ตอนที่ 878 การค้นคว้าที่ยิ่งใหญ่, ความคิดห่าม
วังเทียนหลัว
สิ่งที่เย่ว์หยางคาดไม่ถึงก็คือวันนี้ฝ่าบาทเรียกเขาไปเข้าเฝ้า
ตามปกติในการขอเข้าเฝ้า เขามักจะถูกปฏิเสธเสมอ วันนี้เกิดอะไรขึ้น?
เย่ว์หยางงุนงงสงสัยและตั้งตารอคอย ที่สำคัญฝ่าบาทมักไม่อยากให้เขาเข้าเฝ้ามาตลอด เมื่อนางกำนัลพาเขาเข้าไปในตำหนักชั้นใน นางถอยกลับออกมาอย่างเงียบๆ และออกไปทางประตูใหญ่นอกตำหนักเหมือนเคย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นทำกับเย่ว์หยางอย่างนี้ เขาไม่พังประตูวังก็คงเป็นเรื่องแปลกแน่นอน อย่างไรก็ตามเขาทำแบบนั้นไม่ได้ อยู่ที่นี่เขาจะต้องทำตัวเป็นเด็กดี
เขายังคงยิ้มต่อไป
เด็กหนุ่มจากโลกอื่นไม่ปฏิบัติตัวตามธรรมเนียมเหมือนคนอื่น
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับจุนอู๋โหย่ว, สุ่ยตงหลิว จัดสร้างกองกำลังอัศวินมังกรเพื่อยกระดับจิตวิญญาณนักสู้ของทวีปมังกรทะยานใช่ไหม?” ฝ่าบาทถาม
“จริงๆ แล้วข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น...” เย่ว์หยางถ่อมตัวอย่างที่สุด แต่ในใจของเขามีความภูมิใจมาก และเขาพยายามคิดอย่างดีที่สุด ถ้าไม่มีผลอะไรแม้แต่น้อย นั่นคงเป็นเรื่องแปลก! เย่ว์หยางหยิบเอาหนังสือแผนงานออกมาและเดินออกมาก้าวใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องผลักเปิดประตู แต่เขาไม่ใช้แค่ใช้พลังภายในเทเลพอร์ตส่งวัตถุเข้าไปภายในตำหนัก และกล่าวจริงจัง “ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกหลายท่านรวมทั้งผู้เฒ่าหนานกงคิดเหมือนกันว่า ถ้าทวีปมังกรทะยานต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็จะต้องรักษาฐานพลังในการแข่งขันเอาไว้ด้วยการค้นหานักสู้ผู้มีศักยภาพ การก่อตั้งกลุ่มอัศวินมังกรเป็นการกระตุ้นบรรยากาศนักสู้ในก้าวแรก โดยใช้เกียรติยศเป็นแรงบันดาลใจขับเคลื่อนของนักสู้”
“แผนงานในรายงานเล่มนี้จัดทำได้ดี แต่ข้าไม่รู้ว่าจะใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้แค่ไหน? และอย่างไร?” หลังจากนั่งดูเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะอ่านแผนงานอย่างระมัดระวัง ในที่สุด เขายกประเด็นหนึ่งขึ้นพูด “ในที่สุดเจ้าก็ยกแนวความความคิดจัดตั้งกองกำลังเลือดมังกร จุดตรงนี้ข้าเห็นด้วย แต่ว่าเป็นไปไม่ได้แน่ที่ทุกคนจะเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงได้ บางคนมีความตั้งใจแน่วแน่ คนที่มีความสำคัญที่สุด ก็คือคนที่มีความภักดีสามารถสร้างโอกาสในการประสบความสำเร็จด้านต่างๆ เรื่องเช่นนี้มีผู้คิดจะทำหลายคนแต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีใครทำได้รวมทั้งจักรพรรดิอวี้ หากเจ้าตัดสินใจจะทำให้ได้จริงๆ ข้ายินดีสนับสนุนและหวังว่าเจ้าจะทำให้สำเร็จได้ และได้สิ่งที่ดีที่สุด”
“ฝ่าบาทมีพระประสงค์ เด็กน้อยผู้นี้ย่อมจะทุ่มเทกำลังทำอย่างแน่นอน!” เย่ว์หยางยิ้มและคำนับ
“แผนอัศวินมังกรและนักรบเลือดมังกร ข้าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายด้วย” จักรพรรดิตรัสต่อ “ด้วยความสามารถของเจ้าควบคู่ไปกับการร่วมมือของแต่ละคน แม้จะต้องใช้เวลานานแต่ข้าเชื่อว่าสามารถทำได้ อย่างไรก็ตามด้วยศักดิ์ศรีของเจ้าที่ต้องเป็นผู้นำหอทงเทียนยังลำบากแค่เพียงเล็กน้อย นำแต่ทวีปมังกรทะยานคงไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ไม่ว่ายังไงฝ่าบาทอย่าเพิ่งทอดธุระ!” เย่ว์หยางกังวลอย่างมาก เขาหวังว่าจักรพรรดิจะช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่
“ทางด้านนี้ราชันย์ฟ้าบูรพาและราชันย์ฟ้าประจิมจะร่วมมือกับเจ้า, เอ่อ..ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าจะส่งทูตพิเศษไปช่วยดูแลเรื่องนี้” จักรพรรดิดูเหมือนตัดสินใจ
“ท่านยุ่งทั้งวันเชียวหรือ? อยู่แต่ในฮาเร็มทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง?” เย่ว์หยางเหงื่อตก
“มันเรื่องของข้า!” จักรพรรดิกริ้ว
“ก็แค่ช่วยข้าสักนิดหน่อยเท่านั้น” เย่ว์หยางรีบแสดงความเห็นที่จริงใจ
“ข้ายุ่งมากจริงๆ ในอนาคตอันใกล้นี้แทบไม่มีเวลาว่างเลย!” จักรพรรดิตรัสเช่นนั้น ก็เป็นอันคาดได้ว่าไม่มีใครในทวีปมังกรทะยานจะยอมเชื่อว่าหัวซิ่วรี่จักรพรรดิแห่งเทียนหลัวเอาแต่สบายที่สุดในโลก อยู่แต่ในฮาเร็มทุกวี่วัน น้อยครั้งที่จะถามถึงกิจการงานเมือง เรื่องภายในประเทศก็ส่งมอบให้กับเสนาบดีดูแล
มีเรื่องเล่าตลกที่พูดถึงกันในทวีปมังกรทะยาน เล่ากันว่าครั้งหนึ่งมีการเฉลิมฉลองใหญ่ที่จัตุรัสเทียนหลัว จักรพรรดิหัวซิ่วรี่มีพลานามัยค่อนข้างอ่อนแอ ด้วยความที่รีบร้อนพอเปลี่ยนฉลองพระองค์ที่สวยงามเสร็จ เจ้าหน้าที่หญิงรีบพาพระองค์ออกมาจากตำหนักมาที่ท้องพระโรงเตรียมตัวจะร่วมทำพิธีเฉลิมฉลอง ผลก็คือองครักษ์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสั่งให้หยุด และสั่งให้ฝ่าบาทแสดงตราประจำตัวชั้นสูง เมื่อนางกำนัลแสดงตราหยกสุริยันต์พวกทหารวังคิดว่านี่เป็นการติดสินบนจึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท องครักษ์วังผู้นี้ไม่ยอมให้คนที่ไม่แสดงสถานะตนเองเข้าไปในจัตุรัส พระองค์รีบจากไปทันที มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะเรียกทหารวังมาจับพระองค์... แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องตลกที่เล่ากันเลยเถิด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเคร่งครัดของทหารวังที่กล้าสั่งให้จักรพรรดิแสดงเครื่องหมายพิสูจน์สถานะตนเอง
เป็นไปไม่ได้ที่เทียนหลัวจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตาถั่วมารับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องจริง
ก็แทบมีความคล้ายคลึงกัน
ในอาณาจักรเทียนหลัว อย่างน้อยมีข้าราชบริพารหนึ่งในห้า และเจ้าเมืองต่างๆ หนึ่งในสิบที่ไม่เคยพบเห็นจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ กล่าวกันว่าข้าราชบริพารเทียนหลัวเกินร้อยคนและทหารวังเข้าใจผิดบ่อยครั้ง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ของประเทศไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก
เมื่อเทียบกับจักรพรรดิต้าเซี่ยจุนอู๋โหย่ว จักรพรรดิหัวซิ่วรี่ไม่ทำตัวให้โดดเด่น
แม้ว่าจุนอู๋โหย่วไม่เคยประทับฉายาลักษณ์ไว้บนเหรียญทอง แต่ก็ทำตัวให้คนอื่นเห็นเขา อย่างไรก็ตามในอาณาจักรต้าเซี่ย สามัญชนอย่างน้อย 80% รู้จักจักรพรรดิของเขาว่ามีลักษณะยังไง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเย่ว์หยางมีชื่อเสียงขึ้นมาก็ยิ่งทำให้จุนอู๋โหย่วมีชื่อมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หลายๆ คนในหอทงเทียนยังพลอยได้ยินชื่อของเขาไปโดยปริยาย
เย่ว์หยางเมื่อได้ยินฝ่าบาทบอกว่ายุ่ง เขาอดหงุดหงิดไม่ได้
เขาบ่นพึมพำว่า “ถ้าท่านยุ่งมาก อย่างนั้นในโลกนี้ก็ไม่มีคนขี้เกียจแล้ว
จักรพรรดิดูเหมือนจะได้ยินเสียงเย่ว์หยางบ่น จึงตวาดลั่น “ข้ายุ่งมาก ถ้าไม่รู้ก็อย่าเดามั่ว!”
เย่ว์หยางทึ่ง “ฝ่าบากำลังวุ่นกับอะไรหรือ?”
หลังจากลังเลอยู่นาน จักรพรรดิถอนหายใจตรัสด้วยเสียงคลุมเครือ “ข้ากำลังค้นคว้าหาทางว่ามีอะไรที่ใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้บ้าง?”
“นี่เป็นเรื่องแปลกไม่ใช่หรือ?” เย่ว์หยางไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างเห็นได้ชัด ถ้านี่เป็นเรื่องที่จุนอู๋โหย่วหรืออาจารย์จิ้งจอกเฒ่าพูด เย่ว์หยางคงกังวลว่าอีกฝ่ายคงจะบ้าเป็นแน่ สิ่งที่จะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญ นั่นเป็นเรื่องฝันเฟื่อง ถ้ามีอะไรจะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้ อย่างนั้นทำไมนักรบแดนสวรรค์ถึงต้องมองหาคัมภีร์อัญเชิญของคนอื่นอย่างกระตือรือร้นด้วยเล่า ความลับคัมภีร์อัญเชิญ ด้วยพลังจักษุทิพย์ในปัจจุบันของเย่ว์หยางยังไม่สามารถมองเห็นร่องรอยการผลิต จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างคัมภีร์อัญเชิญ ในยุคโบราณดึกดำบรรพ์เทพในยุคนั้นจะต้องมีพลังไร้เทียมทานไม่มีใครเทียบได้
ตอนนี้จักรพรรดิเทียนหลัวหัวซิ่วรี่ตรัสว่าเขากำลังศึกษาหาสิ่งที่จะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญ
เย่ว์หยางไม่หัวเราะ เขาเห็นแก่หน้าของจักรพรรดิ
ทั้งสองต่างเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด
จู่ๆ จักรพรรดิก็ถอนหายใจเบาๆ “คัมภีร์อัญเชิญลึกลับเกินไป นักสู้ผู้ประสบความสำเร็จในบันไดสวรรค์ได้พยายามค้นคว้า แต่ไม่ได้มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด ต่อมานักสู้ของบันไดสวรรค์เปลี่ยนใจและหยิบยกแนวความคิดที่กล้าหาญขึ้นเสนอ แม้ว่านี่จะไม่สามารถเรียกคัมภีร์อัญเชิญได้ ไม่ว่าจะสามารถทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้หรือไม่ ได้มีการวิจัยและพัฒนาสิ่งที่จะใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้
เย่ว์หยางตกใจ แม้แต่นักสู้ผู้แข็งแกร่งของบันไดสวรรค์ก็สนับสนุนเรื่องนี้หรือ?
นี่เป็นการค้นคว้าวิจัยที่บ้าคลั่งหรือเปล่า? เมื่อได้ยินน้ำเสียงของฝ่าบาทถอนหายใจ การค้นคว้าแบบนี้มีมาเป็นเวลานานแล้ว ทั้งที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่ทำไมคนเหล่านี้ยังยืนยันทำต่อ?
ด้วยความสนใจและความอยากรู้อยากเห็น เย่ว์หยางถาม “มีการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มานานเท่าใดแล้ว?”
จักรพรรดิตอบ “แปดพันปีมาแล้ว”
เย่ว์หยางพูดไม่ออก
ใช้เวลาถึงแปดพันปีเพื่อค้นคว้าวิจัยโครงการที่ไม่มีทางประสบความสำเร็จ นี่ดึงดันหรือโง่เกินไปหรือเปล่า?
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่มีเวลาให้เจ้านัก ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ข้าจะต้องนอนแล้ว เจ้ากลับไปได้ หากมีอะไรจำเป็น เจ้าไปตามหาราชันย์ฟ้าบูรพาได้” จักรพรรดิตรัสกับเย่ว์หยางเสร็จก็จากไป
“เดี๋ยวก่อน, ข้าจะช่วยท่าน!” เย่ว์หยางตื่นเต้น ถ้ามีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ได้ อย่างนั้นเขาเชื่อว่านั่นจะช่วยให้เขาก้าวหน้าขอบเขตที่ฝึกฝนได้
“เจ้าไม่มีความอดทนพอ...” จักรพรรดิปฏิเสธ
“แค่บอกแนวคิดและกระบวนความก้าวหน้าของท่านมาก่อน” เย่ว์หยางยืนกรานที่จะฟังและไม่ยอมแพ้
“เมื่อแปดพันปีก่อนเราค่อยๆ เกิดแนวความคิดขึ้นมา เราหวังว่าจะสามารถเชื่อมวิญญาณผ่านของพิเศษอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันของพิเศษนี้ยังใช้เป็นสื่อทำสัญญากับอสูรได้ เจ้าเองก็รู้ว่าสมบัติที่ใช้เป็นสื่อทำสัญญากับอสูรเป็นสมบัติระดับธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติเหนือกว่าระดับทอง อย่างเช่นระดับศักดิ์สิทธิ์หรือระดับเทพซึ่งมีพลังวิญญาณในตัวโดยตรง เราคิดว่าจะมีทางลดทอนคุณสมบัติและคุณภาพของสื่อกลางชนิดนี้ได้หรือไม่, นักรบธรรมดาไม่มีทางใช้สมบัติเหนือกว่าระดับทองได้เลย เด็กบางคนไม่สามารถควบคุมพลังจิตได้พอ ดังนั้นถ้าเราค้นคว้าหาวัตถุระดับเงิน หรือระดับทองแดงที่สามารถทำสัญญากับอสูรที่มีระดับสูงกว่าอสูรทอง นั่น...” เมื่อจักรพรรดิพูดถึงงานค้นคว้าวิจัยแบบนี้ นั่นเป็นเรื่องที่เขาสนใจ เขาพูดกับเย่ว์หยางไม่หยุด
“วิธีนี้!” เย่ว์หยางรู้สึกว่าในความรู้ที่เขาได้รับตกทอด มีความรู้เกี่ยวกับผนึกเรื่องนี้อยู่ส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่สมบูรณ์ เขาคาดว่าพี่สาวแม่สี่ก็คงศึกษาเรื่องสิ่งที่ใช้ทดแทนคัมภีร์อัญเชิญได้ เพียงแต่มีขีดจำกัดเรื่องเวลา จึงทำให้ไม่สามารถค้นคว้าได้ลึกซึ้ง
“สื่อที่ใช้ทำสัญญากับอสูรคือปัญหาแรก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสื่อสารกับวิญญาณ” ฝ่าบาทถอนหายใจยาว “ตรงนี้ยากเกินไป การสื่อสารทางวิญญาณ..” เย่ว์หยางขมวดคิ้ว
สำหรับนักสู้ปราณก่อกำเนิดขึ้นไป
นี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นคนธรรมดาสามัญ การสื่อสารทางวิญญาณเป็นเรื่องที่คาดหวังได้
บางทีในช่วงเวลาฝันร้ายคนผู้หนึ่งที่มีความบริสุทธิ์ทางวิญญาณอยู่บ้างจะสามารถสัมผัสวิญญาณได้อย่างราบรื่นภายใต้อิทธิพลของพรสวรรค์หรือความสามารถที่แน่นอนอย่างหนึ่ง
แม้ว่าผู้คนโดยทั่วไปปล่อยให้คนอื่นนำและบังคับสื่อสารด้วยวิญญาณ นั่นอาจเป็นเหตุให้วิญญาณเสียหายได้ สำหรับสื่อกลางที่ใช้กับอสูรที่สูงกว่าระดับทอง ถ้าทำให้มันสื่อสารทางวิญญาณได้ คาดกันว่าเจตจำนงของอสูรจะทำลายวิญญาณที่เปราะบางของคนทั่วไปได้โดยตรง
ยกเว้นคัมภีร์อัญเชิญที่เป็นสมบัติล้ำค่า ที่รองรับพลังนี้ได้ ไม่มีวิธีอื่น
ถ้าทำสัญญาวิญญาณกับอสูร ผู้ที่ทำสัญญาจะต้องมีพลังกายกับใจรวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อให้เจ้านายกับอสูรหลอมรวมวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักสู้สามารถทำอย่างนี้ได้ อสูรก็จะกลายเป็นอสูรพิทักษ์ร่วมเป็นร่วมตายพร้อมกับเจ้านาย สัญญาธรรมดาจะเป็นสัญญาที่ทำกันทางกายภาพเท่านั้น ถ้าอสูรไม่พอใจเล็กน้อย มันจะทรยศ หรือถ้าไม่มีพลังปณิธาน อสูรจะไม่มีทางเรียนรู้ก้าวหน้าโดยไม่มีปัญญาไม่ได้
“เจ้าไปจัดการธุระของเจ้าดีกว่า บางทีวิธีนี้อาจจะผิดก็ได้” จักรพรรดิแนะนำเย่ว์หยางไม่ให้สนใจเรื่องนี้มาก
“ท่านต้องการคัมภีร์อัญเชิญอีกเล่มหรือเปล่า?” เย่ว์หยางตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สมองของเขาตอนนี้เหมือนกับทะเลและมีรัศมีสว่างวาบ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เขามีความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ถ้าเขาเข้าใจตรงนี้ได้ เขาก็คงเข้าใจการสื่อสารทางวิญญาณได้ดีขึ้นแน่
จักรพรรดิหัวซิ่วรี่ประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไรกันแน่?
เขาต้องการทำให้ตัวเองสร้างคัมภีร์อัญเชิญได้หรือ? เขาบ้าหรือเปล่า?
เย่ว์หยางนั่งลงบนบันไดโดยไม่คำนึงถึงมารยาทภาพพจน์ เขาคิดถึงแรงบันดาลใจที่เลื่อนลอยนั้นอย่างหนัก
ในที่สุดเขานอนพาดบันไดใช้แขนหนุนศีรษะชันเข่าขึ้นทอดสายตามองไปบนท้องฟ้า ใจของเขาวนเวียนกับความคิดที่ปั่นป่วนคล้ายกับคลื่นทะเล ความรู้ที่ได้รับตกทอดจากพี่สาวแม่สี่หรือขอบเขตความรู้ของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี หรือความรู้แจ้งที่โลกพฤกษา ความรู้ทั้งหมดผ่านไปก่อนที่จะทันได้ทำความรู้และเข้าใจ
มีสิ่งใดบ้างที่สามารถใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญได้บ้าง?
ในที่สุดแล้ว นั่นจะเป็นของแบบไหน?
จักรพรรดิเกรงว่าจะรบกวนความคิดของเขา พระองค์ไม่พูดแค่รออยู่เงียบๆ และอดมองดูเป็นระยะไม่ได้
หรือว่าเด็กคนนี้จะสามารถคลี่คลายปัญหาข้อสงสัยเมื่อแปดพันปีที่แล้ว? หรือว่าจะมีสิ่งใดที่ใช้แทนคัมภีร์อัญเชิญปรากฏขึ้นจริงๆ? ถ้าเขาคลี่คลายปัญหานี้ได้จริงๆ พระองค์จะยกย่องเขาอย่างไรดี? สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหากภาระนี้เขาทำได้สำเร็จ ตามที่บรรพบุรุษได้ฝึกฝนไว้จะพาเขาไปยังที่นั้นได้หรือไม่?
ช่างเถอะ, รีบให้เจ้าเด็กนี่กลับไปก่อน ในกรณีนี้คงเป็นเรื่องแย่จริงถ้าเจ้าเด็กนี่ค้นคว้าได้
จักรพรรดิกระแอมเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบก็ได้ เจ้ากลับไปก่อน เจ้ากำลังวุ่นอยู่กับการก่อตั้งกลุ่มอัศวินมังกร วางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อนก็ได้!”
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ เย่ว์หยางลุกพรวดพราดอย่างตื่นเต้น “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า?”
“ไม่มีทางเป็นไปได้..? ไวขนาดนั้นหรือ?” จักรพรรดิอุทานตกใจ แต่เขารีบข่มอารมณ์เป็นปกติทันที และถาม “เจ้าคิดว่ามีวิธีที่ทำได้เร็วอย่างนั้นหรือ? เจ้ามีแนวคิดใดอยู่บ้าง?”
“ข้ายังไม่บอกท่านก่อน รอให้ข้าทำของตัวอย่างง่ายๆ เสียก่อน หวังว่าข้าจะทำได้! พระเจ้า.. ถ้าใช้ได้จริงๆ....” เย่ว์หยางวิ่งออกไปเหมือนคนบ้า
“เจ้าเด็กนี่ ไม่น่าไว้วางใจเลย” แม้ว่าปากจะพูดอย่างนั้น แต่ลึกๆ แล้วจักรพรรดิมั่นใจกับเย่ว์หยาง