ตอนที่ 886 นี่คืออสูรในตำนาน?
ขณะที่วาฬภูเขาไฟและเลเวียธานกำลังจะจับเย่ว์หยาง พวกมันหายไปทันที
วงเวทอักษรรูนกระพริบและพลังกดดันเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามหนึ่งในนั้นคือฮุยไท่หลางถูกกักเอาไว้ เป้าหมายที่แท้จริงก็คือเย่ว์หยางเขาไม่รู้ว่ามันหายไปเมื่อใด ภูตฟ้าปั่นป่วนควบคุมพายุเพลิงหมุนสูบเปลวเพลิงและฮุยไท่หลางไว้ภายในจากนั้นหมุนปั่นเป็นพายุเพลิงหมุนขึ้นไปบนฟ้า ภายใต้สายตามองที่เหลือเชื่อของจ้าวอัคคีปีศาจเมฆดำที่มีแรงกดสลายหายไปไม่เหลืออะไร
จ้าวอัคคีปีศาจไม่ได้ใช้ความพยายามอะไร แต่พลังแรงกดดันจากวงเวทรูนเพลิงถูกใช้ไปมากกว่าสิบเท่า
ภูตฟ้าปั่นป่วนและฮุยไท่หลางเหมือนกับว่าไม่มีความคงอยู่
มันใช้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ฮุยไท่หลางและภูตฟ้าปั่นป่วนหนีไปได้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดมากที่สุดที่สำคัญ ทั้งสองเป็นอสูรคุณสมบัติธาตุไฟ อักษรรูนเพลิงไม่ส่งผลเต็มที่ด้วยคุณลักษณะของไฟ ที่สำคัญวงเวทอักขระรูนเพลิงคือพลังไฟล้วนๆ
สิ่งที่ทำให้จ้าวอัคคีปีศาจรู้สึกเหลือเชื่อมากที่สุดก็คือเจ้าเด็กโอหังนั่นหายหัวไปไหน?
เขาเป็นนักสู้สายธาตุน้ำแข็งสอดคล้องกับการต่อสู้กับวงเวทอักษรรูน ก็ควรจะได้รับผลกระทบมากจากแรงกดดันแล้วเขาหลบหนีไปได้อย่างไร? นอกจากนี้ต่อให้เขาสามารถหลบหนีไปได้ เขาสามารถหลบหนีพ้นไปจากสำนึกความรู้สึกของเขาได้อย่างไร? จ้าวอัคคีปีศาจรู้สึกงุนงงเขาขยายปณิธานสนามพลังออกไปค้นหาทั่วทุกพื้นที่ แต่ยังไม่มีอะไรสำเร็จ เจ้าเด็กร้ายกาจนั่นเหมือนกับว่าโผล่มาแล้วก็หายไป เขาหายไปไม่เหลือร่องรอย
“หากันต่อไป ต้องหาเขาให้เจอ ตราบใดที่เขายังอยู่ในโลกเพลิงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลบหนีการไล่ล่าของข้าไปได้!” จ้าวอัคคีปีศาจโกรธจริงๆ
วาฬภูเขาไฟและอสูรเลเวียธานที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงเป็นอสูรที่เพิ่งถูกอัญเชิญออกมา
ตัวหนึ่งค้นหาร่องรอยเย่ว์หยางจากตะวันออกไปตะวันตก
แต่จ้าวอัคคีปีศาจเรียกเหยี่ยวเพลิงวิเศษอสูรปราณฟ้าระดับสามสั่งให้มันบินเข้าไปในเมฆครึ้มไล่ตามภูตฟ้าปั่นป่วนและฮุยไท่หลางภูตฟ้าปั่นป่วนเป็นอสูรพิทักษ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำสัญญาด้วยต่อให้อยากได้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ฮุยไท่หลางเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมของจ้าวอัคคีปีศาจ
เมื่อได้ฮุยไท่หลางอสูรเทพก็จะทำให้พลังของจ้าวอัคคีปีศาจเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ในเวลานี้เย่ว์หยางนำฮุยไท่หลางและภูตฟ้าปั่นป่วนบินทะลุเมฆครึ้มดำ
ในใจของเย่ว์หยางมีความรู้สึกแปลกประหลาดทำให้เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องบินผ่านเมฆครึ้มไปให้ได้ตลอดเวลาแม้ว่าเขาจะพบข้อบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งแล้วก็ตามแต่เขายังสังเกตวงเวทรูนเพลิงของจ้าวอัคคีปีศาจผ่านจักษุทิพย์แต่เย่ว์หยางยังไม่ทำอะไร เมื่อเขาสามารถมองเห็นวงเวทรูนอัคคีของจ้าวอัคคีปีศาจเขามีความรู้สึกว่าค้นพบความลับในโลกทะเลเพลิงเพิ่มขึ้น...เมื่อเย่ว์หยางหนีออกมาจากวงเวทรูนอัคคี และเข้าไปในเมฆครึ้มเขาพบว่ายิ่งสูงขึ้นไปในเมฆครึ้มก็ยิ่งมีพลังพิเศษที่แผ่วเบาเหมือนลมหายใจใกล้ขาดห้วง
บางทีนั่นไม่ใช่การอัญเชิญที่แท้จริงแต่เป็นการสะท้อนของวงเวทอักษรรูนลับ
อะไรกันนั่น?
ไม่ใช่มีเพียงเมฆครึ้มอยู่บนโลกอัคคีหรอกหรือ?
ไม่รู้ว่าต้องบินนานเพียงไหนทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้าปรากฏอยู่ข้างหน้าเย่ว์หยาง ฮุยไท่หลางและภูตฟ้าปั่นป่วน
ข้างหน้าพวกเขาเป็นเมฆขาวกว้างไกลไม่สิ้นสุด ถ้าเย่ว์หยางหันกลับไปจะมองเห็นเมฆดำที่เบื้องหลังและเมฆขาวอยู่ข้างหน้าดูคล้ายกันมาก เป็นทะเลเมฆไร้ขอบเขต แตกต่างกันเพียงสี
เย่ว์หยางกับฮุยไท่หลางรู้สึกเหมือนกับว่าผ่านอุปสรรคบางอย่าง แต่พวกเขามองไม่เห็นแต่อย่างใด และมีความรู้สึกที่แปลกตามมา ยิ่งเข้าใกล้ทะเลเมฆก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังน้ำที่เพิ่มขึ้น ภูตฟ้าปั่นป่วนหยุดบินนางเห็นว่าเย่ว์หยางไม่กลับไปที่ทะเลเมฆสีดำนางจึงกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์แต่โดยดีและไม่ยอมฝ่าเข้าไปในทะเลเมฆขาวข้างหน้า
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้นแม้แต่ฮุยไท่หลางก็รู้สึกอึดอัดบ้าง
เหมือนกับว่ามันถูกจับโยนลงไปในสระน้ำตลอดทั้งตัวเริ่มเปียกชุ่ม
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงความรู้สึก...เย่ว์หยางมุ่งหน้าไปต่อไม่ทำตามอำเภอใจเหมือนกับภูตฟ้าปั่นป่วน
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขบินด้วยความเร็วสูงมุ่งไปข้างหน้าพวกเขาต้องการพิสูจน์ความจริง ทำไมถึงมีสถานที่ซึ่งมีพลังน้ำที่อุดมสมบูรณ์อยู่ในโลกอัคคี
ตัดกันกับกลุ่มเมฆดำ
เย่ว์หยางกับฮุยไท่หลางเหนื่อยล้ามากขึ้นจากการเดินทางผ่านทะเลเมฆสีขาว
สายตาของเย่ว์หยางมีแววตกใจจนอดอุทานมิได้
เขาบินอยู่ในท้องฟ้าและฉับพลันก็พบตัวเองว่ามาถึงอีกโลกหนึ่ง โลกวารีที่มีแต่เพียงน้ำ
แตกต่างจากโลกอัคคีที่ร้อนระอุของจ้าวอัคคีปีศาจ ที่นี่เต็มด้วยพลังน้ำมีต้นไม้น้ำและมีแมลงน้ำแหวกว่ายไปมา บางครั้งก็เห็นปลาสีเงินกระโจนออกมาจากน้ำอย่างคึกคะนอง
นี่คือมิติที่เป็นน้ำทั้งหมดกว้างไกลไม่สิ้นสุด
เย่ว์หยางกับฮุยไท่หลางเหลียวมองดูรอบๆตัว
ท้องฟ้ายังคงเป็นเมฆขาว
เมฆขาวไม่สิ้นสุด
ไกลออกไปเหมือนกับจะมีฝนเล็กน้อยและมีสายรุ้งพาดผ่านระยะไกล... ไฟและน้ำเป็นโลกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่กลับรวมกันอยู่ได้ สิ่งที่เปราะบางที่สุดก็คือทั้งสองโลกยากจะเข้ากันได้พร้อมกันหากไม่เห็นกับตาก็จะไม่เชื่อว่าเป็นความจริง
“นี่โลกอะไรกัน?” เย่ว์หยางก้าวไปบนผิวทะเลสาบและพบว่าพลังน้ำที่นี่มีเพียงพอไม่ต้องอยู่ภายใต้ทะเลเพลิงในโลกอัคคี
“ที่นี่คือโลกนาฬิกาทรายไฟอยู่อีกด้านหนึ่งและน้ำอยู่อีกด้านหนึ่ง ทุกๆ สามเดือนจะแปลงพลังงานกลับกัน แน่นอนว่าน้ำที่นี่และไฟที่ฝั่งตรงข้ามจะไม่หายไปและจะไม่ถูกสลับตำแหน่ง แต่ตำแหน่งพื้นที่มิติจะเปลี่ยนไป ความจริงข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นการรอคอยที่น่าเบื่อหน่ายถึงหมื่นปีข้าคำนวณได้อย่างนั้น”
บนผิวน้ำมีน้ำใสกลุ่มหนึ่ง
เปลี่ยนร่างเป็นรูปมนุษย์ ดูเหมือนจะมีลักษณะของสตรีและนางพูดทักเขา
สิ่งที่แปลกที่สุดคือสตรีมนุษย์น้ำถือร่มสีฟ้าที่มีราคาสูงล้ำ...ร่มนี้แค่มีระดับด้อยกว่าสมบัติเทพขั้นหนึ่ง เย่ว์หยางมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง สตรีมนุษย์น้ำนี้ถือร่มระดับรองจากสมบัติเทพ พลังของนางไม่ควรจะเป็นรองจ้าวอัคคีปีศาจ
เย่ว์หยางเปลี่ยนท่าทีมารยาทต่างจากที่เคยแสดงต่อจ้าวอัคคีปีศาจ “ผู้อาวุโส,อย่างนั้นท่านก็คือภูตไหมฟ้าจากในอดีตกาลใช่ไหม? ผู้เยาว์เย่ว์ไตตันอนุชนรุ่นหลังจากทวีปมังกรทะยาน”
สตรีน้ำผู้ถือร่มทำให้เย่ว์หยางเปลี่ยนมารยาทท่าที สีหน้านางแปลกใจเล็กน้อยและกลับคืนเป็นปกติทันที “คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว ยังมีคนจำชื่อข้าได้ หอทงเทียนเจริญรุ่งเรืองมากไหม?ผู้เยาว์อย่างเจ้ามีพลังปราณราชันย์สุดยอดถึงเพียงนี้ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!”
ฮุยไท่หลางปิดปากหัวเราะ
เพราะคนอย่างเย่ว์หยางมีเพียงคนเดียวในทั่วทั้งหอทงเทียนและไม่มีทางพบเจอมานานถึงหมื่นปีแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเย่ว์หยางปรากฏตัวออกมาขู่ขวัญคนจากแดนสวรรค์ป่านนี้หอทงเทียนคงถูกแดนสวรรค์ดูถูกดูแคลนไปแล้ว
เย่ว์หยางถลึงตามองมันไม่ให้มันเสียมารยาท ฮุยไท่หลางหุบยิ้มพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่
สำหรับคำถามของภูตไหมฟ้านั้นเย่ว์หยางแกล้งทำเป็นขัดเขิน “ถูกแล้ว,หอทงเทียนในปัจจุบันเจริญรุ่งเรืองมาก และผู้เยาว์อย่างข้าก็มีมากเหมือนขนโคชาวแดนสวรรค์ผู้โชคร้ายบอกเราแบบนั้น อัจฉริยะมีมากมายเหมือนสุนัขจรจัดแทบจะเดินชนกันตอนนี้ข้าดีขึ้นบ้าง เมื่อก่อนเคยเป็นสวะอยู่ในตระกูลเพราะข้าก้าวหน้าได้ช้าทำให้คนอื่นดูดีอยู่หลายปี!” เย่ว์หยางพูด คนไม่รู้มักจะถูกหลอก
สตรีร่างน้ำผู้ถือร่มเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าหอทงเทียนจะมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก นักรบเผ่าปีศาจและบันไดสวรรค์เคยอยู่ร่วมกับคนของทวีปมังกรทะยานของเราข้าเคยต่อสู้มาเป็นเวลาหลายปีแล้วผู้เยาว์หลายคนในรุ่นต่อมามีพรสวรรค์มากมายต้องเสียสละในการสู้รบเมื่อคนรุ่นเราถูกทำลายไป ก็ไม่มีอยู่อีกต่อไปนักรบหอทงเทียนผู้ได้รับบทเรียนมีแต่จะเจริญเฟื่องฟู! น่าเสียดาย,ข้าติดอยู่ในโลกนาฬิกาทรายไม่สามารถออกไปได้ มิฉะนั้นข้าอยากจะเห็นความยิ่งใหญ่จริงๆ!”
เย่ว์หยางยึดถือเป็นหัวข้อสนทนาทันที “ผู้อาวุโส, อย่างท่านก็ทรงพลังมากมายท่านไม่สามารถทำลายมิติออกไปได้หรือ?”
สตรีร่างน้ำผู้ถือร่มส่ายศีรษะ “นี่คือการลงโทษของบรรพบุรุษโบราณข้าต่อสู้กับจ้าวอัคคีปีศาจ ทำให้เกิดผลร้ายแรงตามมาแทบจะทำให้ทวีปมังกรทะยานทั้งหมดถูกทำลาย บรรพบุรุษโบราณโกรธจัดในช่วงที่เราปะทะต่อสู้ถึง 1985 กระบวนท่าเขาปรากฏตัวขึ้นทำลายข้าและร่างของจ้าวอัคคีปีศาจโดยตรง และจากนั้นจับเราโยนเข้ามาในโลกนาฬิกาทรายนี้เพื่อลงโทษให้สาสมกับความผิดร้ายแรงที่เราก่อขึ้น...ในที่นี่มีแต่น้ำกับไฟรักษาสมดุลกันอยู่ ข้าและจ้าวอัคคีปีศาจไม่มีทางพบเจอกัน และจะไม่มีทางต่อสู้กันอีก แน่นอนว่าทั้งไม่สามารถไปจากโลกนาฬิกาทรายได้ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสของเจ้าเป็นใครแต่ข้าอยากจะเตือนเจ้าว่าที่นี่ไม่ใช่โลกที่ปลอดภัยจ้าวอัคคีปีศาจจะรอซุ่มทำร้ายเจ้า เขาเกลียดทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะผู้เยาว์ที่มีความโดดเด่นอย่างเจ้า เขาจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!”
“จ้าวอัคคีปีศาจ ถ้าท่านพูดถึงมนุษย์ไฟผู้หยิ่งลำพองนั้นข้าพบเจอเขามาแล้ว เขาทรงพลังจริงๆ แต่เขาถูกจำกัดอยู่ในทะเลเพลิงแม้ว่าข้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่เรื่องหลบหนีย่อมไม่เป็นปัญหา” เย่ว์หยางยิ้มเล็กน้อย
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะผ่านเขามาได้ก่อนการต่อสู้กับเขาจะต้องเกิดขึ้นอีก หนุ่มน้อยเจ้าเป็นนักรบมีธาตุคุณสมบัติเป็นน้ำแข็ง เจ้าไม่สามารถจะผ่านออกไปจากโลกอัคคีที่ด้านตรงข้ามนั้นได้? และหมาป่าปีศาจนี้น่าจะเป็นหมาป่าปีศาจล้างโลกใช่ไหม? มันเป็นมิตรกับเจ้ามาก ทำไมเจ้าไม่ทำสัญญากับมัน?ระวังว่าผลของอสูรเทพตอนทำสัญญานั้นบางครั้งก็ให้ประโยชน์ต่อการฝึกฝนของตัวเจ้า!” สตรีน้ำผู้ถือร่มถามถึงฮุยไท่หลางที่ลงไปว่ายน้ำเล่นด้วยความสงสัย
“การทำสัญญาเป็นเรื่องดีแต่มันจะไม่มีอิสระ” เย่ว์หยางโบกมือ “ข้ามีอสูรมากพอแล้ว เจ้านี่ยังไม่จำเป็นต้องใช้”
“เจ้าร่ำรวยอสูรเทพมากนักหรือ?”สตรีน้ำผู้ถือร่มได้ยินเข้าถึงกับตกใจ
“ยังคงมีอัตราว่างอยู่มากแต่อาจมีทางเลือกที่ดีกว่าในอนาคต” เย่ว์หยางไม่อายที่จะบอกผู้อาวุโสอายุเป็นหมื่นปีว่าถ้าอสูรไม่สวยงดงามเขาจะไม่ทำสัญญา แน่นอนว่าเขาพูดว่าคนธรรมดากินกะหล่ำปลีจนคุ้นนั่นเป็นข้อแก้ตัวแบบแกนๆ
“เด็กหนุ่มที่มีความคิดทะเยอทะยานอย่างเจ้ามีมากไหม?นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ มีเรื่องน่าตกใจที่ข้าไม่เคยมี ไม่เคยได้ยินบางคนไม่มีโอกาสจะได้ทำสัญญากับอสูรเทพ ว่าแต่พ่อหนุ่ม! เจ้ามีอสูรเทพอยู่เท่าใดกันแน่?” นางได้ยินเย่ว์หยางตอบว่ามีสองสามตน ถึงกับนิ่งตะลึงมือที่ยังถือร่มสมบัติที่ใกล้ระดับเทพ ร่วงลงบนผิวน้ำ แต่นางไม่ทันสังเกต
ในที่สุดหลังจากผ่านไปนานนางพึมพำ “เจ้ายังมีอสูรเทพอยู่สองสามตนหรือ? เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดฝีมือของหอทงเทียนแต่ไม่มีอสูรเทพอยู่ในมือเลย เจ้ามีอยู่กี่ตัวกันแน่?”
เย่ว์หยางอายเล็กน้อย เขาเอามือลูบหลังศีรษะ “มีอยู่สองสามตน มีอยู่จำนวนหนึ่งที่มีศักยภาพเลื่อนไปถึงอสูรเทพได้เพราะการฝึกดังนั้นการเลื่อนเป็นอสูรเทพไม่มีอะไรมาก ฮุยไท่หลางนี้ได้เลื่อนระดับก่อน แต่เนื่องจากขาดการพิจารณานอกจากนี้อสูรที่ได้รับมาทีหลังจะมีความต้องการที่ต่างกันไป ถ้ามันก้าวหน้าเร็วพลังอาจตกลง”
สตรีน้ำได้ยินคำพูดนี้ถึงกับตะลึง “ข้าไม่อยากเชื่อเลยเจ้าเรียกออกมาเพิ่มสักหนึ่งตนได้ไหม?
ถ้าเป็นเวลาปกติเย่ว์หยางจะไม่กล้าอวดพลังของตนแต่วันนี้เพราะเขาต้องการถามผู้อาวุโสผู้นี้ เขาจึงทำตัวว่าง่ายเหมือนกับว่าเป็นเด็กดีตั้งแต่เกิด
ฮุยไท่หลางให้ความร่วมมือกับเจ้านายมันตามปกติมันทำตัวแสดงให้เห็นว่ามันเป็นหมาป่าที่ดี
รอจนเย่ว์หยางเรียกเสี่ยวเหวินหลีปีศาจอสรพิษน้อยออกมาจากโลกคัมภีร์ สตรีน้ำผู้น่าจะเป็นภูตไหมฟ้าอุทานออกมาทันที “นี่เป็นอสูรในตำนานไม่ใช่หรือ? พระเจ้า,เป็นไปได้ยังไงกัน เจ้ามีอสูรในตำนาน? เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าไม่ใช่คนของหอทงเทียน เจ้าคงเป็นเผ่าพันธุ์ในตำนาน!”