ตอนที่แล้วตอนที่ 885 ห่วงต้องห้าม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 887 นิมิตหมาย

ตอนที่ 886 การค้นพบของแฮงค์


แฮงค์ตกตะลึงพรึงเพริด

สำหรับเขาการสู้รบไม่มีอะไรที่ยาก มีความแตกต่างมากเกินไปในแง่จำนวนคนระหว่างทั้งสองฝ่าย  ‘กองพลหน้ากากเหล็กมีคนสักกี่คนเชียว?  ราวๆ 100 คน แต่ฝ่ายเรามีกันกี่คน?  ที่แน่ๆ 500!  อัตราส่วน 5 ต่อ 1ห้าคนสู้คนเดียวไม่ว่ากองพลหน้ากากเหล็กจะแข็งแกร่งเพียงไหนพวกเขาก็ยังมีพลังเหนือกว่าอยู่ดี แต่ทำไมการสู้รบยังไม่จบ?’

ยังดีถ้ามันยังไม่จบ แต่สิ่งที่ทำให้แฮงค์ตกตะลึงก็คือคนของเขาเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!

แม้ว่ากองพลหน้ากากเหล็กจะมีคนน้อยมาก  แต่พวกเขาก็คล่องแคล่วว่องไวกันมาก  พวกเขาคล่องแคล่วดุดันเหมือนกับสุนัขต้อนแกะต้อนมาต้อนไปทั้งรุกและประสานกันอย่างต่อเนื่อง องครักษ์ฝ่ายเขาเองกลับเหมือนฝูงแกะโง่สำหรับพวกเขา  พวกเขาไม่สามารถแตะต้องเสื้อผ้าศัตรูได้เลย

‘เจ้าพวกโง่!’ แฮงค์สบถด้วยความโกรธกับประสิทธิภาพการทำงานขององครักษ์ฝ่ายเขา  ความรับผิดชอบของพวกเขาการตอบสนองของพวกเขากลายเป็นชักช้า พวกเขาอ่อนล้าลงและถูกศัตรูจูงจมูกได้ตลอด

500 ต่อ 100 ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ นั่นปล่อยเอาไว้ไม่ได้  ประสิทธิภาพของพวกเขาน่ากลัวมากจนแฮงค์ตัดสินใจลงมือกับพวกเขาเองเมื่อเรื่องจบ

เมื่อข่มความโกรธในใจได้ แฮงค์เริ่มวิเคราะห์กองพลหน้ากากเหล็กและสีหน้าของเขาค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น

ยิ่งเขามองดูก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น  ‘กลุ่มการค้าเมซฟิลด์ได้ยอดฝีมือมามากมายขนาดนั้นได้ยังไง?’

สมาชิกกองพลหน้ากากเหล็กแต่ละคนมีพลังฝีมือโดดเด่น  พวกเขาว่องไวมากรูปแบบการเคลื่อนไหวของพวกเขาคาดเดาไม่ได้ ทำให้พวกเขายากตามจับได้  องครักษ์ฝ่ายเขาไม่คุ้นเคยกับคู่ต่อสู้แบบนั้นและในเวลาไม่นานพวกเขาก็สูญเสียจังหวะของตน

นอกจากนั้นการประสานงานของศัตรูก็โดดเด่น เขาสามารถบอกได้ว่าพวกเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเขาเป็นกลุ่มที่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่มีความไว้วางใจกันและกัน  แฮงค์ประจักษ์มาสองสามครั้งแล้ว เหมือนกับว่าพวกเขาไม่สนใจดูการโจมตีของสหายของพวกเขา  แต่ยังคงรักษาจังหวะของตัวเอง  เมื่อคนหนึ่งกำลังจะเสียที มักจะมีสหายอีกคนหนึ่งไม่ทราบโผล่มาจากที่ใดมาช่วยคลี่คลายวิกฤติให้เสมอ

เห็นได้ชัดว่าเป็นกลยุทธแบบหนึ่ง

ความหนาวเหน็บผุดขึ้นในในแฮงค์ ความจริงสมาชิกฝ่ายศัตรูที่เผชิญหน้ากับอันตรายเพียงแค่ต้องหยุดการโจมตีของพวกเขาเพื่อคลี่คลายอันตรายที่พวกเขาตกอยู่ในนั้น  แต่พวกเขายังเลือกที่จะโจมตีต่อไป เมื่อเห็นได้ถึงความเชื่อใจที่พวกเขามีกันและกัน  ถ้าเป็นแค่คนหรือสองคน อาจจะยอมรับได้ว่าเป็นความเข้าใจกลยุทธระหว่างสมาชิกทั้งสองคน  แต่ความถี่ในการเกิดภาพเช่นนั้นสูงมากจนเหลือเพียงความเป็นไปได้ประการเดียว  กองพลหน้ากากเหล็กฝึกฝนกลยุทธนั้นมาถี่มาก

น่ากลัวมากจริงๆ!

‘คนที่กล้าออกแบบกลยุทธที่อันตรายแบบนั้นกล้าจริงๆแม้จะใช้แค่กลยุทธทั่วไปก็ตาม!’  สำหรับแฮงค์การร่วมมือประสานงานแบบนั้นสามารถแสดงพลังได้เข้มแข็งมาก  และสามารถใช้รักษาจังหวะของการสู้รบได้ แต่จำเป็นต้องมีความประสานงานกลยุทธในระดับสูงล้ำระหว่างสมาชิกแต่ละคนอันตรายและกล้าหาญมาก! ตราบใดที่พวกเขาไม่ตั้งใจและสนับสนุนช้าไปครึ่งก้าวนั่นจะสายเกินไปและจะนำไปสู่การบาดเจ็บรุนแรงหรือไม่ก็ตาย

กลยุทธแบบนั้นเหมือนกับกายกรรมไต่ราวตราบเท่าที่มีความผิดพลาดสักอย่างก็ไม่มีโอกาสกู้คืน

แต่ในเวลาอันรวดเร็ว แฮงค์ก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเพราะเขารู้ได้ทันที่ว่าแม้ว่ากองพลหน้ากากเหล็กจะใช้กลยุทธอันตรายอย่างนั้นแต่พวกเขาไม่เคยล้มเหลวเลย

‘เป็นแบบนี้ได้ยังไง...’

แฮงค์เชื่อมั่นในวิจารณญาณของตน  นอกจากนี้ยังเป็นการตัดสินพื้นฐาน ‘ข้าพลาดได้อย่างไร? มีบางอย่างที่ข้าไม่ทันได้สังเกตได้ยังไง?’

แฮงค์ไม่กังวล เขาลืมตาและไตร่ตรองมากขึ้น กลัวว่าจะพลาดรายละเอียด

สายตาของเขามีประสบการณ์เมื่อมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจของเขาแล้ว เขาจึงค้นพบสิ่งใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว  หน้าของเขายิ่งซีดขึ้นทุกที  สีหน้าที่มั่นคงของเขาแสดงอาการตกใจขณะที่เหงื่อเกาะที่หน้าผากของเขา

ถ้าเขาไม่เห็นกับตาตนเอง เขาไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

‘สัญชาตญาณ ในแต่ละคนของกองกำลังหน้ากากเหล็กมีสัญชาตญาณต่อสู้กันทุกคน  พวกเขาสามารถรู้สึกได้ถึงอันตรายก่อนจะกลายเป็นวิกฤติทำให้พวกเขาเบี่ยงเบนจุดวิกฤติได้ทันท่วงที พวกเขาทำอย่างใจเย็นเหตุผลที่เขารู้สึกว่าพวกเขามีทักษะมากเมื่อเขาแลดูพวกเขา

‘แต่,นั่นเป็นไปได้ยังไง!’

แฮงค์รู้สึกว่าองค์ความรู้ของเขาถูกถล่มทลาย ขณะเดียวกันเขาเชื่ออย่างมั่นคงในสัญชาตญาณของตนเอง  เพราะเขาเองก็ผ่านศึกมามากมาย  สัญชาตญาณต่อสู้ที่น่าเชื่อถือของเขาขัดเกลาจากการผ่านการสู้รบมาเป็นร้อยศึก  เป็นสิ่งที่ได้รับยากเย็นยิ่งกว่าวิทยายุทธหรือกลยุทธเสียอีก  เพราะมันไม่มีจุดเริ่มต้น

แฮงค์มักจะถือดีในสัญชาตญาณสู้รบที่แข็งแกร่งของเขา แต่....

องครักษ์หน้ากากเหล็กทุกคนที่บินอยู่ทั้งหมดนี้มีสัญชาตญาณไม่ด้อยไปกว่าเขา

‘พวกเขาเป็นคนแบบไหนกัน!’ เหมือนกับว่าใจของแฮงค์ตกอยู่ในคลื่นทะเลปั่นป่วน

แฮงค์ไม่เคยรู้ว่ายังมีดินแดนที่โหดร้ายและป่าเถื่อนอยู่ในโลกเรียกกันว่าแดนบาปเป็นที่ซึ่งทุกคนหากต้องการมีชีวิตต่อไป พวกเขาต้องสู้ พวกเขาต้องคอยสู้ต่อไป!  ไม่มีความปราณี, พวกเขาเกิดมาในการสู้รบ บางสิ่งที่พลเมืองชาวกวงหมิงไม่สามารถจินตนาการได้  จะเรียกกว่าประสบการณ์การต่อสู้ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ถือว่าไม่มีอะไรเลยเมื่อตกไปอยู่ในแดนบาป

แต่ไม่มีใครสามารถตำหนิแฮงค์ได้  ตั้งแต่เริ่มเขาไม่ได้เชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับแดนบาปแม้จะเป็นความจริงที่ว่าการฟื้นขึ้นมาของแดนบาปจะกวนใจทวีปกวงหมิงก็ตาม แต่รายงานที่พวกเขามีเกี่ยวกับแดนบาปน้อยนิดจนน่าสงสาร  แม้แต่วิหารกวงหมิงก็ไม่รู้ชัดว่าปัจจุบันนี้แดนบาปเป็นเช่นไร ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อแดนบาปหยุดอยู่ที่ความรู้เมื่อสองสามร้อยปีที่แล้ว

แต่เมื่อเทียบสัญชาตญาณของพวกเขาการผสานพลังของกองพลหน้ากากเหล็กยากจะผ่านได้ และพวกเขามีเพียงกลยุทธเดียวแต่พลังของแต่ละคนครอบงำจุดอ่อนของพวกเขา

‘ดูเหมือน 500คนคงจะไม่พอ’

จี๋เจ๋อและพวกไม่รู้เรื่องความหงุดหงิดของแฮงค์  พวกเขามีความสุขมากที่ได้ต่อสู้ ตั้งแต่พวกเขาออกมาจากแดนบาปและเข้าสู่ทวีปกวงหมิงพวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่และนั่นก็คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานหนาแน่นของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์   จุดสำคัญของการสู้รบก็คือ  พลังงานในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นเกินไป และการต่อสู้รูปแบบเดิมของพวกเขาไม่เหมาะกับดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยน

ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาออกจากแดนบาป พวกเขาไม่เคยหยุดการฝึกที่โหดหินร้ายกาจเลย ความจริงการฝึกหนักต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อตั้งกองพลเกราะเทพเจ้า  ในแง่มุมอื่นเจ้านายถือว่าเป็นคนดีไม่ว่าใครต้องการอะไรก็จะได้รับ แต่ในแง่การฝึก เจ้านายถือว่าเป็นจอมโหดไม่มีการลดหย่อนให้พวกเขา  เข้มงวดกับพวกเขาจนแทบจมน้ำลายตาย

‘เขาทดแทนการเดินทางด้วยการฝึกโอว, เร็วๆ นี้เขายอมให้เราได้นั่งเรือสินค้า นับว่าเป็นความเมตตาปราณียิ่งนัก!’

‘แต่นั่นเป็นเพราะนายท่านเกรงว่าเราจะเปิดเผยสถานะของพวกเรา...’

แต่ภายใต้การฝึกโหดหินเช่นนั้นจี๋เจ๋อและพวกก็เริ่มจะชินกับวิธีต่อสู้แบบใหม่ และในเวลารวดเร็ว พวกเขาก็สามารถมีประสบการณ์ถึงรูปแบบต่อสู้ใหม่ๆ ด้วยตนเองโดยการใช้กฎควบคุมพลังงาน  พวกเขาพบว่าพวกเขาทรงพลังมากเพียงไหน กฎธรรมชาติของพวกเขาสามารถควบคุมพลังงานต่างๆ ได้มากมาย!  เมื่อเทียบกับแดนบาป

นอกจากนี้ความเข้าใจกฎธรรมชาติที่ลึกซึ้งของพวกเขาทำให้การควบคุมพลังงานของพวกเขาถึงระดับที่พิถีพิถันมาก  แม้แต่ซือหม่าเซี่ยวที่มาจากสวรรค์วิถีก็ยังอดตกใจกับความสามารถในการควบคุมพลังงานของพวกเขาไม่ได้  ตราบใดที่นักสู้แดนบาปสามารถเอาชนะความรู้สึกไม่สบายสำหรับพลังงาน ต่อให้พวกเขาไม่เคยเรียนวิทยายุทธของสวรรค์วิถีมาก่อนด้วยการควบคุมพลังงานที่ดี พวกเขาก็สามารถเอาชนะเซียนจากสวรรค์วิถีได้

นั่นคือข้อได้เปรียบที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา

พวกเขาใช้พลังมหาศาลเพื่อเอาชนะอุปสรรคด้านพลังงานทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงฝีมือ เกือบตลอดเวลาเป็นเจ้านายเองที่คอยรับมือและคลี่คลายปัญหาให้  ดังนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสแสดงฝีมือได้น้อยซึ่งเป็นเรื่องโหดร้ายยิ่งกว่าการฝึกโหดหินเสียอีก

การสู้รบนี้ โอ๊ะ..ไม่สิ การต่อยตีกันครั้งนี้ทำให้พวกเขาตื่นเต้น  ในที่สุดพวกเขาก็ได้สู้เสียที  น่าเสียดายที่ไม่ใช่การสู้รบที่แท้จริง  ป้องกันพวกเขาไม่ให้ใช้พลังได้เต็มที่  ‘ก็ได้..ดีกว่าไม่ได้ยืดเส้นยืดสายเลย’

กลุ่มของพวกเขากระโจนเข้าไปในกลุ่มศัตรูจนเกิดความโกลาหล

เนื่องจากพยุหะห่วงต้องห้ามที่พวกเขาใช้ค่อนข้างมีข้อจำกัด  อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาเหมือนกับหมาป่าและพยัคฆ์  แต่อีกฝ่ายพวกเขาเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าดังนั้นจึงดึงตัวออกมาในระยะไกล ในการทะเลาะกันที่ไม่ยอมให้พวกเขามีการฆ่า กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และเรื่องสำคัญที่สองไม่ใช่กลยุทธและวิธีการร่วมมือ  แต่เป็นร่างกายของพวกเขา  เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถฆ่าได้ อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องดูกันว่ากลุ่มไหนจะมีความอดทนมากกว่า

จี๋เจ๋อและพวกตะลุยเข้าไปตรงๆ เหมือนกลุ่มควายป่า

เมื่อจี๋เจ๋อสร้างม่านพลังงานและตะลุยเข้าหาศัตรูโดยตรง  การป้องกันของฝ่ายตรงข้ามมีอย่างเดียวและสร้างม่านพลังงานและตะลุยเข้าปะทะกับเขา

ผลก็คือจี๋เจ๋อและพวกไม่เป็นอะไร  ขณะที่คู่ต่อสู้แม้ว่าม่านพลังงานของพวกเขาไม่แตก แต่พวกเขาก็มึนงงทุกคนตัวหมุนเป็นวงจนเวียนหัวล้มลงกับพื้น

คนอื่นพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผล ไม่มีใครตายแต่ได้ผลที่น่าพอใจจึงทำให้พวกเขาตื่นเต้น ทันใดนั้นทุกคนเริ่มเลียนแบบจี๋เจ๋อทันทีสร้างม่านพลังงานและตะลุยเข้าหาศัตรู เมื่อศัตรูพวกเขาเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ถอยหลัง  แต่สู้โดยตรง  ‘เราห้าคนจะรับมือคนหนึ่งไม่ได้หรือไง?’

นั่นเป็นการรูดม่านแข่งขันคนชนคนที่ไม่เคยมีมาก่อน

ปัง ปัง ปัง!

เสียงชนกันระเบิดดังสนั่นในอากาศอย่างต่อเนื่องถึงขนาดทำให้แก้วหูลั่นอึงอล

แฮงค์ตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นฉากภาพแบบนั้นมาก่อน แต่เขาต้องยอมรับว่าการสู้กันตรงๆ แบบนั้นไม่มีเหตุผลเลย

“บ้าจริงๆ ข้าต้องกระตุ้นและทำให้ดีด้วย!”  ด้านแฮงค์ สหายคนหนึ่งอดพูดขึ้นไม่ได้

“สะใจนะ  สะใจเป็นบ้า!”

เรือรบไร้เทียมทานตื่นเต้นอยู่นาน  ทหารยามทุกคนบนเรือตะโกนสุดเสียงให้กำลังใจสหายของพวกเขาบางครั้งก็มีเสียงอุทาน

บนเรือสินค้าของกลุ่มการค้าเมซฟิลด์บรรยากาศตึงเครียดมากในอากาศมีกองพลหน้ากากเหล็กเผชิญหน้ากับศัตรูที่มากกว่าห้าเท่า พวกเขาเสียเปรียบในเรื่องจำนวนทำให้ภาพที่เห็นดูน่าอนาถนัก

จอห์นสันยังคงสั่งทหารประจำขององค์กร  เมื่อเห็นว่าสหายของพวกเขาเองร่วงลงมาพวกเขาต้องเข้าไปรับ เขาเองก็มีสีหน้ากังวลเขาไม่รู้ว่าทำไมจี๋เจ๋อและพวกถึงได้เลือกจะสู้แบบนั้น  ก่อนนั้นพวกเขาได้เปรียบอย่างชัดเจน  และตราบเท่าที่พวกเขาพยายามพวกเขาก็เอาชนะศัตรูได้ในเวลาไม่นาน

ถ้าพวกเขาแพ้ เขารู้ว่าอะไรจะรอพวกเขาอยู่  ด้วยความเข้มงวดของระฆังศักดิ์สิทธิ์  คลอเดียไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้  แต่นางสามารถหักมือหักขาและตบพวกเขาได้

‘ถ้ามาถึงขั้นนั้นเราก็ต้องทุ่มเทกำลัง! ต่อให้พวกเขาต้องถูกลงโทษหรือถูกคร่ากุมโดยวิหาร  เขาก็ไม่ใส่ใจ

เขาไม่สามารถทนรับความอัปยศดังกล่าว

ขณะที่ทุกคนถูกกลืนด้วยการสู้รบกลางอากาศอย่างไม่เคยมีมาก่อน  ไม่มีใครสังเกตว่าในห่วงต้องห้ามถังเทียนที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จู่ๆ ก็กระพริบตา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด