ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที 183 ข่าวจากนิกายเมฆาพิรุณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 185 บ่มเพาะใต้พิภพ (อ่านฟรี)

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 184 ความทะเยอทะยานสูงล้ำ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 184 ความทะเยอทะยานสูงล้ำ

แปลโดย iPAT  

หลี่ฉิงซานระเบิดพลังและทำให้เกิดเสียงแตกหัก

ชายหนุ่มเบิกตากว้างขณะที่หลี่ฉิงซานเคลื่อนไหวซ้ำๆและทำให้เกิดเสียงแตกหักดังเป็นชุด เขาบดขยี้ข้อต่อแขนและขาของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด เมื่อชายผู้นั้นพยายามเปิดปาก หลี่ฉิงซานก็คว้าลำคอของเขาและทำให้เขาเงียบเสียงลง

กระเป๋าร้อยสมบัติของชายหนุ่มถูกพลังปราณของหลี่ฉิงซานดูดเข้ามาอยู่ในมือของเขา หากปราศจากกระเป๋าร้อยสมบัติ จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ หากแขนและขาของพวกเขากลายเป็นอัมพาต พวกเขาก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์พิการ

มันง่ายมากจนทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามตราบเท่าที่จอมยุทธ์ผู้หนึ่งมีพลังปราณอยู่ในตันเถียนหรือทะเลปราณ พวกเขาก็ยังไม่ถูกพิจารณาว่าอ่อนแอ หลี่ฉิงซานเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด จากนั้นพลังปราณของชายผู้นั้นก็กระจัดกระจายไป เขาสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์ นี่ทำให้หลี่ฉิงซานค่อนข้างตกใจจริงๆ

จอมยุทธ์เช่นจ้าวจื่อป๋อยังสามารถรวบรวมพลังปราณของเขาแม้เขาจะถูกแทงด้วยดาบ แน่นอนว่าจ้าวจื่อป๋อจะไม่ตกลงสู่หลุมพรางและถูกลอบโจมตีโดยง่ายเช่นนี้ แม้เขาจะไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายหรือได้ยินเสียงใดๆ แต่สัญชาตญาณของเขาก็จะแจ้งเตือนเขาและมันก็เพียงพอให้เขาป้องกันตัวเองด้วยทุกสิ่ง

สำหรับชายผู้นี้ ในฐานะบุตรชายคนรองของผู้นำนิกาย เขาได้รับการดูแลเอาอกเอาใจมาทั้งชีวิต เขาไม่เคยถูกทำร้ายถึงระดับนี้มาก่อนและไม่เคยสัมผัสความเจ็บปวดเช่นนี้ เขาเจ็บปวดจนลืมสิ้นทุกสิ่ง ยันต์ที่ติดอยู่บนแผ่นหลังของเขาคงอยู่นานขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนที่มันจะถูกทำลายโดยพลังปราณที่กระจัดกระจายออกไป

ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะทำสิ่งใดต่อ เฉียนหรงจื่อก็นำปลอกคอโลหะออกมาคล้องไว้ที่คอและแขนของชายผู้นั้น

ปลอกคอเรืองแสง ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับต่ำและมันก็เป็นรูปแบบที่หาได้ยากมาก มันมีไว้สำหรับจับกุมโดยเฉพาะ มีรูปนกอินทรีย์สีดำอยู่บนปลอกคอขณะที่กรงเล็บของมันคว้าแขนของชายหนุ่มเอาไว้ หลี่ฉิงซานสามารถบอกได้ทันทีว่ามันมาจากหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฉียนหรงจื่อได้รับสิ่งนี้มาจากจ้าวจื่อป๋อ

ภัยคุกคามจากพลังปราณที่วุ่นวายของชายผู้นี้ลดน้อยลงหลังจากที่เขาถูกจับกุมโดยกรงเล็บอินทรีย์ จากนั้นดวงตาของเขาก็กลอกไปด้านหลังและเป็นลมหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด

สิ่งนี้ทำให้หลี่ฉิงซานยิ่งตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักว่าความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ไม่สามารถอธิบายด้วยตัวเลขง่ายๆเช่นระดับการบ่มเพาะ ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นพลังจิตตานุภาพ อารมณ์ หรือนิสัย ทุกองค์ประกอบล้วนสำคัญทั้งสิ้น

หากชายผู้นี้เตรียมตัวมาอย่างเพียงพอ เขาอาจสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของจอมยุทธ์ขั้นหกออกมา บางทีเขาอาจสามารถสังหารจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันโดยใช้ไพ่ตายของพ่อแม่ แต่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เขาเป็นได้เพียงคนไร้ประโยชน์

เฉียนหรงจื่อกล่าว “พาเขาลงไปข้างล่าง!”

“ตุบ!”

ในวังใต้ดิน หลี่ฉิงซานโยนชายร่างเปลือยเปล่าเข้าไปในห้องหิน

ชายผู้หนั้นตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาค่อนข้างหล่อเหลาแต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวขณะที่เขาคำรามด้วยความประหลาดใจและเดือดดาล “เฉียนหรงจื่อ เจ้ากำลังทำสิ่งใด? เจ้าคือ...หลี่ฉิงซาน!?” เขาเคยเห็นภาพวาดของหลี่ฉิงซานก่อนเดินทางมาที่นี่

หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้ามาจากนิกายเมฆาพิรุณใช่หรือไม่?”

ชายผู้นั้นตอบ “ข้าคือเว่ยอิงเจีย พ่อของข้าเป็นรองผู้นำนิกายเมฆาพิรุณ หากเจ้าฉลาด รีบปล่อยข้า ข้าอาจไว้ชีวิตเจ้า!”

“อันใด!? รองผู้นำ! เฉียนหรงจื่อ เจ้าหลอกข้า! เจ้าทำให้ข้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับบุคคลสำคัญเช่นนี้จริงๆ” หลี่ฉิงซานแสดงออกราวกับเขาประหลาดใจมากก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพว่า “นายน้อย ท่านมาทำสิ่งใดที่เมืองเจียเผิง?”

เว่ยอิงเจียเห็นหลี่ฉิงซานเริ่มกลัว ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ปล่อยข้าแล้วส่งเด็กผู้หญิงที่มีกลิ่นหอมจากสวรรค์ข้างกายเจ้ามา...”

ความกังวลบนใบหน้าของหลี่ฉิงซานหายไป เขาพ่นลมหายใจออกมา “ดูเหมือนข้าจะจับถูกคนแล้ว!” เฉียนหรงจื่อไม่ได้กล่าวเรื่องจริงทั้งหมดแต่มันก็ไม่ได้ไกลจากความจริงมากนัก

เฉียนหรงจื่อยิ้ม “เจ้าช่างตลกนัก!”

เว่ยอิงเจียตระหนักถึงบางสิ่ง “เฉียนหรงจื่อ นางคนทรยศ! ปล่อยข้า มิฉะนั้นท่านพ่อของข้าจะไม่มีวันไว้ชีวิตเจ้า! อุ๊บ!” เขาพยายามดิ้นรนแต่ความเจ็บปวดที่ถูกบดขยี้ข้อต่อทำให้เขาทรุดลงกับพื้นและไม่กล้าเคลื่อนไหวอีก

เฉียนหรงจื่อเพิกเฉยต่อเขาและกล่าวกับหลี่ฉิงซาน “มาดูกันว่ามีสิ่งใดอยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติของเขาบ้าง”

หลังจากตรวจสอบกระเป๋าร้อยสมบัติ หลี่ฉิงซานพบเม็ดยารวบรวมพลังปราณไม่มาก มันมีเพียงห้าร้อยเม็ด แต่มันมีหินวิญญาณมากกว่าสามร้อยก้อน มีสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลางสองชิ้น หนึ่งเป็นดาบบิน อีกหนึ่งเหมือนสายรัดข้อมืด

มียันต์จำนวนมากเช่นกัน ท่ามกลางพวกมันมียันต์ระดับสูงที่หายากรวมอยู่ด้วย หลี่ฉิงซานคุ้นเคยกับสัญลักษณ์บนแผ่นยันต์ มันคล้ายกับยันต์ราชันผู้พิทักษ์แต่สัญลักษณ์ของมันดูซับซ้อนมากกว่าที่เขาเคยเห็นหลายเท่า ดูเหมือนสิ่งนี้จะเป็นมาตรการช่วยชีวิตที่พ่อของเขามอบให้

ตามข้อตกลง หลี่ฉิงซานมอบวิธีการบ่มเพาะของนิกายเมฆาพิรุณให้เฉียนหรงจื่อ

เฉียนหรงจื่อพลิกดูทันที นางพึ่งเข้าร่วมนิกายเมฆาพิรุณเมื่อไม่นานนี้ ทั้งหมดที่นางได้เรียนรู้จนถึงขณะนี้มีเพียงกฎและข้อบังคับของนิกาย นางต้องรออีกสักพักก่อนจะผ่านการทดสอบและสามารถเรียนรู้ทักษะพิเศษของนิกาย อย่างไรก็ตามในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง นางกลับได้รับวิธีการบ่มเพาะระดับสูงของนิกายเมฆาพิรุณมาไว้ในการครอบครอง มันเพียงพอที่จะทำให้นางกลายเป็นจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้า

หลี่ฉิงซานพบเม็ดยาปลุกกำหนักและเม็ดยาสงบใจจำนวนมาก นี่เป็นเม็ดยาที่ศิษย์นิกายเมฆาพิรุณใช้ในการบ่มเพาะ ดังนั้นเขาจึงมอบพวกมันให้เฉียนหรงจื่อ

เฉียนหรงจื่อรับไว้ทั้หมดและเผยรอยยิ้มกว้างไปถึงใบหู เมื่อเว่ยอิงเจียเห็นคนทั้งสองแบ่งปันทรัพย์สินของเขาต่อหน้าเขา มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะโกรธจัด โดยไม่สนใจความเจ็บปวด เขาปล่อยพลังปราณพุ่งเข้าหาคนทั้งสองราวกับคลื่นยักษ์ มันทำให้เกิดสายลมกรรโชกแรงขึ้นในห้องหินเล็กๆ หากเขาไม่ถูกจับกุมด้วยปลอกคออินทรีย์ มันจะน่าประทับใจยิ่งกว่านี้

เฉียนหรงจื่อฟาดแส้แยกแม่น้ำของนางออกไปตัดคลื่นพลังปราณออกเป็นสองส่วน พวกมันแยกออกไปปะทะกำแพงหินที่อยู่ด้านหลังและส่งฝุ่นละอองลอยคละคลุ้งขึ้นสู่อากาศ

หลี่ฉิงซานยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่เคลื่อนไหวและปล่อยให้พลังปราณโจมตีเขา พลังปราณของเขาปรากฏขึ้นและปกป้องเขาไว้โดยอัตโนมัติ เมื่อรวมกับร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น

หากชายหนุ่มสามารถโจมตีด้วยมือหรือเท้า มันอาจเป็นภัยคุกคามเล็กน้อย แต่วิธีเช่นนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง มันเป็นเพียงการทิ้งพลังปราณไปโดยสูญเปล่าเท่านั้น

หลี่ฉิงซานหยิบขวดยาออกมาอีกขวด “นี่คือสิ่งใด?”

ดวงตาของเฉียนหรงจื่อส่องประกายขึ้น “มันคือเม็ดยาเมฆาพิรุณ มันเป็นยาหายากที่สามารถชำระล้างพลังปราณ!”

หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเก็บไว้หลังจากเจ้าบอกข้าเช่นนั้นงั้นหรือ?”

เฉียนหรงจื่อตอบด้วยคำถาม “เจ้า?”

“แน่นอนว่าไม่” หลี่ฉิงซานโยนขวดยาให้เฉียนหรงจื่อ เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เพียงเพราะข้อตกลง แต่พลังปราณของเขาถูกชำระล้างให้บริสุทธ์แล้วโดยแหวนมิติ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดยาเมฆาพิรุณ

เฉียนหรงจื่อยิ้มหวาน เม็ดยาเมฆาพิรุณมีความสำคัญมากสำหรับแผนการของนาง

“นั่นคือเหตุผลที่ข้าชอบร่วมงานกับเจ้า ข้าอาจช่วยเจ้าหากเจ้าวางแผนที่จะจัดการนิกายเมฆาพิรุณในอนาคต เมื่อเวลานั้นมาถึง อย่าลืมมาหาข้า ข้าจะกินของเหลือเหล่านั้นกับเจ้า”

หลี่ฉิงซานรู้สึกว่านางกล้าหาญและเปิดเผยมากกว่าหญิงทั่วไป นางเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจและมีความทะเยอทะยานอันสูงล้ำ เปรียบเทียบกับโจรชั่วที่แสวงหาผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆ คนเช่นนางน่ากลัวกว่าหลายร้อยเท่า ของเหลือ? นางไม่เต็มใจที่จะคลานอยู่บนพื้นตลอดไป นางเป็นงูพิษที่พยายามปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆกระทั่งถึงท้องฟ้าและกลายเป็นมังกรพิษที่สามารถพลิกคว่ำโลกหล้า

เขามีความรู้สึกว่าบางทีนิกายเมฆาพิรุณอาจประสบชะตากรรมเดียวกับตระกูลเฉียนซึ่งถูกทำลายโดยหญิงผู้นี้ ตามตรรกะที่ว่าศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน บางทีนางอาจช่วยเขาได้จริงๆแม้เขาจะไม่ชอบคนเช่นนางก็ตาม หลังจากแบ่งปันผลประโยชน์ หลี่ฉิงซานก็เก็บกระเป๋าร้อยสมบัติและจากไปทันที เขาไม่ต้องการใช้เวลาร่วมกับหญิงผู้นี้มากไปกว่านี้

หลังจากหลี่ฉิงซานจากไป ใบหน้าของเฉียนหรงจื่อก็ผ่อนคลายลง ตอนนี้นางรู้สึกสบายใจมาก นางนั่งลงและเริ่มอ่านวิธีการบ่มเพาะของนิกายเมฆาพิรุณ

เว่ยอิงเจียตระหนักในที่สุดว่าชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของหญิงผู้นี้ เขาอ้อนวอน “หรงจื่อ เราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน เหตุใดเจ้าต้องทำกับข้าเช่นนี้? หากเจ้าไม่อยากเป็นนางโลมก็อย่าเป็น ข้าจะคุยกับท่านพ่อให้เจ้า”

นอกเหนือจากการส่งเฉียนหรงจื่อกลับมาเพื่อให้นางเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหลี่ฉิงซาน นิกายเมฆาพิรุณยังต้องการให้นางเข้าแทนที่ตำแหน่งของฟู่หรงในฐานะนางโลม อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่การดูหมิ่นโดยเจตนาแต่ผู้หญิงของนิกายเมฆาพิรุณล้วนต้องการพลังหยางของบุรุษในการบ่มเพาะ ท้ายที่สุดสิ่งนี้อาจถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการตรวจสอบและทดสอบ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักลังเลที่จะเป็นนางโลมอยู่ในหอโคมแดงและใช้ชีวิตโดยการหลับนอนกับผู้ชายมากหน้าหลายตา แต่มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่หญิงเหล่านั้นจะได้รับมรดกที่แท้จริงของนิกายเมฆาพิรุณ

เฉียนหรงจื่อแสดงออกอย่างเย็นชาต่อหน้าเว่ยอิงเจีย นั่นทำให้เขาเชื่อว่านางทรยศเขาเพราะนางไม่พอใจกับเงื่อนไขนี้

เฉียนหรงจื่อไม่แม้แต่จะมองเขา นางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “หากข้าเป็นนางโลมและถูกเจ้ารีดเค้นทุกสิ่งออกมา เมื่อใดที่ข้าจะประสบความสำเร็จ?” การบ่มเพาะคู่ของนิกายเมฆาพิรุณ คนที่อ่อนแอกว่าจะสูญเสียมากกว่าได้รับ หากนางทำตามกฎ นางจะตกเป็นทาสของฝ่ายตรงข้ามตลอดไป

เว่ยอิงเจียตกตะลึง เขาฝืนยิ้มก่อนกล่าว “เจ้าคิดว่าการบ่มเพาะของเจ้าช้าเกินไปเช่นนั้นหรือ? ข้าจะให้ท่านพ่อจัดยาให้เจ้า เขาดูแลทุกสิ่งในนิกาย” อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาคิดคือวิธีที่เขาจะทรมานเฉียนหรงจื่อเมื่อเขาได้รับอิสระ ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงแต่แน่นอนว่าเฉียนหรงจื่อไม่แยแสการแสดงละครที่เงอะงะของเขา

เฉียนหรงจื่อกล่าว “ถูกต้อง หากเจ้าแก่นั่นไม่ส่งผู้หญิงในนิกายให้เจ้าในฐานะหม้อปรุงยามนุษย์ เจ้าจะบรรลุขั้นหกในฐานะเศษขยะได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่ามีวิธีการค่อนข้างดี...พบแล้ว! ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องจริง มีเพียงการรวมวิธีการบ่มเพาะสองอย่างเข้าด้วยกัน มันจึงจะสมบูรณ์แบบ!”

ทันใดนั้นเว่ยอิงเจียก็แสดงออกราวกับเข้าใจบางสิ่ง เขาเริ่มหวาดกลัว “เจ้าวางแผนที่จะใช้เคล็ดวิชาดูดพลัง!” นี่เป็นเคล็ดวิชาที่โหดร้ายและทรงพลัง มันเป็นหนึ่งในสิ่งต้องห้ามของนิกายเมฆาพิรุณ ก่อนหน้านี้จ้าวเหลียงฉิงต้องการใช้เคล็ดวิชานี้กับเด็กผู้หญิงที่เขาลักพาตัวมาเช่นกัน

การบ่มเพาะคู่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย แม้มันอาจทำร้ายฝ่ายตรงข้าม แต่มันก็ไม่ร้ายแรงนัก อย่างไรก็ตามเคล็ดวิชาดูดพลังเป็นการปล้นพลังโดยตรง มันจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียพลังและอาจถึงแก่ชีวิต มันเป็นสิ่งต้องห้ามของโลกภายนอกรวมถึงในนิกายเมฆาพิรุณ