ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 182 เปิดกระเป๋าร้อยสมบัติ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 182 เปิดกระเป๋าร้อยสมบัติ
แปลโดย iPAT
เหล่าซีซานคว้าแขนของเขาและล่าถอยอย่างเร่งรีบพร้อมกับกรีดร้อง “เจ้าเป็นใคร?” เขามองไปที่เสี่ยวอันและพยายามตรวจสอบนางแต่กลับไม่พบสิ่งใดเลย
เสี่ยวอันยืนอยู่ท่ามกลางกอหญ้าที่กลืนกินนางเข้าไปและซ่อนดาบของนางเอาไว้ นางมองเขาอย่างเงียบๆ ลูกประคำหัวกะโหลกทั้งสองไม่ได้ไล่ล่าเขาเช่นกัน พวกมันบินกลับมาหานาง
การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว
ไม่มีเลือดสักหยดจากบาดแผล หลังจากไม่นานเหล่าซีซานก็สูญเสียความรู้สึกไปจากแขน ทั้งหมดที่เขารู้สึกคือความแสบร้อนเล็กน้อยขณะที่อาการชาแผ่ซ่านไปทั้งร่าง
เปลวเพลิงสีแดงลุกไหม้จากแขนและกระจายไปทั่วร่างของเขา
เหล่าซีซานต้องการหลบหนีแต่เขากลับล้มลงบนพื้น ความหวาดกลัวกลืนกินหัวใจทั้งหมดของเขา “เจ้าทำสิ่งใด...”
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค ดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้น จากนั้นเปลวเพลิงก็พุ่งออกมาจากดวงตา จมูก และปากของเขาอย่างแรง เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้อยู่ในร่างกายของเขา
สุดท้ายเพลิงสีแดงก็บินกลับมาอยู่ในฝ่ามือของเสี่ยวอันและหายไปอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นนางก็มองไปที่หลี่ฉิงซานอย่างกระตือรือร้นและรอให้เขาชมเชย
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ทำได้ดีมาก แต่เจ้าคือเสี่ยวอันของข้าจริงๆงั้นหรือ?”
เสี่ยวอันก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงขณะที่ริมฝีปากของนางโค้งงอขึ้นเล็กน้อย
หลี่ฉิงซานยกมือขึ้นท้าวเอว “ข้าต้องทำงานหนักแล้วจริงๆ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะถูกเจ้าทิ้งไว้ข้างหลังอย่างสมบูรณ์!”
เขาโบกมือ พลังปราณของเขากวาดเอากระเป๋าร้อยสมบัติและดาบบินของเหล่าซีซานเข้ามา เดิมทีเขาต้องการกลับเมืองเจียเผิงพร้อมกับผู้บัญชาการเหล่า ด้วยวิธีนี้ เขาจะมีพยานช่วยพิสูจน์ว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของจ้าวจื่อป๋อ
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เหล่าซีซานวางอำนาจในทางที่ผิด เขาจึงต้องปรับเปลี่ยนแผนการ ผู้บัญชาการเหล่าเป็นห่วงผู้บัญชาการจ้าว ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในถ้ำผีดิบเพื่อตามหาอีกฝ่าย ในที่สุดทั้งคู่ก็หลงทางอยู่ในเขาวงกต
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้เขาจึงครอบครองกระเป๋าร้อยสมบัติของจอมยุทธ์ขั้นหกสามคนพร้อมกับกระเป๋าร้อยสมบัติของจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าอีกเจ็ดคน กระเป๋าร้อยสมบัติสิบใบ แน่นอนว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า
เขาไม่สามารถอดทนรอจนกว่าเขาจะกลับไปถึงเมืองเจียเผิง เขาเริ่มตรวจสอบสมบัติที่เขาได้รับมาโดยการวางกระเป๋าร้อยสมบัติเรียงกันเป็นแถว
เขาเปิดกระเป๋าร้อยสมบัติของเก้อเจี้ยนและผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อีกหกคนก่อน คนเหล่านี้ทำหน้าที่ในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มานานหลายปี พวกเขาล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของจ้าวจื่อป๋อ พวกเขาจะต้องได้รับการดูแลอย่างดี แต่ละคนต้องร่ำรวยมาก
เขาพบเม็ดยารวบรวมพลังปราณมากกว่าสี่พันเม็ด กระเป๋าร้อยสมบัติของเซี่ยหนานเต๋อเพียงคนเดียวก็มีเม็ดยารวบรวมพลังปราณมากกว่าหนึ่งพันเม็ดพร้อมเม็ดยาคุณภาพสูงอื่นๆอีกหลายสิบเม็ด นอกจากนี้มันยังมีหินวิญญาณมากกว่าร้อยก้อน ยันต์มากกว่าสองร้อยแผ่น และตั๋วแลกเงินอีกหลายสิบล้านตำลึง
การเปิดกระเป๋าร้อยสมบัติไม่ได้เป็นเพียงการค้นหาสมบัติแต่มันเป็นกระบวนการที่น่าสนใจและพิเศษมาก เนื่องจากผู้ฝึกตนจะเก็บสิ่งของที่สำคัญที่สุดหรือใช้งานบ่อยที่สุดของตนไว้ในกระเป๋าร้อยสมบัติ ดังนั้นนอกจากสมบัติที่หลี่ฉิงซานมองหา มันยังมีสิ่งอื่นที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย เขาสามารถบอกได้ว่าเจ้าของพวกมันเป็นคนเช่นไร
กระเป๋าร้อยสมบัติเจ็ดใบเป็นตัวแทนของตัวละครเจ็ดตัวที่แตกต่างกัน
กระเป๋าร้อยสมบัติของเซี่ยหนานเต๋อมีพิณและบทเพลงมากมาย งานอดิเรกของตาแก่ผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ หากเขาไม่ได้ติดตามจ้าวจื่อป๋อและกลายเป็นศัตรูของหลี่ฉิงซาน คนผู้นี้คงมองหาสถานที่ห่างไปที่อยู่ใกล้ธรรมชาติเพื่อดีดพิณและร้องเพลง มันคงเป็นเรื่องที่น่ายินดีหากมีโอกาสได้ทำเช่นนั้น
เก้อเจี้ยนมียันต์ เสื้อผ้าขาดๆและผ้าเช็ดหน้าของสตรีมากมายในกระเป๋าร้อยสมบัติของเขา ใครจะรู้ว่าเขาได้รับพวกมันมาจากที่ใด นี่ทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกค่อนข้างขยะแขยงคนผู้นี้
เขาพบจดหมายจำนวนมากอยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่เขาไม่รู้จัก นี่ทำให้หลี่ฉิงซานเงียบลง แต่มันไม่สำคัญว่าเขาเป็นบุตรหรือบิดาของผู้ใดเพราะตอนนี้เขาไม่สามารถกลับบ้านได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานไม่เสียใจที่ฆ่าเขา ตั้งแต่เขาตัดสินใจที่จะก้าวข้ามสวรรค์ทั้งเก้า เส้นทางที่รอเขาอยู่ก็เป็นเส้นทางที่ไม่สามารถแสดงความเมตตา หากเขาไม่ฆ่า เขาก็จะถูกฆ่า
ยิ่งเขาต่อสู้มากเท่าใด ศัตรูของเขาก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นมนุษย์มากเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องทำคือทำลายและบดขยี้ จากนั้นเนื้อและเลือดของพวกมันก็จะถูกเปลวเพลิงของเสี่ยวอันกลืนกินราวกับพวกมันไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้มาตั้งแต่แรก
ตอนนี้ร่างมนุษย์ที่ดูพร่ามัวของคนเหล่านั้นเริ่มกลับมามีความหมายในฐานะมนุษย์ทีละคนซึ่งทำให้หลี่ฉิงซานต้องถอนหายใจ สิ่งนี้ทำให้เขายังสามารถรักษาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในฐานมนุษย์ของเขาเอาไว้
กระเป๋าร้อยสมบัติอีกสามใบเป็นของผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬสองคนกับนักพรตผีดิบ หลี่ฉิงซานให้ความสำคัญกับพวกมันมากที่สุด
กระเป๋าร้อยสมบัติใบแรกที่เขาเปิดเป็นของเหล่าซีซาน แม้เขาจะพึ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นหก แต่กระเป๋าร้อยสมบัติของเขาก็ยังใหญ่กว่ามากเมื่อเทียบกับของเซี่ยหนานเต๋อ
อย่างไรก็ตามสิ่งของที่อยู่ในนั้นกลับไม่คุ้มค่ากับความสนใจของเขาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเซี่ยหนานเต๋อก็มีสมบัติมากกว่าเขา นี่ทำให้หลี่ฉิงซานค่อนข้างผิดหวัง
เนื่องจากการกดขี่อย่างต่อเนื่องของจ้าวจื่อป๋อและความจริงที่ว่าเขาพึ่งทะลวงขอบเขตทำให้เขาต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เขาจึงมีสมบัติในการครอบครองเพียงเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้นนักพรตผีดิบก็ไม่ทำให้หลี่ฉิงซานผิดหวัง มีเม็ดยารวบรวมพลังปราณเกือบสองพันเม็ดและหินวิญญาณห้าสิบหรือหกสิบก้อน มันเทียบเท่ากับความมั่งคั่งของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์สามหรือสี่คนรวมกัน อย่างไรก็ตามไม่มียันต์แม้แต่แผ่นเดียว ท้ายที่สุดเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในความมืดและปรับแต่งซากศพ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการพวกมัน
หลี่ฉิงซานพบสิ่งที่น่าสนใจบางอย่าง มันเป็นแผนที่แปลกๆเหมือนแผนที่จิต อย่างไรก็ตามเมื่อหลี่ฉิงซานส่งพลังปราณเข้าไป มันกลับกลายเป็นชุดของเส้นแสงสามมิติจำนวนมาก
หลี่ฉิงซานสามารถบอกได้ทันทีว่ามันคือแผนที่ถ้ำใต้พิภพ มันขยายตัวออกไปไกลกว่าแผนที่แมลงของห่าวปิงหยางนับร้อยเท่า หากเขาไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตนเอง เขาคงไม่เชื่อว่าจะมีโลกใต้ดินที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้
ในความเป็นจริงถ้ำใต้พิภพยังเชื่อมต่อไปถึงเมืองเจียเผิง มีถ้ำใต้ดินอยู่ใต้เท้าของเขา ถ้ำผีดิบไม่ใช่ทางเข้าเพียงทางเดียวของมัน และกระทั่งแผนที่สามมิติชุดนี้ก็ยังไม่ครอบคลุมถ้ำใต้พิภพทั้งหมด นั่นทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกชะงักงันไปเล็กน้อย
หลี่ฉิงซานเก็บแผ่นที่ของถ้ำใต้พิภพอย่างระมัดระวัง บางทีมันอาจมีค่ามากกว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับสูงบางชิ้น หลังจากทั้งหมดแผนที่ฉบับนี้ทำให้นักพรตผีดิบเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและสามารถหลบหนีจากผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มาเป็นเวลานาน เขายังสามารถปรากฏตัวในสถานที่ต่างๆได้ตลอดเวลาเพื่อเก็บรวบรวมซากศพ
สุดท้ายเขาเปิดกระเป๋าร้อยสมบัติของจ้าวจื่อป๋อ มันใหญ่กว่ากระเป๋าร้อยสมบัติของนักพรตผีดิบมาก มันเหมือนคลังเก็บของขนาดใหญ่ที่มีสินค้าหลากหลายประเภท
แม้หลี่ฉิงซานจะมองผ่านอย่างคร่าวๆตอนที่เขาอยู่ใต้ดิน แต่เขาก็ยังรู้สึกตกใจกับภาพที่เห็นในเวลานี้ นี่คือกระเป๋าร้อยสมบัติที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น เพียงตัวกระเป๋าก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าแล้ว ดังนั้นสิ่งที่อยู่ภายในต้องมีค่าเท่ากับกระเป๋าร้อยสมบัติหลายร้อยใบรวมกันอย่างแน่นอน
เพียงเม็ดยารวบรวมพลังปราณก็มีมากกว่าสามพันเม็ด นี่ไม่ใช่ตัวเลขที่พิเศษเมื่อพิจารณาจากสถานะของจ้าวจื่อป๋อ อย่างไรก็ตามเขายังพบเม็ดยาร้อยไพรอีกมากกว่าเจ็ดร้อยเม็ด พวกมันเป็นเม็ดยาที่ใช้สำหรับการบ่มเพาะของจ้าวจื่อป๋อซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาไม่เก็บเม็ดยารวบรวมพลังปราณเอาไว้มากนัก
นอกจากนี้ยังมีเม็ดยาอื่นๆอีกหลายสิบขวด พวกมันไม่มีฉลากและด้วยการขาดความรู้เรื่องยา หลี่ฉิงซานจึงไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันคือสิ่งใด แต่กลิ่นหอมที่พวกมันปลดปล่อยออกมาก็บอกได้คร่าวๆว่าพวกมันไม่เลวร้ายไปกว่าไข่มุกน้ำค้าง
นอกจากนี้ยังมีสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลาง ดาบบิน ยันต์ระดับกลางสามสิบสามแผ่น ยันต์ระดับต่ำหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่น และหินวิญญาณสองร้อยสิบเอ็ดก้อน
สรุปแล้วเขาได้รับเม็ดยารวบรวมพลังปราณเกือบหนึ่งหมื่นเม็ด เม็ดยาร้อยไพรมากกว่าหนึ่งพันเม็ด เม็ดยาคุณภาพสูงประมาณหนึ่งร้อยเม็ด หินวิญญาณหลายร้อยก้อน สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับต่ำเจ็ดชิ้น สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลางสามชิ้น และยัตน์อีกมากมาย
เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนทรัพยากรอีกต่อไป หากเขากินยาทั้งหมดนี้ การบ่มเพาะของเขาจะก้าวหน้าไปถึงระดับใด เพียงคิดก็ทำให้เขาตื่นเต้นแล้ว
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถใช้แต้มผลงานแลกเม็ดยา อย่างไรก็ตามมันคงอีกนานก่อนที่เขาจะขาดแคลนยาอีกครั้ง เขาไม่ต้องกังวลสิ่งใด เขาเชื่อว่าอีกไม่นานผู้บัญชาการคนใหม่จะถูกส่งมา อย่างไรก็ตามคนระดับสูงจะส่งคนออกมาตรวจสอบเรื่องนี้และดูว่าพวกเขาสูญเสียผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬสองคนและผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เจ็ดคนพร้อมกันได้อย่างไร ชัดเจนว่าหลี่ฉิงซานต้องคิดเรื่องโกหกที่ดี
หลี่ฉิงซานกลับถึงเมืองเจียเผิงในตอนเย็น เขากลับบ้านพักของตนโดยไม่แจ้งผู้ใด อย่างไรก็ตามเขาเห็นบ้านพักของเขามีแสงสว่าง เขามองเสี่ยวอันและเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
ในบ้านมีกลิ่นอายของจอมยุทธ์แต่ไม่ทรงพลังนัก มันเป็นกลิ่นอายของจอมยุทธ์ขั้นสามเท่านั้น นอกจากนี้มันยังเป็นกลิ่นอายที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย เขาใช้สมองครุ่นคิดและพยายามนึกว่ากลิ่นอายนี้เป็นของผู้ใด
ทันใดนั้นหน้าต่างห้องชั้นสองก็ถูกเปิดออก หลี่ฉิงซานตะโกนถามเสียงดัง “เฉียนหรงจื่อ เจ้ามาทำสิ่งใดในห้องของข้า?”
ปรากฏว่าคนที่อยู่ในบ้านพักของเขาคือเฉียนหรงจื่อ นางนั่งลงบนเตียงด้วยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย นางทำตัวราวกับที่นี่คือห้องของนาง
เฉียนหรงจื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะฟื้นคืนสู่ความสงบ นางยิ้ม “แน่นอนว่ารอเจ้าอยู่!” เสน่ห์ของนางเพียงพอที่จะเขย่าจิตใจของผู้คน
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว “เจ้าฝึกวิชาของนิกายเมฆาพิรุณงั้นหรือ?” นอกจากนั้นนางยังบรรลุเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามแล้ว
เฉียนหรงจื่อกล่าว “น่าเสียดายที่ข้ายังไม่สามารถทำให้เจ้าหลงเสน่ห์ของข้า! และบ้านหลังนี้ก็กลายเป็นของข้าแล้ว มันไม่ใช่บ้านของเจ้าอีกต่อไป”
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉียนหรงจื่อกล่าว “ไม่จำเป็นต้องแปลกใจ ทุกคนบนภูเขาลูกนี้เชื่อว่าเจ้าตายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะไม่ทิ้งบ้านไว้ให้คนตาย”
หลี่ฉิงซานกล่าว “ดังนั้นเจ้าจึงย้ายเข้ามางั้นหรือ?”
ความมั่นใจอันไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นในดวงตาของเฉียนหรงจื่อ “นั่นเป็นเพราะข้ารู้ว่าเจ้าจะกลับมา จ้าวจื่อป๋อตายแล้วใช่หรือไม่? เขาตายเพราะเจ้า!”
โจวเหวินปิงคาดเดาว่าหลี่ฉิงซานมีบางอย่างที่เขาสามารถพึ่งพา มีเพียงเฉียนหรงจื่อเท่านั้นที่มั่นใจว่าหลี่ฉิงซานไม่เพียงจะกลับมาอย่างมีชีวิตแต่เขายังจะฆ่าจ้าวจื่อป๋ออีกด้วย