บทที่ 26: โล่งใจ! อิจฉาลูกของคนอื่น!
“เฮ่อ~”
หลินเฟินถอนหายใจและไม่ลืมที่จะเตือนฉินหลินว่า “เปิดแล้วอย่าลืมให้แม่ไปช่วยด้วยล่ะ อย่างน้อย ๆ แม่ก็ช่วยลูกต้อนรับแขกได้นะ”
“โธ่แม่ก็ ผมจะให้แม่ไปรับแขกได้ไงกันเล่า!” ฉินหลินพูดทันที
“ถึงแม่จะสุขภาพไม่ดี แต่มีลูกชายเป็นนักธุกิจแม่ก็กลับมาแข็งแรงได้ย่ะ!” หลินเฟินขึ้นเสียงอย่างมีน้ำโห
“เด๋วผมล้างจานให้นะ!” เมื่อฉินหลินได้ยินคำพูดของหลินเฟินเขาก็ยิ้มออกมา
การมีแม่นี่มันดีจริง ๆ ด้วย
กินข้าวเย็นเสร็จฉินหลินก็เก็บจานไปล้าง
“เฮ่อ~”
หลินเฟินมองลูกชายของตนที่วิ่งวุ่นทั้งวันแล้วกลับมายังต้องล้างจานอีกก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ ลูกชายของเธอฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันแล้วเขาถือว่าลำบากลำบนเกินไป ในฐานะผู้ปกครองแล้วเธอก็ได้แต่โทษตัวเองอยู่ทุกวี่ทุกวัน
หลังจากล้างจานแล้วฉินหลินก็นึกถึงเจ้าหนี้และไม่ลืมที่จะบอกแม่ “แม่ครับ ผมเชิญอาเอ้อเกินกับพวกอา ๆ เจ้าหนี้คนอื่น ๆ มาบ้านนะ อีกไม่นานก็คงมาถึงแล้วล่ะครับ…”
หลินเฟินเบิกตากว่างด้วยความตกใจ อยากจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาแต่
“ตืดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงออดประตูดังขึ้นมาซะก่อน เธอรีบรุดไปเปิดประตูให้และมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าขม ๆ “มาแล้วเหรอเอ้อเกิน”
อีกฝ่ายเป็นเจ้าหนี้ของครอบครัว ครอบครัวเป็นหนี้เขา 30,000 หยวน
สิ่งที่เธอกลัวที่สุดในตอนนี้คือการเจอเจ้าหนี้เหล่านี้นี่แหล่ะ ไม่ได้กลัวเพราะพวกเขาน่ากลัว แต่กลัวเพราะละอายใจที่ไม่มีเงินคืนให้คนใจดีเหล่านี้จริง ๆ
“หวัดดีเน้อหลินเฟิน”
ฉินเอ้อเกินทักทายหลินเฟินและถามว่า “หลินจื่อล่ะกลับมายัง?”
“เสี่ยวหลิน อาเอ้อเกินของลูกมาแล้วน้า~” ไม่ว่าหลินเฟินจะรู้สึกขมขื่นเพียงใดเธอก็ทำได้เพียงเชิญเขาเข้ามาอย่างร่าเริง
เมื่อก่อนเธอเคยยืมเงินเขามารักษาสามี แม้ว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ก็ตาม แต่หนี้ที่ยืมมาก็ไม่อาจที่จะไม่คืน คนเราต้องมีมโนธรรมสำนึก
ทันทีที่เธอให้การต้อนรับฉินเอ้อเกินอยู่นั้นจู่ ๆ ก็มีเสียงที่ฟังดูประหลาดใจดังขึ้น “อ่าวเอ้อเกินเองก็มาด้วยเรอะ?”
ฉินเอ้อเกินหันไปยิ้มทักทายคนคนนั้น “ไงต้าหลิน นายก็มาด้วยเหรอเนี่ย? สแน็คบาร์เป็นไงมั่งอะ?”
“ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงอะ” ฉินต้าหลินตอบด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันก็มีอีกคนตามหลังเข้ามา
“อ่าว เอ้อเกิน ต้าหลิน พวกนายมาด้วยเรอะ?”
“นายนั่นแหล่ะมากะเขาด้วยเรอะ!?”
หลินเฟินถอนหายใจเงียบ ๆ คนเหล่านี้คือคนที่ให้ครอบครัวเธอยืมเงินในตอนนั้น ลูกชายของเธอเชิญคนเหล่านี้มาจริง ๆ ด้วย
ลูกหนี้มักจะกลัวเจ้าหนี้มาที่บ้าน และเมื่อเจ้าหนี้มาบ้านก็ต้องต้อนรับกันอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง
เธอฝืนยิ้มและเชิญคนทั้งหมดเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นก็หยิบแก้วเปล่ามารินน้ำให้กับทุก ๆ คน
พวกฉินเอ้อเกินเข้ามานั่งปุ๊บก็เต็มห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ แล้ว เจ้าหมาวั่งไฉเห็นว่ามีคนมากันเยอะมันก็สะดุ้งตกใจรีบไปตามฉินหลินในครัวทันที
เมื่อฉินหลินออกมาและเห็นพวกฉินเอ้อเกินเขาก็เอ่ยปากต้อนรับ “อาเออร์เกน อาต้าหลิน…”
เขารู้สึกขอบคุณเจ้าหนี้เหล่านี้มาก ๆ เมื่อตอนที่พ่อของเขาได้รับผลการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง คนเหล่านี้แหล่ะที่ให้ครอบครัวเขายืมเงินไปรักษา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาอาจกลายเป็นเด็กกำพร้าและแม่อาจกลายเป็นแม่ม่ายซึ่งไม่สามารถหาเงินมาจ่ายคืนได้
แต่พวกอาเอ้อเกินก็ยังอุตส่าห์ใจดีให้ยืมเงินโดยไม่มีข้อแม้ น้ำใจของพวกอา ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ถือเป็นพระคุณอย่างสูงในชีวิตฉินหลินเลยจริง ๆ
ที่สำคัญคือเขาเรียนจบมาปีกว่าแล้วก็จริง แต่ทุก ๆ คนต่างก็รู้ว่าสำหรับพวกเขาแม่ลูกแล้วเรื่องมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ยังไงก็ยังเป็นแค่เด็กกำพร้าพ่อกับหญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ดี จึงไม่มีใครมาเร่งรัดทวงหนี้
บางครั้งฉินหลินยังถึงกับรู้สึกอิจฉาพ่อตัวเองด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่ทุกครอบครัวหรอกที่จะรักกันได้แบบนี้
หรือก็คือความรู้สึกอันลึกซึ้งของคนรุ่นเก่าที่คนรุ่นใหม่ไม่มี
คนหนุ่มสาวยุคใหม่ล้วนถูกกัดเซาะด้วยความกดดันของชีวิตและค่านิยมทางสังคมที่เกินจำเป็นจนหัวใจไม่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถจัดการกับอารมณ์ด้านลบมากมายที่ประเดประดังเข้าใส่ได้
เมื่อฉินเอ้อเกินเห็นฉินหลินเขาก็เอ่ยปากชื่นชมออกมาจากใจ “เสี่ยวหลินนี่เก่งจริง ๆ เลยเน่อ ดีกว่าไอ้พวกเด็กไม่เอาถ่านในหมู่บ้านเราตั้งเยอะ”
ฉินต้าหลินพยักหน้าเห็นด้วย “เสี่ยวหลินน่ะเป็นเด็กที่มีเหตุมีผลตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าไอ้ลูกบัดซบบ้านฉันมันฉลาดเฉลียวได้ซักครึ่งนึงของเธอบ้างล่ะก็ฉันคงไม่ต้องมานั่งถอนหายในเฮือก ๆ ๆ เพราะมันอย่างทุกวันนี้ร้อก”
คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ให้การยอมรับออกมาจากใจ
ฉินหลินเป็นเด็กคนเดียวในหมู่บ้านที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ได้ ส่วนพวกเด็กคนอื่น ๆ น่ะเหรอ ก็สำมะเลเทเมาไปเรื่อย ฉินหลินจะโชคร้ายก็เรื่องครอบครัวที่ต้องล้มลุกคลุกคลานนี่แหล่ะ
หลินเฟินที่ได้ยินคนชมลูกชายตัวเองในฐานะคนเป็นแม่แล้วมันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะโทษว่าพวกเธอพ่อแม่เป็นคนฉุดลูกให้ตกต่ำแท้ ๆ
ฉินเอ้อเกินเอ่ยปากชมฉินหลินแล้วหยิบใบสัญญาเงินกู้ออกมาให้หลินเฟิน “อะนี่หลินเฟิน นี่ใบสัญญาของฉันเน่อ”
“นี่ของฉัน” ฉินต้าหลินเองก็เอาออกมาด้วย
คนอื่น ๆ ต่างก็หยิบใบสัญญาเงินกู้ออกมาวางบนโต๊ะ
ที่ต้องเอามาเพราะว่าฉินหลินบอกเองว่าจะจ่ายเงินคืน
หากหนี้สินได้รับการชำระแล้ว ใบสัญญากู้เงินต้องถูกทำลายลงต่อหน้าทั้งสองฝ่ายตามประเพนีโบราณ
เมื่อหลินเฟินเห็นใบสัญญาเงินกู้ที่กองสุมอยู่ก็แทบจะเป็นลม รู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะถล่ม
ตัวเธอน่ะไม่สามารถจ่ายได้จริง ๆ และเธอก็รู้ว่าลูกชายไม่ได้มีเงินเหลือมากมายอะไรเพราะเอาไปลงทุนกับบ้านไร่หมดแล้ว เพราะงั้นเขาเองก็ต้องจ่ายไม่ไหวอยู่แล้ว
“ทุกคน... คือ... ฉัน...” หลินเฟินอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็จุกอยู่ในอกจนพูดอะไรไม่ออก
ฉินหลินเห็นหน้าแม่หมอง ๆ ก็รีบออกหน้าทันที “แม่ครับ ผมเป็นคนเชิญให้พวกอา ๆ มาเอง เพราะงั้นผมมีเงินจ่ายคืนอยู่แล้วครับ”
ฉินหลินขยับไปนั่งใกล้ ๆ แม่แล้วจับมือปลอบโยน จากนั้นก็หยิบเอาใบสัญญาขึ้นมาอย่างเบามือแล้วบอกว่า “พวกอาได้เอามือถือมามั้ยครับ? เดี๋ยวผมโอนเงินเข้าบัญชีให้เลย”
คำพูดเหล่านี้ทำให้หลินเฟินตกตะลึง เธอมองลูกชายของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ลูกชายเนี่ยนะมีเงิน? แถมยังมีเยอะขนาดจะเอามาจ่ายหนี้ทั้งหมดรวดเดียวทุกคนด้วย?
แล้วไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน? หามาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ในขณะนี้พวกฉินเอ้อเกินเองก็เอามือถือของตัวเองออกมา
“เอามา ๆ”
“โอย ยุคนี้แล้วใครบ้างไม่มีมือถือ?”
“ช่าย ๆ แต่ว่าจะจ่ายรวดเดียวเลยจริงเหรอ?”
ฉินหลินไม่ลังเลเขาหยิบใบแจ้งหนี้มาดูทีละใบ ๆ แล้วก็โอนเงินให้ตามจำนวนผ่านทางมือถือจนครบในชั่วพริบตา ซึ่งเงินสามแสนกว่าในบัญชีก็หายวับไปด้วยทำให้ยอดเงินคงเหลือในบัญชีของเขาเลื่อนกลับไปสู่สถานะยาจกอีกรอบ!
ทว่าหลังจากที่จ่ายไปแล้วกลับรู้สึกเบาสบายเหมือนยกภูเขาออกจากอก และสำหรับความเมตตากรุณาของพวกอา ๆ ทั้งหลายเขาก็ว่าจะพาไปเลี้ยงข้าวดี ๆ ซักวันหนึ่ง และหากพวกเขามีอะไรขาดเหลือก็จะค่อย ๆ ตอบแทนกันไปในอนาคต
พวกฉินเอ้อเกินที่ได้เห็นยอดเงินเข้าบัญชีมาแล้วต่างก็หน้าบานกันทุกคน
จริง ๆ พวกเขาไม่เคยคิดที่จะเร่งรัดทวงหนี้แม่ลูกคู่นี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เมื่อฉินหลินคืนเงินทีเดียวทั้งหมดมันก็อดยิ้มแฉ่งขึ้นมาไม่ได้
ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาของตัวเอง และด้วยเงินจำนวนนี้มันจะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นมากเลยเชียวล่ะ
พวกเขาต่างก็มองหลินเฟินด้วยความรู่สึกอิจฉา เพราะแม้ครอบครัวจะล้มลุกคลุกคลานแต่เธอก็มีลูกชายที่แสนประเสริฐ น่าอิจฉามากจริง ๆ นะ
ฉินหลินเองก็ช่างน่าทึ่ง เขาไม่ได้แค่เอาแต่ให้พ่อแม่คอยช่วยเหลือ แต่พอโตแล้วยังช่วยเหลือพ่อแม่อีกด้วย ถึงขนาดปลดหนี้หลายแสนหมดในเวลาอันรวดเร็วได้
พ่อแม่คนไหนบ้างไม่อยากให้ลูกมีความสามารถแบบนี้?
หลินเฟินที่ยังอึ้ง ๆ อยู่ก็รับรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายได้อย่างชัดเจน
พวกฉินเอ้อเกินก็ไม่ได้อยู่รบกวนสองแม่ลูกต่อ หลังจากชื่นชมฉินหลินเสร็จแล้วก็กล่าวคำอำลา
ฉินหลินเดินลงมาส่งพวกอา ๆ ถึงชั้นล่างและเปิดผ้าใบที่คลุมถังใส่ปลาหลังรถสามล้อบรรทุกบุโรทั่ง จากนั้นก็มอบปลาป่าที่เอามาให้กับพวกอา ๆ แทนคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อยที่อีกฝ่ายเคยเมตตาพวกตนแม่ลูกมาก่อน
“เสี่ยวหลิน นี่มัน... ปลาป่างั้นเหรอ?”
พวกฉินเอ้อเกินประหลากใจหน่อย ๆ
“แทนคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะครับ ปลาป่าพวกนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อาเอาไปแกล้มเหล้าล่ะก็แซบอย่าบอกใครเลยนะขอบอก”
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้หน่า เสี่ยวหลินล่ะก็”
“...”
พวกฉินเอ้อเกินมีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัด ปลาป่าพวกนี้มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ต้องหายากมากแน่เลย
หลังจากที่ฉินหลินส่งพวกฉินเอ้อเกินเสร็จแล้วเขาก็หยิบใบสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ใบสัญญาเหล่านี้ที่แม่เขาไปเซ็นต์กู้มา ซึ่งเวลานั้นเขาก็อยู่ด้วย และตอนนี้เขาได้เอาทั้งหมดกลับมาแล้ว... มันช่าง... ยาวนานจริง ๆ
จากนั้นเขาก็เดินไปที่หน้ารูปของพ่อแล้วเผาใบสัญญาเหล่านั้นเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว หนี้สินที่เคยเป็นเหมือนภูเขาที่คอยทับอกจนจะหายใจก็ยังลำบาก
เพราะเกมฮาร์เวสต์มูนนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถหลุดพ้นจากหล่มเหวแห่งความขมขื่นได้ซักที
ทางด้านหลินเฟินยังคงรู้สึกกังวลอยู่ เมื่อเห็นลูกชายว่างแล้วเธอเลยรีบถามทันที “เสี่ยวหลิน! บอกแม่มาเด๋วนิ ลูกค้าหรือว่าเสพ!”
นี่เป็นสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุด ไม่สำคัญว่าลูกจะรวยหรือจน ที่สำคัญเลยคือต้องไม่เดินทางผิด
ฉินหลินเองก็เดาว่าแม่คงจะกังวลแต่ก็ไม่นึกว่าจะถามแบบนี้ แต่เขาก็คิดข้อแก้ตัวเอาไว้แล้วว่า “มาค้ามาเสพอะไรกับล่ะคร้าบ แม่ก็ จริง ๆ แล้วผมบังเอิญจับปลาสวยงามที่มีในธรรมชาติได้ ปลาสวยงามป่าน่ะแม่รู้จักมั้ย? แล้วผมก็เอามันไปขายได้มาตั้งหกแสนกว่าเลยเชียวนา”
“แล้วผมก็เอาตังค์ไปทำขายส่งคือไปหารับแตงโมมาขายแล้วก็ได้กำไรอีก พอกำไรมันทบ ๆ กันมากเข้า ๆ ก็เลยเอาไปลงทุนทำบ้านไร่ ที่เหลือก็เอามาจ่ายหนี้นี่แหล่ะ”
เห็นได้ชัดเลยว่าไม่เนียน
เพราะไทม์ไลน์เรื่องปลากับเรื่องขายส่งมันสลับกันมั่ว
“ปลาอะไรที่ไหนมันจะแพงขนาดนั้น?” หลินเฟินไม่อยากเชื่อ
“เห็นว่าชื่อปลาเสือตอเผือกอะ ผมก็ไม่รู้นะว่ามันมีดีอะไรแค่สวยดีเท่านั้นเอง แต่คนรวยที่มาซื้อน่ะสิยอมควักตังค์จ่ายเด๋วนั้นเลยนะแม่ แถมตอนถือกลับปลากลับบ้านยังทำหน้าหื่น ๆ เหมือนได้อุ้มนางฟ้ากลับบ้านอีกตะหาก” ฉินหลินอธิบาย
แล้วก็หยิบเอามือถือมาโชว์ให้ดูบันทึกการเสียภาษีตอนซื้อขายปลาสวยงาม
หลินเฟินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อ แม้ใบหน้าของเธอจะยังเต็มไปด้วยความไม่เชื่ออยู่ก็ตามที “มีปลาราคาแพงขนาดนั้นด้วยเหรอ? พ่อของลูกต้องอำนวยอวยพรให้ลูกจับมันได้แน่ ๆ เลย”
รอยยิ้มที่หายไปนานได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเฟินอีกครั้ง ดูเหมือนครั้งนี้เธอจะผ่อนคลายสบายใจเรื่องหนี้สินไปแล้วจริง ๆ
ฉินหลินที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของแม่ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“ว่าแต่เสี่ยวหลิน แล้วบ้านไร่ที่ลูกยุ่ง ๆ อยู่ก็ไม่ใช่บ้านไร่ราคาสามสี่หมื่นน่ะสิ ใช่มั้ย?” หลินเฟินถามอีกรอบเพราะพึ่งนึกขึ้นได้
“ครับ บ้านไร่ไม่ใช่เล็ก ๆ” ฉินหลินพยักหน้าตอบ
แล้วหลินเฟินก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา “งั้นลูกรีบไปอธิบายให้โม่ชิงฟังเลยนะ! ก่อนหน้านี้เธอมาเยี่ยมแม่แล้วแม่เห็นว่าลูกยังไม่ได้เล่าให้เธอฟัง แม่ก็คิดว่าลูกจะทำบ้านไร่เล็ก ๆ ซักประมาณสามสี่หมื่นแต่ก็ยังไม่กล้าบอก แม่เลยบอกให้โม่ชิงรอให้ลูกไปบอกเธอเอง”
“โม่ชิงเป็นเด็กดีมาก ลูกห้ามทำให้เธอผิดหวังเด็ดขาดเชียว อย่าให้ใครมาพรากเธอไปจากแม่ได้นะ แม่ยอมรับแค่โม่ชิงคนเดียวเป็นลูกสะใภ้ ส่วนคนอื่นแม่ไม่เอา!”
“เอ่อ…!” ฉินหลินตกตะลึง ที่เขาไม่ได้บอกโม่ชิงก็เพราะกะจะทำเซอร์ไพรส์เธอเรื่องทะเลเฟื่องฟ้าตะหาก! แล้วแม่เล่นใจร้อนพูดไปเรื่อยเจื้อยแบบนี้ได้ไงอะ?