บทที่ 11: พี่น้องมู่หรง
ตัวกินขยะได้ยินเสียงก็หันหัวมาดูทันที พอเห็นถังเจิ้นกำลังวิ่งเข้ามาหาพวกมันทั้งหมดก็จ้องเขาด้วยสายตาดุร้ายกระหายเลือดพร้อมกับส่งเสียงคำรามอย่างรุนแรง
ตัวกินขยะ 2 ตัวได้วิ่งเข้าใส่ถังเจิ้นอย่างดุร้าย
หญิงสาวเห็นถังเจิ้นที่จู่ ๆ ก็วิ่งเข้ามาเธอก็มีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นเธอก็ได้สติแล้วร้องเตือนเขา “หนีไป ๆ มอนสเตอร์กินคน!”
หญิงสาวร้องเตือนอย่างเร่งรีบเพราะเห็นได้ชัดว่าอยากให้ถังเจิ้นรีบเผ่นไปโดยเร็วที่สุด แต่ดูจากการเรียงประโยคที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนั่นแล้วเหมือนเธอจะไม่ได้สื่อสารกับใครมานาน
ถังเจิ้นเห็นเธอร้องเตือนก็รู้สึกขอบคุณอย่างมาก ไม่คิดว่าหญิงสาวที่แม้จะตกอยู่ในอันตรายแต่ก็ยังหวังดีกับเขาอยู่อีก แบบนี้ก็ไม่เหลือเหตุผลอะไรที่จะไม่ลงมือแล้วล่ะสิ จริงมั้ย?
ถังเจิ้นยกปืนขึ้นประทับเล็งอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้ามอนส์เตอร์ตัวหนึ่งโผล่เข้ามาปุ๊บเขาก็กดไกปืนโดยไม่ลังเล
ปั้ง!
หลังจากสิ้นเสียงลูกกระสุนก็เข้าเป้า มอนสเตอร์ที่ถูกยิงก็ร้องลั่น และรูกลมสีเขียวได้เปิดขึ้นที่กลางหน้าผากของมันทันที หลังจากดิ้นพราด ๆ อย่างสิ้นหวังอยู่สองสามครั้งมันก็ชักกระตุกและตายไป
อำนาจของกระสุนปืนทำให้มอนสเตอร์ที่เหลืออีก 4 ตัวต้องสงบเจียมตัวลงทันทีไม่เหลือท่าทีกระหายเลือดอีก เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง การตายอย่างกะทันหันของพวกพ้องทำให้พวกมันตกใจ จากนั้นมันก็หันไปสื่อสารกันนิดหน่อยโดยแต่ละตัวมีความหวาดกลัวอยู่ในแววตา แล้วพวกมันก็บิดตัวม้วนกลับหลังหันแล้วสับตีนแตกหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
สงสัยพวกมันอาจเคยได้เห็นอานุภาพของอาวุธปืนมาก่อนกระมังถึงได้หวาดกลัวถึงเพียงนี้
ถังเจิ้นมีความสุขมากเมื่อเห็นพวกมันเปิดหลังให้ยิงได้ง่าย ๆ ซึ่งเขาไม่ปล่อยโอกาสและยิงหลังพวกมันทั้ง 4 โดยไม่ลังเล เสียงปืน 1 นัดมันตาย 1 ตัว เสียงปืน 4 นัดพวกมันทั้ง 4 ก็ลงไปชักกระตุกตายหมด
ถังเจิ้นรู้สึกประหลาดใจมากที่ตนเองสามารถฆ่ามอนสเตอร์ทั้ง 5 ตัวได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ ยังไงเขาก็มีประสบการณ์มาก่อนอยู่แล้วว่าไอ้ตัวพวกนี้มันฆ่ายากฆ่าเย็นเพียงใด
ถังเจิ้นมองดูศพมอนสเตอร์ ที่ศพเมือกสีเขียว ๆ ไหลออกมาทำเอารู้สึกอยากคายของเก่าออกมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เลิกดูและปลดแม็กกาซีนเปล่าออกแล้วใส่แม็กกาซีนเต็มเข้าไปใหม่
จากนั้นก็หยิบมีดพกออกมานั่งยอง ๆ แงะลูกปัดสมองของมอนสเตอร์ทั้ง 5 ออกมา ถังเจิ้นใช้ทิชชูเปียกเช็ดมือให้สะอาดแล้วหันมายิ้มให้หญิงสาวที่ดูดหวาดกลัวพร้อมกับสอดปืนเก็บลงในเข็มขัดของตน
หญิงสาวเก็บมีดไว้ที่หน้าอกแล้วอุ้มเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมแขนพลางร้องไห้ไปพลางกระตุกไปพลาง เห็นได้ชัดว่าเธอหวาดกลัวกับประสบการณ์เป็นตายอันน่าสยดสยองเมื่อกี๊นี้เป็นอย่างมาก
ถังเจิ้นไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มและสะบัดฝ่ามือที่ถูกปืนถีบจนเนื้อฉีกพลางถอนหายใจออกมาเพราะตัวเองเหมือนจะยังอ่อนเกินไป
แต่ทั้ง ๆ ที่ใช้ปืนเป็นครั้งแรกกลับสามารถฆ่ามอนสเตอร์ได้สำเร็จก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังดีกว่ายิงว่าวให้เปลืองกระสุน
เมื่อเห็นหญิงสาวยังร้องไห้ไม่หยุดถังเจิ้นก็อดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะ “พอ ๆ หยุดร้องให้ที่เถอะขอร้อง เห็นมั้ยว่าที่นี่มันไม่ปลอดภัยน่ะ? เราหาที่อื่นกันก่อนดีมั้ย?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หญิงสาวก็หยุดร้องไห้และเช็ดแก้มที่เปื้อนโคลนของตนทันที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองและกวักมือเรียกถังเจิ้นให้ตามไป
เธอเดินนำหน้าไปพร้อมกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ท่าทางน่ารักในอ้อมแขน ถังเจิ้นเดินตามหลังเธอไปอย่างใกล้ชิด เลี้ยวซ้ายขวาตรงยาวจนเมื่อไปถึงขอบของโรงงานร้างเธอก็หยุดอยู่ตรงหน้ากอหญ้าซึ่งตรงนั้นมีท่อซีเมนต์ที่กั้นด้วยแผ่นซีเมนต์ซึ่งสามารถเข้าได้แค่ทีละคน
หญิงสาวกวักมือเรียกถังเจิ้นอีกครั้งและเข้าไปก่อน
หลังจากถังเจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หยิบปืนพกออกมาเงียบ ๆ และซ่อนไว้ใต้เสื้อจากนั้นก็ตามเธอเข้าไปในท่อทางเข้ามืด ๆ ไปสิบกว่าเมตร แล้วสิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาก็คือคลองใต้ดินขนาดประมาณสิบตารางเมตร
สภาพแวดล้อมที่นี่เรียบง่ายมากสามารถใช้หลบลมฝนได้อยู่
มีแสงแดดส่องลงมาในพื้นที่ใต้ดินแห่งนี้จากช่องว่างในซากปรักหักพัง ที่มุมห้องมีเตียงเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้กระดานและหญ้าแห้ง และมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กำลังนั่งอยู่บนเตียงนั้นโดยมองมาที่เขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
ส่วนหญิงสาวในตอนนี้กำลังไปกรอกน้ำใส ๆ ที่ไหลซึมออกมาจากชั้นใต้ดินอย่างให้ความสำคัญลงในขวดแก้ว
เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นกำลังมองมาที่ตนเองอย่างอยากรู้อยากเห็น หญิงสาวก็หลบตาลงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ยื่นขวดน้ำให้ถังเจิ้น
“นั่ง... และ... ดื่มน้ำ... ก่อน...” เธอพูดอย่างตะกุกตะกัก และคงเป็นเพราะเธอคำรามสู้กับมอนสเตอร์ก่อนหน้านี้ทำให้ตอนนี้เสียงของเธอแหบแห้งเล็กน้อย
ถังเจิ้นผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินที่เธอพูด ‘แม่เด็กนี่กะเอาน้ำสกปรกที่กรอกจากพื้นมาให้กูกินเหรอ?’
แต่หลังจากคิดถึงสภาพแวดล้อมของหญิงสาวแล้วถังเจิ้นก็เดาได้ว่าน้ำขวดนี้คงเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับเธอแล้ว
คิดได้ดังนั้นเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธไม่กินน้ำ พอเห็นดวงตาเศร้า ๆ ของเธอเขาก็เรียกเอาน้ำแร่กับบิสกิตอีกหลายถุงออกมาวางปรากฏบนพื้น
หญิงสาวก็ตกตะลึงกับสิ่งของที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน และหลังจากพิจารณาดูใกล้ ๆ เธอก็เห็นแล้วว่าเป็นอาหาร จากนั้นจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณ... เป็น... นักเวท?”
นี่เป็นครั้งแรกของถังเจิ้นที่ได้แสดงความสามารถของช่องเก็บของต่อหน้าผู้คน ตอนแรกก็กะจะอวดเบ่งให้เด็กสาวทั้งสองตื่นตาตื่นใจเล่น แต่หญิงสาวกลับถามกลับมาทำเอาเขาใจเต้นผิดจังหวะ และพอตั้งสติได้เขาก็รีบถามเธอกลับไปทันที “นักเวท? หรือว่านักเวทที่เธอว่าจะเสกสิ่งของได้แบบฉัน?”
“ใช่!”
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่มองหน้า แต่จ้องเขม็งเป๋งไปที่อาหารและน้ำดื่มบนพื้นพลางเม้มริมฝีปากแห้งผากที่น้ำลายไหลออกมาเบา ๆ
เห็นท่าทางแบบนี้ถึงเจิ้นก็ได้แต่ส่ายหัว จากนั้นก็หยิบบิสกิตถุงหนึ่งกับน้ำหนึ่งขวดยื่นไปตรงหน้าเธอ “ถ้าเธอยอมบอกเรื่องที่ตัวเองรู้ทั้งหมดมาของพวกนี้ทั้งหมดก็จะเป็นของเธอ”
ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายแวววาวทันที เธอเงยหน้าขึ้นมาจ้องถังเจิ้นอย่างแน่วแน่และถามว่า “พูดจริงเหรอ? จะให้จริง ๆ เหรอ?”
“จริงแท้แน่นอน”
เมื่อเห็นถังเจิ้นพยักหน้ายืนยันหญิงสาวรีบคว้าถุงบิสกิตทันทีแล้วเอาฟันฉีกซองพลาสติกอย่างเร็ว
ถังเจิ้นเห็นเห็นแล้วก็หัวเราะ หญิงสาวหน้าแดงและหลบสายตาไม่มองเขาก่อนจะเอาบิสกิตในถุงนั้นให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเอาน้ำกับอาหารที่เหลือไปซ่อนไว้ใต้เตียง
เมื่อเห็นภาพนี้ถังเจิ้นก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารีบบอกกับเธอไปว่า “ไม่ต้องหวงขนาดนั้นก็ได้หน่า ของพวกนั้นฉันยกให้แล้วไม่เอาคืนหรอก เพราะงั้นรีบ ๆ มานั่งนี่แล้วเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้ฟังได้แล้ว”
หญิงสาวไม่ฟังคำพูดของถังเจิ้นแล้วไปนั่งกอดเข่ามองเด็กหญิงตัวน้อยกิน จากนั้นจึงค่อยเริ่มเล่าเรื่องด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
ปรากฎว่าพ่อของทั้งสองคนนี้เคยเป็นเจ้าเมืองของโหลวเฉิงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาได้มีพวกต่างเผ่าพันธุ์ออกโจมตีมนุษย์ จนมาถึงคราวโหลวเฉิงซึ่งเป็นบ้านของเธอ พ่อแม่ของทั้งสองได้เสียชีวิตในการต่อสู้ และเธอกับน้องสาวได้ถูกทหารหลายนายช่วยเหลือเอาไว้ทำให้หนีรอดออกมาได้
ในวันต่อมาทหารหลายนายไม่จากไปก็เสียชีวิตในการต่อสู้หรือไม่ก็จากสาเหตุอื่น ๆ จนสุดท้ายแล้วก็เหลือแค่พวกเธอพี่น้องเท่านั้นที่ต้องออกเพนจรในถิ่นทุรกันดาร
สถานที่ที่ทั้งสองอาศัยอยู่ตอนนี้พวกเธอได้ค้นพบมันเมื่อปีที่แล้ว เดิมมันเป็นท่อระบายน้ำใต้ดินที่ถูกทิ้งร้าง
ปกติแล้วสถานที่แบบนี้มันมักจะไม่ปลอดภัยนัก ทว่าที่นี่มันกลับซ่อนได้เนียนมาก ๆ และพวกเธอก็ระมัดระวังตัวกันอย่างมากจึงโชคดีเอาชีวิตรอดมาได้ตลอด 1 ปีโดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอื่น ๆ เกิดขึ้น
แต่ในช่วงค่ำของ 2 วันก่อนจู่ ๆ ก็มีซากปรักหักพังของโรงงานปรากฏขึ้นที่นี่ซึ่งอยู่ห่างจากที่ซ่อนของพวกเธอพี่น้องเพียงไม่กี่ก้าว ในเวลานั้นเธอหวาดกลัวมากและกอดเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แน่นเบียดเสียดกันอยู่ที่มุมห้องโดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะกลัวจะไปทำให้พวกมอนสเตอร์ที่ผ่านมารู้ตัวเข้า
แล้วเมื่อเที่ยงวานนี้กลุ่มนักสู้จากโหลวเฉิงที่อยู่ใกล้เคียงได้บุกเข้ามาที่โรงงานร้างนี่ พวกนั้นจัดการกวาดล้างมอนสเตอร์ที่ผ่านไปมาและพบกับห้องใต้ดินที่ซ่อนอยู่ แล้วก็เข้าต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่ทรงพลังหลายตัวอยู่เป็นเวลานานจนในที่สุดก็จากไปหลังจากที่ฆ่ามอนสเตอร์เหล่านั้นหมดแล้ว
หญิงสาวได้เห็นกระบวนการทั้งหมดในการต่อสู้นั้น โดยเธอเห็นว่ามีคนใช้อาวุธปืนและมีอีกคนที่เหมือนถังเจิ้นคือเสกของออกมากลางอากาศได้ โดยที่บรรดาทหารนายอื่น ๆ ต่างเรียกคนคนนั้นว่าท่านนักเวท!
หญิงสาวเคยเห็นแต่นักรบที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นนักเวท
เมื่อเห็นว่ามอนสเตอร์ทั้งหมดถูกกำจัดไปหมดแล้ว และเห็นน้องสาวที่หิวโหยเธอจึงออกไปหาอาหาร
แม้ว่าเธอจะระวังตัวมาก แต่เธอก็ยังถูกมอนสเตอร์ที่ซ่อนตัวอยู่พบตัวจนได้ ก่อนที่ถังเจิ้นจะปรากฏตัว เธอคิดว่าเธอกับน้องสาวจะกลายเป็นอาหารของมอนสเตอร์ไปซะแล้ว ตัวเธอในตอนนั้นหมดหวังอย่างสิ้นเชิง
เมื่อฟังเรื่องราวอันน่ากระอักกระอ่วนของเธอแล้วถังเจิ้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าชะตาชีวิตของเด็กสองคนนี้จะน่าสังเวชถึงขั้นนี้ได้ จากนั้นความรู้สึกสงสารก็ได้บังเกิดขึ้นมาในใจ
ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงถังเจิ้นก็ไม่อาจทนดูเด็กทั้งสองต้องทนทุกข์ต่อความหิวโหยจนถึงตายตั้งแต่อายุยังน้อยได้ ยิ่งพอรู้สภาพการณ์ของโลกใบนี้ด้วยแล้วถังเจิ้นยิ่งไม่สามารถทนดูคนรู้จักของตนตกตายโดยไม่ทำอะไรได้อีก
เมื่อมองไปที่หญิงสาวที่กำลังติดอยู่กับความทรงจำในอดีตถังเจิ้นก็ถามอย่างเป็นกันเอง “เธอมีชื่อใช่มั้ย? ชื่ออะไรเหรอ?”
หญิงสาวปัดผมที่บังหน้าตัวเองออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ว่า “ฉันชื่อมู่หรงจื่อเหยียน ส่วนน้องสาวชื่อจื่อเยว่!”
“หวัดดีค่ะคุณอา หนูจื่อเยว่ค่ะ”
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่นั่งข้าง ๆ พยักหน้าทักทายอย่างกระปรี้กระเปร่า ภายใต้เส้นผมที่แห้งกรังซีด ๆ อันเกิดจากการขาดสารอาหารจะเห็นได้ว่ามีดวงตาอันฉายแววความฉลาดมองมาที่ตัวเขา
“ฉันแซ่ถัง แล้วก็เรียกพี่อีหนู ไม่ใช่อา”
ถังเจิ้นยิ้มตอบเมื่อได้ยินเด็กสาวทักทาย จากนั้นก็มองสองพี่น้องที่ต้องสู้ชีวิตดิ้นรนเอาตัวรอดในถิ่นทุรกันดารโดยพึ่งพาอาศัยได้แค่กันและกันแล้วถังเจิ้นก็รู้สึกได้ถึงความรักกลมเกลียวกันของสองพี่น้อง มันทำให้เขาคิดถึงตัวเองกับน้องสาวขึ้นมาเลย
ดังนั้นเขาจึงหัวเราะและพูดว่า “พวกเธอทั้งคู่ชื่อเพราะดีนะ”
มู่หรงจื่อเหยียนส่ายหัวเบา ๆ เมื่อได้ยินคำชม เธอเอามือลูบผมแห้ง ๆ ของน้องสาวและคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งมู่หรงจื่อเหยียนเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เธอหันหน้ามาหาถังเจิ้นแล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “อยู่ต่อ... นะ... ฉันจะเป็นผู้หญิงของคุณ!”
ถังเจิ้นไม่ทันตั้งตัวไม่นึกว่าจู่ ๆ มู่หรงจื่อเหยียนจะพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะตอบสนองยังไง แต่พอตั้งสติใหม่แล้วใคร่ครวญดูเขาก็รู้จุดประสงค์ของเธอคือต้องการหาที่พึ่งให้ตนเองกับน้องสาว
แม้ว่าถังเจิ้นอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อสังเกตเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักของมู่หรงจื่อเหยียนที่มองน้องสาวของตนเองแล้วความคิดที่จะปฏิเสธก็ดับลงไปทันที
นั่นสินะ ถ้าลองจินตนาการว่าตนเองเป็นเธอ ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งกับน้องสาวที่ยังไม่รู้เดียงสาจะไปเอาชีวิตรอดภายใต้โลกที่เต็มไปด้วยภยันตรายใบนี้ได้ยังไง บางทีการพึ่งพาชายที่แข็งแกร่งอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วก็เป็นได้ แม้ว่าต้องเอาตัวเข้าแลกเธอก็ยังเต็มใจ
ถังเจิ้นส่ายหัวเบา ๆ แอบเศร้าใจกับความโหดเหี้ยมของโชคชะตา แต่มู่หรงจื่อเหยียนกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะปฏิเสธซะอย่างนั้น
ด้วยกัดฟันด้วยร่างกายที่สั่นเล็กน้อยแล้วพุ่งเข้าใส่เขาทันทีในจังหวะที่ถังเจิ้นยังไม่ทันตั้งตัว เธอฉีกเสื้อผ้าของตนออกแล้วก็คว้ามือเขาทันที
ตอนนี้มือใหญ่ ๆ ของถังเจิ้นทาบอยู่บนหน้าอกที่เปลือยเปล่าของหมู่หรงจื่อเหยียน เธอสบตากับเขาแล้วพูดออกมาตรง ๆ เลยว่า “ฉันทำอาหารได้ นอนกับคุณได้ คลอดลูกได้ สิ่งที่ผู้หญิงทำได้ฉันทำได้ทุกอย่าง! อยู่ต่อ... ได้โปรดอยู่ต่อด้วย...”