สิ่งที่วิหารต้องการตอนนี้ก็คือเลือดใหม่ ทวีปกวงหมิงต้องการสายเลือดใหม่ เราต้องกำจัดเนื้อร้ายเหล่านี้ออกไป และต้อนรับชีวิตใหม่!”
ประมุขผู้อาวุโสค่อยๆปรากฏออกมา และราวกับว่าเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะรู้สึกถึงอารมณ์ของเขาได้มันปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าจนทำให้เขาแทบจะคล้ายกับดวงอาทิตย์
“ไม่มีใครหยุดยั้งเราได้ รวมทั้งกลุ่มการค้าเมซฟิลด์”
ผู้อาวุโสทัฟฟี่ยอมรับอย่างเต็มใจ มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา
***********************
ภายในด้านข้างลานว่างตระกูลหัวที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
ภายในห้องโถงใหญ่นอกจากตระกูลชิวแล้วประมุขห้าตระกูลใหญ่มารวมตัวกัน การสู้รบที่ค่ายกองทัพตระกูลชิวสั่นสะท้านไปทั้งทวีปเซียน ด้วยความรวดเร็วของพวกเขาพวกเขารีบเร่งมาทั้งราตรี ไม่มีผู้ใดกล้าชักช้า พวกเขาเพิ่งกลับจากการสังเกตการณ์ดูการสู้รบที่ค่ายกองทัพตระกูลชิว และสีหน้าของทุกคนตกตะลึง
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังขนาดนั้นจะมีอยู่ในโลกด้วย! ความพ่ายแพ้ของตระกูลชิวไม่สูญเปล่า” ประมุขตระกูลม่อ ม่ออี้กู่กล่าว
พวกที่เหลือพยักหน้าเช่นกัน พวกเขาอยู่ในสมรภูมิและเห็นการถูกทำลายล้างของกองทัพตระกูลชิวในเหตุการณ์ทิ้งรอยตราตรึงลึกในใจพวกเขา ตระกูลชิวถูกทำลายสิ้นเชิงความพ่ายแพ้จากการสู้รบส่งผลต่อตระกูลชิวมากกว่าเคยเป็น และพวกเขาตัดสินได้ว่าจะนำไปสู่ความสิ้นสุดของตระกูลชิว เมื่อคิดถึงศักดิ์ศรีของตระกูลอันดับหนึ่งต้องล่มสลายไปในลักษณะนั้นทุกคนรู้สึกหงุดหงิด
แต่พวกเขาไม่มีเวลาเสียใจให้กับตระกูลชิว ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน และจะส่งผลโดยตรงต่อสถานการณ์
ประมุขตระกูลไวคารี...โฮลไวคารีพูดขึ้น “เราจะต้องคุยกันว่าจะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร?”
หน้าของทุกคนเคร่งเครียด สถานการณ์เหมือนอยู่บนน้ำแข็งเบาบาง และการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจะส่งผลต่อสถานการณ์รวม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
การสูญเสียอย่างหนักของตระกูลชิวเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดสำหรับพวกเขา ห้าตระกูลใหญ่เดิมลดเหลือแค่สี่ตระกูล และความเข้มแข็งของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมาก
โฮลไวคารี่พูดต่อ “วิหารได้มีการประชุมกัน แม้ว่าเราจะได้รับคำทักทายมาแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังรวบรวมตระกูลระดับสูงที่มีขนาดเล็กกว่า 300 ตระกูล ในแง่ขนาดของกองทัพ เรานับว่าเสียเปรียบ
“นั่นเป็นข่าวเก่าแล้วไม่ใช่หรือที่บอกว่าวิหารพยายามจะใช้ตระกูลระดับสูงขนาดเล็กที่ได้รับเลือกให้มาแทนที่เรา?” หัวหลิวซางแค่นเสียง “นับตั้งแต่พวกเขาเริ่มถูกเรียกว่าการได้ยอมรับจากวิหาร เราก็คาดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง เรามาดูขีดความสามารถของเจ้าพวกบ้านนอกนี้กันเถอะ”
“ใครจะรู้พวกเขากำลังเก็บงำความฝันแทนเราก็ได้ พวกเขาเป็นคนที่โง่อย่างแท้จริง” ม่ออี้กู่ส่ายศีรษะ “เมื่อวิหารผิดสัญญาตอนนั้น พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเก็บตระกูลพวกเขาไว้ต่อไปได้ พวกเขาต้องการเป็นจ้าวครองทวีปหมิงกวงแต่เพียงผู้เดียว พวกเขาจะสามารถตัดสินได้ว่าใครจะอยู่ใครจะตาย พวกกลุ่มกระสุนมนุษย์ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง”
“พวกกระสุนมนุษย์ก็เหมาะจะเป็นประสุนมนุษย์ต่อไป” หัวหลิวซางแค่นเสียง
โฮลเตือนทุกคน “กลุ่มการค้าเมซฟิลด์ไม่ใช่กระสุนมนุษย์ ขุนพลวิญญาณระดับพลเอกของพวกเขาเราไม่เคยได้ยินมาก่อน และกระบี่นั่น นั่นคือสมบัติที่น่ากลัวอย่างมากมันสามารถทำลายกองทัพตระกูลชิวได้ เราสามารถบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขายากจะหยั่ง เราจำเป็นต้องดึงกลุ่มการค้าเมซฟิลด์มาอยู่ฝ่ายเรา
“ข้าเห็นด้วย” ม่ออี้กู่พยักหน้า “ขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังอย่างนั้นจะต้องมีกองทัพที่ไร้เทียมทาน ถ้าพวกเขาตกไปอยู่ในมือของวิหาร เราจะตกอยู่ในอันตราย ใครมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้บ้าง?”
ไม่มีใครส่งเสียง
ทุกคนในตอนนี้คือตระกูลระดับสุดยอด พวกเขามีกองทัพที่มีพลังและอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ แต่ไม่มีใครกล้ายืดอกกล่าวอ้างว่าพวกเขาสามารถเอาชนะขุนพลวิญญาณนั้นได้
ซาดราครอฟท์ยังคงเงียบอยู่ตลอดเวลาพูดขึ้น “ไม่ว่าเขาต้องการอะไรก็ทำให้เขาพอใจ”
ซาดรามีศักดิ์ศรีสูงสุดในบรรดาสี่ตระกูล เมื่อเขาพูด ความเห็นของทุกคนก็กลายเป็นหนึ่ง
“ถ้าเขาพูดถึงสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ ก็ต้องเป็นเราที่เปิดพื้นที่” โฮลรู้สึกถึงเรื่อปวดหัวที่จะตามมา
ซาดรามองหัวหลี่รั่วที่อยู่ด้านหลังหัวหลิวซางทันที “เจ้าบอกว่าขุนพลวิญญาณนั้นคำนับใครบางคน? เขาเป็นใคร?”
หัวหลี่รั่วพยายามนึกถึงฉากภาพและกล่าว “ถูกแล้วเวลานั้นผู้อาวุโสซิ่นคำนับผู้นำกองพลหน้ากากเหล็กและเรียกเขาว่านายผู้ชายและเรียกตัวเองว่าข้าน้อย”
ตาของเขาเป็นประกายเหมือนกับรำคาญ‘ใช่แล้ว ข้าลืมรายละเอียดสำคัญอย่างนั้นไปได้ยังไง’
“กองพลหน้ากากเหล็ก กลุ่มการค้าเมซฟิลด์บุรุษคนนั้นคือกุญแจ” ซาดราพูดอย่างเฉื่อยชา “ข้าเชื่อว่าเขาสามารถเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้ชัดเจน นอกจากนี้เขาสามารถควบคุมขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังขนาดนั้นได้ เขาคงจะสนใจในข้อเสนอของวิหารแน่นอน”
หัวหลิวซางตาเป็นประกาย “ท่านหมายความว่า....”
ทุกคนคิดอย่างเดียวกันทันที และพวกเขาตื่นเต้น
เมืองหิมะขาวเพิ่งจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนคนที่มีเกียรติมีชื่อเสียงต่างก็มุ่งหน้าไปที่นั่นสถานที่ชุมนุมกันมากที่สุดก็คือร้านค้าของกลุ่มการค้าเมซฟิลด์ ทุกคนรู้ว่ากลุ่มการความเมซฟิลด์มีคุณค่าในขณะนั้นมากเพียงไหน
วิหารและห้าตระกูลชั้นสูงเอ่อ.. ตอนนี้เหลือสี่ตระกูล ทั้งหมดพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อผูกสัมพันธ์กับตระกูลเมซฟิลด์ นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่านี่จะกลายเป็นจุดวิกฤติที่สุดสำหรับสงคราม ไม่ว่ากลุ่มการค้าเมซฟิลด์เลือกฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นจะมีโอกาสชนะสูง
ผู้มาเยี่ยมเยียนจำนวนมากและของขวัญคารวะที่อาคันตุกะชั้นสูงนำมาทำให้กลุ่มการค้าเมซฟิลด์แทบล้นทะลัก ทั้งสองฝ่ายระดมความพยายามเพื่อช่วยธุรกิจให้กับตระกูลเมซฟิลด์ ทั้งกระตุ้นทั้งอวดอ้างฝ่ายตน พวกเขาทำสัญญาธุรกิจกระตุ้นกิจการเป็นกระแสไม่หยุดหย่อน
ร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านก็เต็มไปด้วยผู้คนเช่นกัน
“เฮ้,เจ้าคิดว่าประมุขตระกูลกุสตาสทำงานให้ใคร?”
“น่าจะเป็นวิหาร เขาเป็นประมุขตระกูลคนใหม่”
“คนผู้นั้นดูคุ้นๆ, เอ่,ข้าจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร”
“ข้าคิดว่าเขาคือประมุขตระกูลคอนสแตนติน”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว...”
ทุกคนเฝ้ามองกิจกรรมที่คึกคัก และทำงานอย่างยินดี เมืองหิมะขาวไม่ใช่ระดับประเทศ แต่พวกเขาไม่เคยเห็นคนสำคัญปรากฏตัวมาก่อน มีบ้างที่ได้ยินจากกลุ่มคนเป็นครั้งคราวและตอนนี้คนดังมีชื่อเสียงจะมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
ผู้คนตื่นเต้นกับโลกที่แปรปรวน ในช่วงเวลาสั้นๆตระกูลระดับสูงกลับกลายเป็นกุญแจตัดสินอนาคตของทวีปกวงหมิง
กลุ่มการค้าเมซฟิลด์จะเลือกเข้าร่วมกับใคร? ทุกคนสงสัยและกังวล นอกจากตระกูลต่างๆ ที่มีจุดยืนของพวกเขาแล้ว ทุกคนต้องการให้สถานการณ์กระจ่างโดยเร็ว