บทที่ 29: ราคาจิ๊บ ๆ เอง! จริง ๆ นะ!
“เอาปลาพวกนี้ไปเทลงบ่อปะ!” ฉินหลินสั่งเฉินต้าเป่ยที่เดินนำลูกทีมมา
เดิมทีบ้านไร่ก่อนหน้าเองก็มีโครงการตกปลาโดยให้นักท่องเที่ยวเช่าเบ็ดตกปลาได้ เมื่อตกได้แล้วหากอยากจะกินให้เอาปลามาชั่งกิโลก่อน แล้วนักท่องเที่ยวคนนั้นถึงจะสามารถทำปลากินเองได้ ซึ่งจะมีอุปกรณ์สำหรับนึ่งกับย่างให้
เป็นเรื่องบันเทิงสำหรับคนที่มาบ้านไร่เพื่อหาอะไรน่าตื่นเต้นทำ
ทว่าตอนที่ฉินหลินได้บ้านไร่นี้มาปลาในบ่อก็เป็นศูนย์ไปแล้ว เขาเลยต้องหาปลามาเติมเอง ซึ่งน่าจะต้องเอามาเติมอีกซักสองสามรอบ และเขาก็กะจะเอาปลาป่าเหล่านี้มาเป็นอีกหนึ่งจุดขายด้วยเหมือนกัน
นอกจากการตกปลาเอาเองแล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถไปหาซื้อปลาได้โดยตรงที่ห้องโถง จากนั้นถ้าจะทำเองก็จะมีโซนที่จัดแยกไว้ให้แล้ว
ที่มีการวางขายให้คนไปซื้อเอานั้นก็เพราะว่าเผื่อพวกที่มาเล่นแล้วเช่าเบ็ดเพราะอยากจะสัมผัสกับประสบการณ์เย่อปลา แต่ว่าตกไม่เป็น หรือตกเป็นแต่ดวงไม่ดีวันนี้ไม่ได้ซักตัวอย่างน้อย ๆ ก็สามารถซื้อกินเพื่อระบายอารมณ์ได้อยู่
เฉินต้าเป่ยขึ้นหลังกระบะทันทีโดยไม่ปริปากพูดแล้วสั่งให้ลูกทีมทั้งสองขึ้นมาช่วยยกด้วย
“โอ้โห~ ปลาไรเนี่ยตัวบักเอ้กเล้ย!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอุทานเพราะเห็นเจ้าตัวไซส์บิ๊กในระยะประชิด
“น่าจะสามสิบจินได้มั้งหนิ แถมไม่ใช่ตัวเดียวด้วย!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนก็ตาโตไปกับเขาด้วย
อาจารย์หลินในคอสตูมพ่อครัวได้ยินก็ถูกดึงความสนใจจนต้องเดินมาดูด้วย “โห นี่ปลาป่าเหรอครับเถ้าแก่!”
“ตาแหลมสมกับเป็นอาจารย์หลิน” ฉินหลินพูดด้วยรอยยิ้ม
“สุดยอด! สุดยอดเกินไปแล้ว!” อาจารย์หลินรู้จักเจ้าปลาพวกนี้ดีเลยอดอุทานออกมาไม่ไหว
“ปลาป่าเยอะขนาดนี้แถมแต่ละตัวยังไม่ใช่เล็ก ๆ โดยเฉพาะเจ้าพวกตัวใหญ่นี่ ผมว่าตัวนึงไม่ต่ำกว่าสองพันเลยมั้ง แถมเป็นพวกที่ต่อให้มีเงินพร้อมก็ยังหาซื้อไม่ได้ด้วย! เถ้าแก่หมดเงินกับพวกมันไปเท่าไหร่เนี่ย!”
“ราคาจิ๊บ ๆ เองหน่า!” ฉินหลินพูดด้วยรอยยิ้ม
‘ก็ราคาจิ๊บ ๆ ไง ใช่มะ? ตกปลาในเกมเสียเวลา ขนออกมาก็เสียเวลา เหนมะ? ราคาจิ๊บ ๆ จริง ๆ’
“ก็ว่าอยู่ ไม่มีใครได้ปลาป่าพวกนี้มาโดยไม่ต้องจ่ายอยู่แล้ว!” อาจารย์หลินเข้าใจไปนู่นเลยคนละเรื่อง
“เถ้าแก่ครับ แบ่งปลาพวกนี้เป็นสองส่วน หนึ่งเอาลงบ่อ สองเอาไว้ที่โถง ปลาป่าพวกนี้แค่คนเห็นก็ถูกดึงให้เข้ามามุงกันเพียบแล้วล่ะครับ” อาจารย์หลินแนะนำ
“โอเค!” ฉินหลินพยักหน้า พวกตัวใหญ่ทั้งหมดเขาเอาลงบ่อไม่ไว้ในโถง ส่วนพวกตัวเล็กก็แบ่ง ๆ ไปตามที่อาจารย์หลินแนะนำ
เขามีแผนว่าจะควบคุมจำนวนของพวกตัวใหญ่อย่างเข้มงวด
เพราะในตลาดแต่ละปีการที่จะมีพวกแบบเจ้าพวกนี้ไปวางขายได้นี่ช่างน้อยแสนน้อย เพราะงั้นหากว่ามีแต่บ้านไร่ของเขาที่สามารถหามาได้อย่างมากมายนั่นจะเป็นพิรุธให้คนสงสัยเอาได้ นอกจากนี้ราคาของพวกมันก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะแตะต้องได้
ดังนั้นปลาพวกนี้ถ้าไม่เอาไว้กินเองก็เอาไว้เลี้ยงต้อนรับในโอกาสพิเศษเพื่อเป็นการถนอมน้ำใจจะดีกว่า
หลังจากมอบภาระปลาป่าสองกะละมังใหญ่พวกให้เฉินต้าเป่ยและอาจารย์หลินแล้วเขาก็เรียกเกาเหยาเหยาะมาพบ
“มาแล้วค่าเถ้าแก่ มีอะไรให้รับใช้” เกาเหยาเหยาวิ่งเหยาะ ๆ ตะโกนมาแต่ไกล
“เด๋วพรุ่งนี้ฉันจะหาคนมาถ่ายวิดีโอโปรโมตทะเลเฟื่องฟ้า เพราะงั้นแต่งตัวสวย ๆ ให้ความร่วมมือในการถ่ายทำ แล้วเด๋วให้ค่าจ้างสองพัน” ฉินหลินสั่ง
หลังจากสร้างทะเลเฟื่องฟ้าแล้วงานต่อไปคือเผยแพร่ให้เป็นที่รู้กันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้จะต้องมีการถ่ายวิดีโอ ถ่ายภาพ ติดป้ายโฆษณา แผ่นพับ ใบปลิวโปรโมตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และแน่นอนว่าจะขาดนางแบบไม่ได้ด้วย
เกาเหยาเหยาเป็นเด็กสาวใส ๆ หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ มีเธออยู่ย่อมไม่ต้องเสียเวลาไปหาคนอื่น
“ขอบคุณค่ะเถ้าแก่!” เกาเหยาเหยาตอบตกลงทันทีที่ได้ยินข่าวดีนี้
จากนั้นฉินหลินก็เดินไปที่ทะเลเฟื่องฟ้า
มีทางเดินหินที่ทำขึ้นเป็นพิเศษจากห้องโถงทอดต่อไปยังทะเลเฟื่องฟ้า
ทางเข้าทะเลเฟื่องฟ้าเป็นตู้ขายตั๋ว ตั๋วทะเลเฟื่องฟ้าที่อื่น ๆ นั้นจะอยู่ที่ใบละประมาณ 30 ถึง 70 หยวน แต่ของฉินหลินเขาคิดที่ 100 หยวนไปเลย
สำหรับทะเลเฟื่องฟ้าของเขาแล้วราคานี้คือถูก แต่เพราะอยากดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากันเยอะ ๆ เลยจะให้แพงกว่านี้ก็ไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีคนมาเขาสามารถหาแผนอื่น ๆ มารองรับเพื่อทำกำไรในส่วนนั้นได้ เช่นพืชผลจากเกมที่มีคุณสมบัติ +2 อะไรงี้
ขอบรอบนอกของทะเลเฟื่องฟ้านั้นถูกจัดอย่างเรียบร้อย โดยทำเป็นกำแพงดอกไม้ที่จากต้นเฟื่องฟ้าอัดกันหนาแน่นป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาได้ (เพราะต้นเฟื่องฟ้านี่หนามยาวเฟื้อยเลยเน่อ) ดังนั้นการจะเข้าไปข้างในได้จึงจำเป็นต้องผ่านตู้ขายตั๋วเท่านั้น
จริง ๆ ทะเลเฟื่องฟ้า 30 หมู่ข้างในยิ่งงดงาม อันที่จริงแค่รั้วดอกไม้จากต้นเฟื่องฟ้านั่นก็ทำให้การเดินทางมาเที่ยวในครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว และยิ่งใด้เข้าไปข้างในลึกขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งตื่นตาตื่นใจกับเฟื่องฟ้าจากเกมมากขึ้นเท่านั้น
ต้นเฟื่องฟ้าเจ็ดสีที่ปลูกจากแปลงปลูกเลเวล 3 นั้นมีโบนาคุณสมบัติ ในทางกลับกัน ต้นเฟื่องฟ้าประดับเจ็ดสีคุณภาพ 3 ชนิดที่ปลูกมีลักษณะพิเศษคือสวยงาม +2, เตะตา +2, ต้องใจ +2
และที่เด่นที่สุดคือเฟื่องฟ้าขั้นสุดเลเวล 3 ที่สูงกว่า 4 เมตร สวยงาม +3, เตะตา +3, ต้องใจ +3, สบายตา +3, ขึ้นกล้อง +3, กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม +3
คนที่มาเห็นจะต้องตกตะลึงจนไม่มีผู้ใดสามารถละสายตาไปจากมันได้
ขนาดตัวฉินหลินเองที่เป็นคนสร้างทะเลเฟื่องฟ้านี่ขึ้นมาเองยังต้องมึนเมาเมื่อได้เห็นอยู่ทุก ๆ ครั้งไป นับประสาอะไรกับนักท่องเที่ยวที่แต่ละคนนาน ๆ มาที
เมื่อเขาเดินลึกเข้ามาถึงโซนกลางฉินหลินก็หยุดเดินและดูผีเสื้อเต้นระบำรอบ ๆ ต้านเฟื่องฟ้าเลเวล 3 ที่บนคาคบไม้มีกระรอกวิ่งไล่จับกันอยู่
และกระรอกเหล่านี้ไม่กลัวคน สาเหตุเพราะคุณสมบัติกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม +3
ฉินหลินเอื้อมมือไปหากระรอกที่เกาะอยู่บนคาคบไม้ซึ่งมันก็ไม่ได้วิ่งหนีไปไหน
จากนั้นเขาก็เอาลูกสนวางลงบนพื้น แล้วเจ้ากระรอกพวกนั้นมันกระโดดลงพื้นมากอดลูกสนนั้นทันที
จากนั้นก็เอาลูกสนอีกลูกมาวางบนมือ แต่กระรอกกลับมองที่มือเขานิ่ง ๆ อย่างกับมันรู้
ฉินหลินยิ้มและวางลูกสนอันสุกท้ายลงพื้น จากนั้นเจ้ากระรอกตัวหนึ่งมันก็กระโดดกอดลูกสนแล้วเอากลับขึ้นไปซ่อนบนคาคมไม้ในทันที
ช่วงนี้เขาได้สั่งให้เกาเหยาเหยาไปหาลูกสนมาให้เจ้ากระรอกพวกนี้ทุกวัน ดังนั้นมันจึงได้คุ้นชินกับการให้ลูกสน ในตอนกลางคืนเจ้ากระรอกพวกนี้มันจะเอาลูกสนที่ได้มาในตอนกลางวันเข้าไปไว้ในป่าแล้วก็กลับมาแสดงตัวน่ารักเหมือนเดิมในตอนเช้า
พวกผีเสื้อ กระรอก รวมถึงเสียงนกที่ส่งเสียงร้องอันไพเราะจะกลายเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของทะเลเฟื่องฟ้าแห่งนี้
...................................
วันถัดไป
หลังฉินหลินส่งกระเจี๊ยบเขียวให้ RT-Mart แล้วเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังสตูดิโอวางแผนโฆษณาฉินเหริน
ฉินเหรินเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของสตูดิโอนี้ และไม่ใช่แค่หุ้นส่วนที่เอาแต่ออกเงินเฉย ๆ แต่ยังเป็นช่างภาพด้วย ซึ่งฝีมือการถ่ายภาพของเขาก็ไม่เลวเลยที่เดียว
ฉินหลินย่อมต้องการให้ฉินเหรินมาถายโฆษณาโปรโตบ้านไร้ให้ตัวเองแน่นอนอยู่แล้ว
หากจะจ้างใครซักคนล่ะก็มันก็ต้องเป็นคนกันเองนี่แหล่ะถึงจะดี
เมื่อฉินหลินเปิดเข้าไปในสตูดิโอเขาก็เห็นว่านอกจากฉินเหรินแล้วยังมีคนอื่น ๆ อีกหลายคนอยู่ด้วยโดยมีสองคนที่ฉินหลินเคยเจอ คนหนึ่งคือเลี่ยวลี่คู่หมั้นของฉินเหรินนั่นเอง อีกคนเป็นอีกหนึ่งสาวที่อยู่ด้วยกันกับเลี่ยวลี่ที่บ้านของฉินเหรินในวันนั้น
“อ้าวหลินจือ! มาทำอะไรเหรอ?” เมื่อฉินเหรินเห็นฉินหลินเขาก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น
“หวัดดีต้าเหริน ฉันอยากให้นายมาช่วยถ่ายวิดีโอโฆษณาโปรโมตให้ซักชุดนึงน่ะ” ฉินหลินยิ้มพลางบอกความตั้งใจที่มา
“ไปดูสถานที่กันก่อนแล้วเด๋วเรื่องค่าจ้างค่อยว่ากันอีกทีได้ปะ?” ฉินหลินชวน
ทะเลเฟื่องฟ้าขนาด 30 หมู่ต้องถ่ายทั้งคลิปวิดีโอทั้งภาพนิ่งมากมายก่ายกองอย่างแน่นอน ต้องมีทั้งถ่ายแบบภาคพื้นดิน ถ่ายแบบเอาโดรนบิน และยังต้องเอามาตัดต่ออีก เพราะงั้นต้องไปกันทั้งทีมถึงจะทำได้
เขาเคยเสิร์จดูในเน็ตและเห็นว่างานถ่ายโฆษณาโปรโมตงานหนึ่งนี่มีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นอยู่เหมือนกัน
“ค่าจ้งค่าจ้างไรก๊าน~” ฉินเหรินเอามือแตะไหล่ฉินหลินอย่างไม่มีความสุข
“แค่ถ่ายคลิปโฆษณาร้านขายผักเองหนิ ทำอย่างกะเราไม่ใช้พี่น้องกันไปได้”
ด้วยเหตุนี้ฉินเหรินจึงหันไปบอกพวกที่เหลือว่า “เฮ่ยเพื่อน ๆ นี่ฉินหลินพี่น้องฉันเอง เด๋ววันนี้ของไปเที่ยวกะพี่น้องเน่อ!”
ถือเป็นการชี้แจงให้หุ้นส่วนในทีมได้รู้ว่านี่ไม่ใช่การจ้างงาน แต่ช่วยเหลือพี่น้องเป็นการส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของแต่ละคน
“ไปกันเถอะหลินจือ!” ฉินเหรินเรียก
ฉินหลินยิ้ม ๆ เขารู้ว่าฉินเหรินคิดไปเองและทำแบบนี้คือจะไม่คิดเงินกับเขาเพราะความปรารถนาดีเป็นนิสัย ซึ่งเขาเคยช่วยฉินหลินถ่ายโฆษณาร้านขายผักให้ฟรี ๆ มาแล้วรอบหนึ่งด้วย ทว่าคราวนี้มันไม่ใช่แบบนั้น มันไม่ใช่อะไรที่ฉินเหรินคนเดียวจะรับมือไหว
เลี่ยวลี่กับลูกพี่ลูกน้องต่างก็เห็นฉากนี้ ทางด้านเลี่ยวลี่ไม่ได้คัดค้านเลย เพราะนิสัยแบบนี้ของฉินเหรินนี่แหล่ะที่เธอหลงรัก
ส่วนฉู่น่าที่ไม่ใช่คู่หมั้นกลับมีข้อโต้แย้งมากมายซะอย่างนั้น “นี่เสี่ยวลี่ ฉินเหรินใจดีเกินไปแบบนั้นเธอจะไม่ว่าอะไรซักหน่อยเหรอ เดี๋ยวคนอื่น ๆ ถูกช่วยบ่อย ๆ เข้าก็เคยตัวเอาหรอก แล้วเจ้าหมอนั่นมันคนที่ชื่อฉินหลินที่ไปบ้านฉินเหรินเมื่อครั้งก่อนใช่มะ? ตอนแรกก็คิดว่าเป็นคนดีซะอีก ที่ไหนได้พอฉินเหรินบอกว่าจะไม่เอาเงินก็เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเลย คนอะไรแบบนี้?”
“ไปช้อปปิ้งกันเถอะ!” เห็นได้ชัดว่าเลี่ยวลี่ไม่ได้เห็นด้วยกับลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่ก็ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเลยเอาเรื่องช้อปปิ้งมาล่อให้อีกฝ่ายหุบปาก
ฉินหลินกับฉินเหรินเดินออกจากสตูดิโอและขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าโดยฉินเหรินไปนั่งซ้อนท้าย และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าก็สตาร์ทก่อนจะขับออกไป
และในไม่ช้าฉินเหรินก็รู้สึกตัวว่ามีอะไรแหม่ง ๆ “เอ่อ... หลินจื่อ นี่เราไม่ได้ไปร้านขายผักกันเหรอ? ออกนอกเมืองไมอะ? แล้วตกลงเราจะไปไหนนิ?”
“ถึงแล้วเด๋วก็รู้เองแหล่ะหน่า” ฉินหลินตอบยิ้ม ๆ