บทที่ 21: ได้บ้านไร่มาไว้ในมือ! ทะเลเฟื่องฟ้า!
ฉินหลินเช็คหน้าจอเกม
ตัวละครในเกมของเขาเลเวลอัพอีกแล้ว ส่วนการแจ้งเตือนนั้นบอกว่าเขาสามารถบุกเบิกแปลงปลูกเลเวล 1 ได้อีกรอบ และอัปเกรดแปลงปลูกเป็นเลวล 3 ได้อีก 1 แปลง
แปลงเลเวล 3 สามารถปลูกพืชที่มีค่าสูงขึ้นได้
แน่นอนว่าการอัปเกรดเป็นเลเวล 3 ต้องใช้เหรียญทองในเกม และเขาก็เอาพืชผลทั้งหมดในเกมออกมาขายในโลกความจริงหมดจนตอนนี้ไม่เหลือเหรียญทองในเกมแล้ว
แต่ยังโชคดีที่มีปลาที่เขาฆ่าเวลาตกเล่นทุกวัน ๆ
เขาเลยตัดสินใจขายปลาเลเวล 1 ทั้งหมดทันที เหลือแค่ปลาตะเพียนป่า ปลาเฉาป่า และปลาคาร์ปดำป่าเลเวล 2 ไว้
จะขายทำไมล่ะในเมื่อมันเป็นของดีมีประโยชน์ในโลกจริงซะขนาดนั้น
กระนั้นแม้เขาจะขายปลาเลเวล 1 ทั้งหมดจนได้เหรียญทองมาเพียบแต่ก็ยังไม่พอให้อัปเกรดแปลงปลูกขึ้นเป็นเลเวล 3
ซึ่งก็ปกติของเกม เลเวลยิ่งสูงค่าอัพเวลยิ่งแพง
ฉินหลินเลยสั่งตัวละครออกไปบุกเบิกแปลงปลูกเลเวล 1 ที่สามารถเปิดใหม่ได้ก่อน
ถอนหญ้า ทุบหิน ขุดตอไม้... เสียเวลาไปพอสมควรก็ได้แปลงปลูกเพิ่มขึ้นมาใหม่อีก 6 แปลงซึ่งเขาปลูกกระเจี๊ยบเขียวล้วน ๆ
โดยกระเจี๊ยบเขียวพวกนี้ไม่ได้จะปลูกแล้วเอาออกมาขายในโลกจริง แต่จะขายเอาเงินในเกม
เพราะไม่ว่ายังไงตอนนี้สิ่งสำคัญคือแปลงปลูกเลเวล 3 ต้องได้มาโดยเร็วที่สุด
และเขาวางแผนไว้ว่าต้องแบ่งแปลงปลูกส่วนหนึ่งเพื่อจะขายผลผลิตจากแปลงเหล่านั้นในเกมด้วย เวลาตัวละครเวลอัพจะได้มีเงินในการอัปเกรดอะไร ๆ ในทันทีไม่ต้องเจอกับสภาพแบบนี้อีก
และแล้วเวลาก็ผ่านไป
14.00 น.
ฉินหลินได้รับข้อความว่าการประมูลทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากการพิจารณาคดีได้เริ่มขึ้นแล้ว
ด้วยการพัฒนาของสังคมแบบโลกาภิวัตน์ อะไร ๆ ก็ออนไลน์ ดังนั้นการจัดประมูลทรัพย์สินที่ถูกศาลสั่งยึดโดยต้องเอาคนไปอยู่รวมกันในโถงประมูลจึงมีน้อยลงเรื่อย ๆ โดยทางศาลได้มีการจัดประมูลเป็นแบบออนไลน์มากขึ้น
ฉินหลินล็อคอินเข้าร่วมประมูลและได้หมายเลขประจำตัวผู้ประมูลในทันที
จากนั้นทรัพย์สินที่ถูกสำนักงานจัดเก็บภาษีไปยึดมาตามคำสั่งศาลก็เริ่มถูกวางประมูล
จากนั้นในไม่ช้าบ้านไร่ฟู่ไห่ก็ถูกนำออกมาประมูล
และเป็นดังคาด มีคนเห็นค่าของมันเหมือนเขาเลย
ทันทีที่เริ่มประมูลก็มีคนแข่งกันสู้ราคากันสามคนตั้งแต่เริ่ม 600,000, 610,000, 620,000, 630,000… จนถึง 700,000 หยวน
ทั้งสามคนนี้เพิ่มทีละ 10,000 หยวนทำให้ราคาเพิ่มทีละนิด ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นต้องการซื้อในราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยเพิ่มทีละต่ำ ๆ
ฉินหลินกำลังคิดว่าตัวเองมีงบแค่ประมาณ 1.28 ล้าน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่น ๆ มีงบเท่าไหร่กับบ้าง
เขาไม่คิดจะทำเหมือนคนพวกนี้ เพราะมายด์เซตของคนทั้งสามมันแปลก ๆ คือคิดว่าถ้าตัวเองแข่งโดยเพิ่มทีละหมื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วอีกไม่นานอีกสองคนจะยอมแพ้ไปเอง
ทั้ง ๆ ที่ 10,000 หยวนไม่ได้กดดันอะไรเลย 10 ครั้งก็แค่ 100,000 หยวน
แต่หากว่าเพิ่มทีละแสนเลยล่ะ? มันจะสามารถกดดันคนอื่น ๆ ได้แบบคนละเรื่องกันไปเลยทีเดียว
เมื่อคิดได้แบบนี้ฉินหลินก็คิดที่จะเพิ่มซัก 100,000 ไปเลย แต่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีคนที่สี่เสนอราคา 800,000 หยวนตัดหน้าเขาซะงั้น!
แม้แต่เรื่องเพิ่มราคาทีละแสนก็ยังมีคนคิดแบบเดียวกับเขาด้วย!
ซึ่งวิธีนี้ได้ผลจริง เพราะสามคนก่อนหน้าที่เพิ่มทีละหมื่นได้หยุดกึกกันไปหมดแล้ว
เพิ่มทีละแสนดูเหมือนจะกดดันคนทั้งสามได้มากจริง ๆ และยังแปลว่าทั้งสามนั้นไม่มีงบเพียงพอที่จะเอามาซื้อ เพียงแค่ลองเสี่ยงโชคดูเผื่อจะได้
ฉินหลินรู้สึกหงุดหงิด
เพราะตอนนี้เขาเจอคู่แข่งเข้าแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายมีงบเตรียมไว้มากน้อยแค่ไหน
“ช่างมัน! คิดแล้วปวดสมองว่ะ จะได้ไม่ได้ให้โชคชะตากำหนดไปเลยดีกว่า” ฉินหลินพึมพำและเสนอราคาไป 1.2 ล้าน!
สองเท่าของราคาเริ่มต้น!
ก็แค่ทำให้คนกลัวไม่ใช่เหรอ? ลองดูหน่อยซิว่าใครกันแน่ที่ต้องกลัว
ตัวฉินหลินไม่ได้อะไรมากอยู่แล้ว เพราะเงินล้านสองนี่เขาได้มาแบบไร้ต้นทุน
ถ้าอีกฝ่ายเอาไปได้ล่ะก็แปลว่าเขาแค่ชะตาไม่ต้องกับบ้านไร่นั่นก็เท่านั้นเอง
ณ ตอนนี้
ในห้องห้องหนึ่ง มีชายหนุ่มสามคนกำลังดูจอคอมอย่างภาคภูมิใจ
หนึ่งในนั้นยิ้ม “นึกแล้วว่าเพิ่มทีละแสนต้องทำให้เจ้าปลาหมึกทั้งสามตัวนั่นต้องสะดุ้งกันหมด ถ้าเราเข้าร่วมแข่งกับพวกมันทีละหมื่น ๆ สุดท้ายได้จ่ายเกินแสนไปเยอะแน่ ๆ”
เหล่าคนรุ่นเยาว์จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นทำงานอย่างหนักก่อน จากนั้นถึงค่อยเริ่มเป็นนักธุรกิจระดับบอส ทั้งสามหนุ่มเองก็เป็นคนแบบนี้ด้วย โดยทั้งสามวางแผนจะเดินทางทั่วประเทศเพื่อสั่งสมประสบการณ์ให้มาก ๆ เข้าไว้ซักหลาย ๆ ปี จากนั้นจึงจะเอาประสบการณ์ที่ได้กลับไปเปิดธุรกิจของตนที่บ้านเกิด
ทั้งสามต่างเห็นพ้องต้องกันว่าบ้านไร่ฟู่ไห่มีแนวโน้มจะรุ่ง ดังนั้นทั้งสามจึงระดมเงินทุนมาเพื่อที่จะประมูลมาให้ได้
และเมื่อเห็นว่าแผนของตนสำเร็จ คนทั้งสามต่างมองหน้ากันอย่างอารมณ์ดี
“q43 เสนอราคา 1.2 ล้าน!”
จู่ ๆ ที่หน้าจอคอมก็แสดงให้เห็นว่ามีคนเสนอราคาเพิ่มเข้ามา
“ฉิบหาย ยังจะมีคนเอาอีกเหรอวะ!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยความหงุดหงิด
1.2 ล้าน?
ทั้งสามได้เห็นราคานี้เป็นต้องอึ้ง
เพราะตัวเองเพิ่มทีละ 100,000 แต่เจ้าคนมาใหม่กลับเพิ่มทีเดียว 400,000?
“ไอ้นี่มันบ้าไปแล้ว!”
“โคตรบ้าของแท้!”
ทั้งสามคนบ่น
ทั้งสามไม่รู้ว่า 400,000 ที่เพิ่มมานั้นเป็นการบลัฟหรือไม่ แต่ 100,000 ที่ตัวเองเพิ่มไปก่อนหน้านี้เป็นการบลัฟแน่นอน 100%
บางคนว่าโหด แต่บางคนโหดกว่า
“เรา… จะต่อป่าว?” มีคนถาม
อีกสองคนก็ครุ่นคิด เพราะนี่มันเกินงบที่ตั้งไว้มาก
“เฮ่อ~”
หนึ่งในนั้นถอนหายใจและพูดว่า “ลืมไปเถอะ เรายังเป็นแค่เด็กอยู่ดี ยังมีโอกาสรออยู่ข้างหน้าอีกเยอะ”
“งั้นก็รอโอกาสหน้า!” อีกคนพูด
“โอเค รอโอกาสหน้า!” คนที่สามว่าตาม
.................................................................................................................................…
“ขอแสดงความยินดีกับคุณ q43 ที่ประมูลบ้านไรฟู่ไห่สำเร็จ กรุณาชำระเงินตามข้อมูลที่ได้รับหลังไมค์และดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง”
ฉินหลินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูท่าฝ่ายนั้นเองก็บลัฟด้วยเหมือนกัน และการบลัฟแบบเอาตามโชคชะตาของเขาเองก็ได้ผล
เมื่อประมูลบ้านไร่ได้แล้วฉินหลินก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เขารีบไปดำเนินการตามขั้นตอนที่ศาลและชำระเงิน 1.2 ล้านหยวน
ทว่าโดยปกติแล้วกระบวนการขั้นตอนในการโอนกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์พวกนี้ก็แสนจะยุ่งยากวุ่นวาย ไม่ใช่แค่ให้ศาลยืนยันและออกใบเสร็จรับเงินให้เท่านั้น ศาลยังต้องออกจดหมายให้กรมบังคับคดีไปติดต่อขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมจัดการด้วย...
กว่าจะจบกระบวนการทั้งหมดก็กินเวลาไปสองสามวัน
ทว่ากระบวนการเหล่านั้นสามารถจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากที่จ่ายเงิน 1.2 ล้านและได้รับการยืนยันและใบเสร็จรับเงินจากแล้วได้ ถึงยังไงผู้มีอำนาจจัดการประมูลในครั้งนี้คือสำนักงานจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร เพราะฉะนั้นจึงไม่มีหน่วยงานอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นหากมีข่าวหลุดออกไปล่ะก็ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของสำนักงานจัดเก็บภาษีมันจะมีปัญหาเอาได้
ตกตอนเย็น
ฉินหลินเอาสตรอว์เบอร์รี่กับกระเจี๊ยบเขียวไปส่งไปที่ RT-Mart และเมื่อเงินก้อนนี้เข้ามายอดเงินคงเหลือในบัญชีจากที่เหลือ 80,000 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 120,000 หยวน
หลังจากนั้นเขาก็ขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไปรับจ้าวโม่ชิงที่สำนักงานจัดเก็บภาษีโดยหมายจะไปบอกข่าวดีเรื่องที่เขาซื้อบ้านไร่ฟู่ไห่ให้เธอฟัง
จ้าวโม่ชิงวิ่งออกมาอย่างเร็วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“โห~ หน้าบานมาเลย วันนี้มีเรื่องดี ๆ งั้นเหรอ?” ฉินหลินถาม
จ้าวโม่ชิงที่ยังยิ้มไม่หุบตอบว่า “ช่ายแล้น~ วันนี้ของที่สำรักงานจัดเก็บภาษีเอาออกประมูลได้ผลดีกว่าที่คาดไว้เยอะ เดือนนี้เลยมีโบนัสขึ้นอื้อซ่ามีฟามสุขสุด ๆ อะ”
“ยิ่งบ้านไร่ฟู่ไห่นะยิ่งสุด ดูท่าคนซื้อจะชอบมากเลยยอมจ่ายตั้งล้านสองแหน่ะ!”
“ราคานี้เกินกว่าที่เราประเมินไว้ตั้งเยอะ ทุก ๆ คนถึงกับบอกว่าเพราะคนอื่น ๆ กลัวจนไม่กล้าสู้ต่อ ไม่งั้นล่ะก็คนรวยที่มีเงินขนาดใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดนั่นต้องยอมจ่ายมากกว่านี้แน่นอนด้วย”
“…” ฉินหลิน
‘รวย?’
‘มีเงินใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด?’
‘นี่ ๆ เมียจ๋า เตงแน่ใจนะว่าพูดถึงเค้าอยู่จริง ๆ อะ?’
ทันใดนั้นฉินหลินก็เลิกคิดที่จะบอกความจริงกับจ้าวโม่ชิงเรื่องบ้านไร่แล้ว
เขาคิดว่าจะไปทำให้บ้านไร่นั่นเป็นที่นิยมก่อนดีกว่า แล้วค่อยพาเธอไปเซอร์ไพรส์
‘แบบนั้นมันต้องเจ๋งมาก ๆ แน่เลย หึหึ’
“ว่าก็ว่าเถอะ ใช้เงินขนาดนั้นซื้อบ้านไร่ฟู่ไห่แสดงว่าคนที่ซื้อต้องจริงจังกับการพัฒนามันมาก ๆ เลยว่ามั้ย?” จ้าวโม่ชิงพูดต่อ
“ที่บ้านไร่นั่นมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเยอะมาก ถ้าเราปลูกเฟื่องฟ้าสวย ๆ เยอะ ๆ จนเหมือนทะเลมหาสมุทรได้ล่ะก็ต้องดึงดูดให้คนมาเที่ยวได้เพียบแน่ ๆ เลย”
“อ้อ~ ทะเลเฟื่องฟ้านะ!”
ฉินหลินแอบจำคำพูดของจ้าวโม่ชิงไว้เงียบ ๆ
‘ก่อนอื่นก็ต้องทะเลเฟื่องฟ้า~ อืม ๆ’