ตอนที่ 905 พลังอำนาจของอาซิ่น
เพียงก้าวเดียว ร่างของเขาก็พร่ามัว อาซิ่นลงไปอยู่บนทะเลสุคติ
เขามีท่าทางดูซับซ้อน เคร่งขรึม ตื่นเต้นตื้นตัน รำลึกถึง ใจของเขามีอารมณ์หลากหลายนับพัน แต่ทั้งหมดผุดผ่านดวงตาของเขาก่อนที่เขาจะคืนสู่ความเงียบสงบ และเขาสงบเหมือนน้ำใส
ความโกรธในใจของชิวเทียนชิงพุ่งขึ้นอีกครั้ง
เขาสู้กับบุรุษผู้ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งแม้คุมเชิงอยู่นานก็ยังเอาชนะไม่ได้ และเกือบตลอดเวลาเขาเป็นฝ่ายถูกกดดันทำให้ชิวเทียนชิงผู้หยิ่งยโสโกรธจัด และการโผล่เข้ามาอย่างฉับพลันของตระกูลหัวยิ่งทำให้เหมือนกับเร่งเชื้อไฟ
ชิวเทียนชิงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลหัวแม้แต่น้อย เขามีความมั่นใจว่าเขาสามารถทำลายศัตรูได้ ‘ถ้าข้าไม่สามารถรับมือคนที่ไม่รู้จักนี้และขอความช่วยเหลือจากตระกูลหัวข้าจะถูกกล่าวขานยังไง? ถ้าพวกเขาบอกว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าจะต้องเสียหน้ามากมายเพียงไหน!’
‘ไม่สามารถรับมือตระกูลเล็กน้อยได้ นี่เราเป็นตระกูลชั้นสูงแบบไหน? สิ่งที่แย่ก็คือนี่จะทำให้คนอื่นคิดว่าตระกูลชิวอ่อนแอ เพราะพวกเขาสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเราในช่วงเวลาที่วิกฤติอย่างนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเกิดผลกระทบใหญ่กับตระกูลของเรา
‘เคลื่อนไหวบุ่มบ่ามอาจแพ้ทั้งกระดาน’
แต่หลังจากคิดแล้วคิดอีก เพื่อประโยชน์ต่อแผนการใหญ่ ชิวเทียนชิงข่มความโกรธในใจของเขา และยอมรับความช่วยเหลือจากตระกูลหัว เขาต้องยอมรับว่าการดูแลวิหารเป็นเรื่องสำคัญ
แม้ว่าเขาจะตกลงกับตระกูลหัวก็ตาม แต่ชิวเทียนชิงยังคงโกรธอยู่ในใจ ในขณะนั้นเมื่อเขาเห็นแม่ทัพใหญ่ของของฝ่ายตรงข้ามออกจากสนามรบและให้ขุนพลวิญญาณบริวารของเขาแทนที่ เขาไม่อาจข่มความโกรธในใจได้
ใครบ้างไม่รู้ว่าชิวเทียนชิงผ่านศึกสร้างชื่อเสียงมาเป็นร้อยศึกและมีชื่อเสียง? ไม่ว่าศัตรูหน้าไหนก็ต้องสั่นด้วยความกลัวเมื่อเผชิญกับกองทัพที่ทรงพลังของเขา?
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาถูกใครก็มิทราบดูถูกเขา?
ชิวเทียนชิงสูดหายใจลึก หน้าของเขามีสีหน้าที่น่ากลัว “ถ้าข้าไม่ตัดศพเจ้าเป็นชิ้นๆ ในวันนี้ข้าไม่ขอชื่อชิวเทียนชิง!”
บริวารทุกคนของเขาสั่นด้วยความกลัว พวกเขารู้ว่าเจ้านายโกรธจริงๆ
ชิวเทียนไม่ได้ล้อเล่น บรรยากาศเปลี่ยนไปทันทีและกฎธรรมชาติฤดูใบไม้ผลิไม่สิ้นสุดในกองทัพตระกูลชิวเริ่มหมุน ‘แคล้ง แคล้ง แคล้ง’ เสียงเหมือนโซ่ดังต่อเนื่องขึ้นปรากฏเป็นชั้นน้ำแข็งบางบนพื้นแตกออกราวกับว่ามีบางสิ่งลากผ่าน
หมอกในกองพลหดตัวลง และกองพลปรากฏตัวอีกครั้ง เมื่อทุกคนมองเห็นกองทัพตระกูลชิวอีกครั้งพวกเขาประหลาดใจ
ทหารทุกคนในกองทัพตระกูลชิวสวมชุดเกราะสีเทามีแนวเส้นสีทองเลือนรางทุกคนมีสีหน้าซีดขาวและไม่แสดงอารมณ์ นัยน์ตาของพวกเขามีหมอกคลุมทหารทุกคนเปล่งกลิ่นอายเยือกเย็นและภายในรัศมีเจ็ดนิ้วใต้เท้าเขาน้ำแข็งฤดูใบไม้ร่วงสามารถมองเห็นได้ ร่างของพวกเขาปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันที่รุนแรง
จี๋เจ๋อหรี่ตาแคบ เกราะกฎธรรมชาติ!
ในแดนบาป เกราะกฎธรรมชาติมีอยู่ทั่วไป ในความเป็นจริงเกราะที่สร้างโดยกฎธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป แต่เพราะวิธีทั่วไปทั้งหมดกลับถึงระดับสนามพลังกฎธรรมชาติครึ่งก้าวนั่นเป็นเรื่องเห็นได้ยาก แนวเส้นสีทองบนเกราะเชื่อมโยงโดยกฎธรรมชาติ
จี๋เจ๋อไม่เคยเห็นทหารมากมายหลายคนที่สามารถสร้างเกราะได้เหมือนกันมาก่อน แต่ตาของเขาคมกล้ากว่าคนที่เหลือ เขาสามารถบอกได้ว่าเกราะสีเทาไม่ธรรมดา เหมือนกับว่ามีความเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเขา
เขาคิดถึงเสียงที่เหมือนโซ่
อาซิ่นทำเหมือนกับว่าเขาไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในกองทัพตระกูลชิว เขายังคงลูบกระบี่อย่างแผ่วเบาขณะที่เขาสังเกตเห็นรอยร้าวทั้งหมดบนกระบี่ ทะเลสุคติใต้เท้าของเขายังคงสงบแสดงถึงความเงียบที่กดดัน
‘กลิ่นอายที่คุ้นเคยอารมณ์ที่คุ้นเคย เสียงตะโกนและคำรามที่คุ้นเคย ใช่แล้วหลังจากผ่านไปหมื่นปี ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยมากใช่แล้วหลังจากผ่านไปหมื่นปี เราก็ยังได้พบกัน’
รอยยิ้มอย่างจริงใจปรากฏบนใบหน้าของเขาขณะที่อากาศรอบตัวเขายังคงนิ่ง ตาของเขาฉายประกายเจิดจ้า เหมือนพระจันทร์ส่องรัศมีสว่าง
‘เนื่องจากพวกเจ้าไม่สามารถพักอย่างสงบได้งั้นเราก็มาสู้ด้วยกัน!’
“ทุกคน,ออกมา!”
เขาชูกระบี่อมตะและตะโกน
หลังจากการเคลื่อนไหวของกระบี่ของเขา ร่างหลายร่างค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากผิวทะเลสุคติ
ร่างที่ดูเหมือนทำจากหมอกมีเส้นรอยร้าวสีแดงอยู่ทั่วตัวที่ดูเหมือนเส้นเลือดที่ทำให้พวกเขาดูเด่น พวกเขาเหมือนกับตุ๊กตาดินเผาที่ถูกทำลายแล้วเอามาต่อกันใหม่อีกครั้งพวกเขายังคงนิ่งและเงียบ
มือที่จับกระบี่อมตะสั่นสะท้าน ข้อมูลนับไม่ถ้วนผ่านเข้ามาจากกระบี่อมตะเข้าสู่หัวใจของอาซิ่นเกิดภาพเหตุการณ์นับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลสุคติในช่วงเวลาที่ผ่านมาหมื่นปีในที่สุด
เขาเม้มปากแน่น ขณะที่เพ่งสมาธิข้างหน้าฝืนบังคับไม่ยอมให้น้ำตาหลั่งไหล
‘งั้นนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในหมื่นปีที่ผ่านมาสินะ...’
สายตาของเขากวาดมองทุกร่างบนทะเลสุคติ ใบหน้าของทุกคนเลือนรางเหมือนหมอก เขาไม่สามารถเรียกชื่อของพวกเขา แต่เขารู้พวกเขาเป็นใคร บาดแผลทั้งหมดและอาการบอบช้ำที่เกิดขึ้นในทุกส่วนของร่างกายพวกเขาคล้ายกับสายลวดความร้อนไม่ใช่เป็นแค่คนเดียว แต่เป็นกันทุกคน
อาซิ่นรู้สึกเหมือนกับถูกมีดแทงหัวใจ แต่เขายังมีรอยยิ้มบนใบหน้ารัศมีเยือกเย็นจัดถูกปล่อยออกมาจากร่างของเขาทำให้เขาดูและรู้สึกเหมือนกับปีศาจที่เดินออกมาจากนรก เพียงแต่ว่าเขายิ้ม
เขาชูกระบี่และคำรามลั่น “วิญญาณของทหารเราจะไม่มีทางสูญสลาย สนามรบเป็นอมตะนิรันดร หัวใจของเราจะคงอยู่ไม่มีเสื่อมคลาย”
ร่างเลือนรางทุกร่างสั่นสะท้าน พวกเขาเงยหน้าขึ้นและมองกระบี่อมตะ ก่อนหน้านั้นพวกเขาเป็นเหมือนกับสิ่งไม่มีชีวิตไม่มีสัญญาณแห่งชีวิต แต่หลังจากได้ยินคำพูดของอาซิ่น รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาพบจิตสำนึกของพวกเขา
อาซิ่นปล่อยแรงกดดันจากร่างของเขาทำให้อากาศรอบตัวเขาบิดเบี้ยว ใบหน้าที่ปกติของเขาเปล่งรัศมีชัดเจนทำให้ผู้คนไม่อาจมองดูเขาตรงๆได้
ตาของเขาแดง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ปลายกระบี่ชี้ขึ้นท้องฟ้า ด้วยความรู้สึกที่จริงใจและซื่อตรง เขามีความซื่อสัตย์และความหยิ่ง แต่ละคำที่ดังขึ้นเหมือนกับค้อนที่หวดลงมาจากท้องฟ้า
“กฎอัยการศึกข้อที่เก้าพลเอกซิ่นถืออำนาจเต็มในการควบคุมกองทัพ ทหารทุกหน่วยจงขานรับ!”
เสียงที่ทรงพลังของเขาดังกึกก้องข้ามไปทั่วทะเลสุคติ
ร่างที่เงียบและดูว่างเปล่ามีการกระทำเหมือนกันทันที ทุกร่างก้าวขึ้นมายืนบนผิวทะเล ปัง..พวกเขาสามารถได้ยินเพียงเสียงเดียว เกิดเป็นคลื่นเสียงกระแทกในทะเลลึกลงไปเกิน 10เมตร
ร่างเลือนรางยืนตรงเหมือนทวน พวกเขายกแขนวันทยาหัตถ์เคารพอาซิ่นพวกเขาตอบรับ “วันทยาหัตถ์”
เสียงของพวกเขาดังพร้อมกันเหมือนกับเสียงฟ้าผ่าทำให้ท้องฟ้าและดินสั่นสะเทือน
แม่ทัพหัวสังเกตจากระยะไกลมีอาการตกตะลึง ‘กองทัพแบบไหนกันที่มีพลังขนาดนั้น?’
ร่างที่เลือนรางทั้งหมดดูเหมือนจะชัดขึ้นมาเล็กน้อยและแม้แต่รอยเส้นสีแดงดูเหมือนจะสว่างมากขึ้น
หน้าของแม่ทัพหัวเปลี่ยนร่างพร่าเลือนที่ตายแล้วที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาปลดปล่อยรัศมีที่น่ากลัวเหมือนกับว่าพวกเขากลับมีชีวิตทันที
ถังเทียนตะลึง ‘พะ..พลเอก!’
‘พลเอกแห่งกองทัพดาวกางเขนใต้... อาซิ่นเป็นพลเอกจริงๆ!’
ถังเทียนคุ้นเคยกับยศทหารของกองทัพดาวกางเขนใต้ แต่ พลเอก...
ถังเทียนตกใจ พลเอกเป็นยศเพียงลำดับสองรองจากจอมพลที่เป็นยศทหารและสิ่งที่น่าตกใจมากขึ้นก็คืออำนาจสั่งการของพลเอกพลเอกสามารถสั่งการทหารและระดมพลได้สองล้านนาย
‘ยศของอาซิ่นความจริงสูงกว่าลุงปิง นั่นน่ากลัวจริงๆ’
บนเรือสินค้าเชียนฮุ่ยกับเสี่ยวม่านมีท่าทีตกใจ ‘พลเอก...ไม่ว่าอยู่ที่ใดในกองทัพ ในกองทัพใดก็ตามถือว่าเป็นสุดยอดในกองทัพแล้ว’
เสี่ยวม่านเหม่อมองดูอาซิ่นผู้สง่างาม นางไม่สามารถทำใจว่าบุรุษที่ดูเหมือนกับเทพสงครามที่อยู่ต่อหน้านางคนที่มักเกียจคร้านที่นางไล่เตะก้นอยู่เสมอ
ยศพลเอกเสี่ยวม่านเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าหมายถึงอะไร เนื่องจากกองทัพคนแบกงูเป็นศัตรูคู่แค้นกับกองทัพดาวกางเขนใต้ในอดีต เสี่ยวม่านมีพรสวรรค์ที่ดี แต่นางยังมียศเป็นเพียงร้อยเอกในกองทัพดาวคนแบกงูมีอำนาจสั่งการกำลังพลได้พันคน ดังนั้นนางไม่ทราบแนวคิดระดับพลเอก?
อาจกล่าวได้ว่านอกจากเป็นรองจากผู้บัญชาการสูงสุดแล้วเขายังมีอำนาจมากกว่าผู้บัญชาการรองเพราะผู้บัญชาการรองจะรับผิดชอบเกี่ยวกับการคำนวณ
‘งั้นคนผู้นี้มีอำนาจมากสินะ..’
เสี่ยวม่านรู้สึกผิดหวังโดยไม่รู้ตัว นางไม่รู้ว่าทำไมอาซิ่นในอดีตจึงทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
เชียนฮุ่ยและเสี่ยวม่านเหมือนกับเป็นพี่น้องกันเชียนฮุ่ยรับรู้อารมณ์หดหู่ของเสี่ยวม่านได้ทันที และคิดด้วยปัญญา นางคาดเดาเหตุผลได้ทันทีและพูดเหมือนไม่ตั้งใจ “ข้าไม่นึกเลยว่าอาซิ่นจะเคยทรงอำนาจจริงๆ พูดไม่ออกเลยจริงๆ ข้าให้เขาเป็นผู้ช่วยเจ้าและเขาก็มีความสามารถหลายอย่างแต่ซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี อืม... เจ้าต้องใช้ดาบเจ้าฟาดเขาให้หนัก”
เสี่ยวม่านตื่นตัวทันที ‘ถูกแล้ว,ไม่สำคัญว่าในอดีตจะมีอำนาจมากเพียงไหน ต่อให้เป็นพลเอกแล้วยังไง? ถ้าเขาไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะซัดเขา! ไม่ว่าเขาจะใหญ่มาจากไหน เขาก็ยังเล็กกว่าเจ้านายของเรา! มิน่าเล่าถึงได้เชี่ยวชาญนัก เป็นพลเอกเป็นอีกเรื่องที่แตกต่างออกไป เขายังมีสิ่งที่แตกต่างออกไปอีกหลายอย่าง’
เสี่ยวม่านยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่นางกดดาบยักษ์ สีหน้าที่น่ากลัววูบผ่านใบหน้านาง
ชิวเทียนชิงตกใจแตกต่างไปจากคนที่เหลือ เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงอันตรายทันที ในทวีปกวงหมิงมีเพียงห้าแม่ทัพใหญ่กวงหมิงที่เป็นระดับพลเอก ไม่มีคนอื่นที่มีคุณสมบัติ
‘แต่แล้วไงเล่า?’
รังสีฆ่าฟันในดวงตาของชิวเทียนชิงเพิ่มขึ้น ห้าแม่ทัพใหญ่กวงหมิงทรงพลัง แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าเขาจะด้อยกว่าพวกนั้น เขารู้สึกว่าห้าแม่ทัพมีชื่อว่าแม่ทัพใหญ่เป็นเรื่องประโยชน์ภายใต้วิหาร
ตระกูลชิวก็ยังมีแม่ทัพใหญ่อยู่ด้วยอัจฉริยะชิวซิ่วหัว
ตั้งแต่อายุน้อยชิวซิ่วหัวมักจะเป็นคู่แข่งตรงๆของเขามากที่สุด นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะชิวซิ่วหัวเอาชนะเขาได้และมีโอกาสเข้าร่วมกับวิหาร แน่นอนเขาสามารถกลายเป็นหนึ่งในห้าพลเอกแม่ทัพใหญ่ประจำกวงหมิง
ตั้งแต่เริ่มต้น เขามีชีวิตอยู่ใต้ร่มเงาชิวซิ่วหัวมาตอด แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ไม้ตายพายุใบไม้ร่วงจนถึงสนามยะเยือกใบไม้ร่วง เขาก้าวไปทีละก้าวจนถึงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่มีใครรู้ว่าห้าแม่ทัพพยัคฆ์เป็นศัตรูโดยสมมติของเขา น่าเสียดายที่พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ห่างจากเขา ดังนั้นเขาไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเขาเอง
แต่ในที่สุดเขาก็ได้เผชิญหน้ากับพลเอก
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ากองทัพศัตรูมาจากไหน แต่คนระดับยศพลเอกเป็นแม่ทัพไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หน้าที่ไม่สามารถกำหนดพลังได้ แต่ยศของกองทัพพอเพียงจะบอกได้ทุกอย่าง
ความตั้งใจสู้ในตัวเขาทะยานอย่างไม่เคยมีมาก่อนมีโอกาสสู้กับพลเอกเป็นโอกาสยากแสวงหา
‘นี่คือบททดสอบที่แท้จริง’
ชิวเทียนชิงมีสีหน้าสงบ เขารู้ว่าเป็นความคิดของเขาเองค่อยๆ จางหายไปเหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาเหมือนกับผีหลอก ถ้าเขาไม่ทำลายมัน เขาไม่มีทางก้าวหน้าต่อไปในอนาคต ตราบใดที่เขาเอาชนะเรื่องยุ่งเหยิงในใจของเขา อนาคตของเขาจะไร้ขีดจำกัด
‘มาเลย, เรามาสู้กัน’
เขาทะยานขึ้นไปในอากาศ ข้างฝ่ายเขาทหารชุดเกราะห้าพันนายบินขึ้นไปด้วย เสียงโซ่ดังอยู่ในอากาศ แต่ไม่มีใครเห็นโซ่
นี่เป็นครั้งแรกของกองทัพตระกูลชิวที่เป็นฝ่ายโจมตีตั้งแต่เริ่มสู้รบมา ความปรารถนารุนแรงทำให้ชิวเทียนชิงไม่ยินยอมปรับตำแหน่งป้องกัน
พวกเขาเหมือนกับกลุ่มเมฆเทาขณะที่พวกเขาลอยเข้าหาอาซิ่น