บทที่ 25: เมื่อไม่มีหนี้จึงรู้สึกเบา! หลินเฟินกังวล!
หลังจากนั้นไม่นานนัก
ขบวนรถขนส่งได้มาถึงที่บ้านไร่
ขบวนรถขนส่งขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถจอดได้แค่ตรงที่จอดรถของบ้านไร่เท่านั้น ไม่อาจขับเข้าไปข้างในได้
ฉินหลินที่ขับมาพร้อมกันก็จอดรถสามล้อบรรทุกของตน เจ้าวั่งไฉมันก็กระโดดลงจากรถและเดินตามไปติด ๆ
“จะให้เอาลงตรงนี้เลยมั้ยครับคุณฉิน?” จ้าวลี่หยวนถาม
“เอาลงตรงนี้เลยครับ” ฉินหลินพยักหน้า จริง ๆ แล้วตรงนี้มันก็เป็นที่เดียวที่จะเอาลงได้ด้วยแหล่ะ
จ้าวลี่หยวนนำลูกน้องขนต้นเฟื่องฟ้าลงจากรถ ส่วนค่าแรงคิดแยกต่างหากกับสัญญาที่ตกลงกันทางออนไลน์
คนก็ขนต้นไม้ไป ส่วนฉินหลินนั้นเดินเข้าไปในบ้านไร่
เจ้าวั่งไฉร้องงี้ด ๆ รีบวิ่งตามไป มันมองซ้ายมองขวาไปมาพลางเห่านู่นเห่านี่ไปทั่วเหมือนอยากจะออกไปสำรวจโลกใหม่
เมื่อฉินหลินเห็นท่าทีของมันก็ยิ้มให้ “วั่งไฉเอ๊ย จากนี้ไปที่นี่จะเป็นดินแดนของแกนะ มีฟามสุขมั้ยล่าหืม~?”
วั่งไฉดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเจ้านาย มันเห่ารับสองทีแล้วออกวิ่งสุดตัว ทำจมูกฟุดฟิดไปทั่วก่อนจะเจอที่เหมาะ ๆ แล้วยกขาฉี่อย่างฟิน ๆ
ฉินหลินมองพฤติกรรมเจ้าหมาอย่างอึ้ง ๆ ‘ไอ้หมานี่มาถึงก็กั้นอาณาเขตของตัวเองเลยเรอะ?’
ในบ้านไร่
นอกจากเกาเหยาเหยาแล้วยังมีคนอื่นอีกสองสามคน ซึ่งทั้งหมดต่างเป็นพนักงานที่มีอยู่เดิม พอได้คุยแชทกับเกาเหยาเหยาเมื่อวานนี้ทั้งหมดก็ตัดสินใจมารอตั้งแต่เช้า
ในยุคสมัยที่อะไร ๆ ก็ออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์แบบนี้มันหางานไม่ง่ายเลย สำหรับอำเภอโหยวเฉิงแล้วเงินเดือนที่บ้านไร่ถือว่าไม่เลว พนักงานทุก ๆ คนจะได้เงินเดือนกันคนละสามสี่พัน แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเสียงานนี้ไป
“นี่เถ้าแก่คนใหม่!” เมื่อเกาเหยาเหยาเห็นฉินหลินมาถึงเธอก็แนะนำเขาให้รู้จักกับคนอื่น ๆ ทันที
คนอื่น ๆ ต่างก็มองไปที่เถ้าแก่คนใหม่นี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ชายหนุ่มอายุน้อยที่เดินมาพร้อมกับหมาดำตัวหนึ่ง
นี่คือภาพแรกที่ทุก ๆ คนเห็นและจดจำไว้ในใจ
“เถ้าแก่คะ!” เกาเหยาเหยาวิ่งเข้ามาหาฉินหลินและทักทายเขา
“เกาเหยาเหยา คนไหนคืออาจารย์หลิน?” ฉินหลินถาม
“จารย์หลินนนนนน เถ้าแก่เรียกกกกกกกกกก” เกาเหยาเหยาตะโกนใส่ชายผิวคล้ำในวัย 50 ปีทันที
อาจารย์หลินเดินเข้ามาหาและเอ่ยปากพูดก่อนโดยฉินหลินยังไม่ทันทำอะไร “ผมจะทำงานให้เถ้าแก่ก็ได้ แต่เถ้าแก่ต้องให้ผมดูแลต้นแปะก๊วยสองต้นนั่น ห้ามตัดมันทิ้งเด็ดขาด”
คำขอนี้ทำเอาฉินหลินตะลึงงัน
ถ้าเป็นคนอื่นคงจะขอขึ้นเงินเดือนไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนร้องขอเรื่องแบบนี้
เกาเหยาเหยารีบอธิบายให้ฟังว่า “เมื่อก่อนมันเป็นยุคสงครามน่ะค่ะ แล้วบ้านของจารย์หลินก็โดนลูกหลงไปด้วย ปู่ของแกเลยพาครอบครัวหนีมาที่นี่แล้วก็อาศัยอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยสองต้นนั่นน้านนานเลยล่ะ แล้วปู่ของจารย์หลินท่านก็ตายใต้ต้นแปะก๊วยทั้งสองนั่นด้วยค่ะ”
“หลังจากที่มีการก่อตั้งประเทศและจัดระบบทะเบียนราษฎร์ใหม่แล้ว พ่อของจารย์หลินก็พาครอบครัวกลับไปอยู่ที่เดิม เพราะงั้นก่อนหน้านี้จารย์หลินจึงพยายามช่วยต้นแปะก๊วยทั้งสองนั่นอย่างหนักเลยน่ะค่ะ”
“ผมยอมรับคำขอของคุณ ส่วนสัญญาจ้างงานเอาไว้เซ็นต์ทีหลัง ไปที่ลานจอดรถด้วยกันก่อน มีเรื่องอยากให้คุณช่วย” ฉินหลินไม่ได้คิดจะตัดต้นไม้ทั้งสองต้นนั่นอยู่แล้ว และในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมคนเก่ง ๆ ที่ทำได้ทุกอย่างอย่างอาจารย์หลินถึงต้องยอมทำงานในที่เฮ็งซวยนี่ก่อนหน้านี้ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อต้นไม้ทั้งสองนั่นเอง
นี่เป็นอารมณ์ความอาลัยอาวรณ์อันยากจะลืมเลือนของคนรุ่นก่อน
ซึ่งคนประเภทนี้มักให้ความสำคัญกับความรู้สึกและเป็นคนที่ไว้ใจได้
ฉินหลินพาอาจารย์หลินไปที่ลานจอดรถ
เกาเหยาเหยาและพนักงานคนอื่น ๆ ก็ติดตามมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
และเมื่อพวกเขามาถึงที่จอดรถจ้าวลี่หยวนได้นำลูกน้องขนต้นเฟื่องฟ้าลงมาได้หลายต้นแล้ว
“เถ้าแก่เป็นคนซื้อเฟื่องฟ้าพวกนี้มาเหรอคะ! สวยสุด ๆ ไปเลยอะ!” เกาเหยาเหยาอุทาน เห็นได้ชัดว่าสนใจเฟื่องฟ้าพวกนี้มาก
พนักงานคนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ทุกค้นต่างเหม่อมองอย่างอดไม่ไหว เพราะเฟื่องฟ้าพวกนี้มันช่างสวยเหลือเกิน
อาจารย์หลินก็สนใจต้นเฟื่องฟ้าเหล่านั้นเช่นกัน คนอายุเท่าเขาต่างชื่นชอบความงามแบบนี้อยู่แล้ว แต่จะว่าไปการชอบความงามมันไม่ได้เกี่ยวกับอายุซักหน่อยนี่เนอะ
“เถ้าแก่จะทำทะเลเฟื่องฟ้าที่บ้านไร่นี่เหรอครับ?” อาจารย์หลินถาม
ฉินหลินพยักหน้า “ครับ ผมจะทำทะเลเฟื่องฟ้าซักสามสิบหมู่ ให้เฟื่องฟ้าซักหมื่นห้าพันต้น เกาเหยาเหยาบอกว่าอาจารย์หลินรู้วิธีทำสวนผมเลยกะว่าจะให้คุณดูแลเรื่องนี้ให้น่ะ”
อาจารย์หลินได้ยินก็ตกใจสะดุ้งโหยงสุดตัวทันที “เถ้าแก่คิดว่าผมเป็นหุ่นยนต์เหรอครับ? สามสิบหมู่ หมื่นห้าพันต้น โอย ผมคนเดียวไม่ไหวหรอกครับ ขอแรงงานเพิ่มด่วน ๆ เลย!”
ฉินหลินรู้อยู่แล้วว่างานหนักขนาดนี้มันทำคนเดียวไม่ได้ แผนเขาคือจะไปจ้างนักจัดสวนมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการปลูกต้นเฟื่องฟ้าโดยเฉพาะมา เขาไม่ได้จะให้อาจารย์หลินปลูกทั้งหมดคนเดียวแต่จะให้อาจารย์หลินที่เป็นผู้มีความรู้คอยคุมงานให้อีกต่อหนึ่งต่างหากเล่า
แต่อาจารย์หลินกลับเข้าใจผิดคิดไปว่าหรือตัวเองจะโดนเถ้าแก่คนใหม่เอาเปรียบซะแล้ว?
“เด๋วผมจะหาคนมาช่วยปลูกเพิ่ม” ฉินหลินอธิบาย
“ถึงตอนนั้นให้คุณช่วยคุมงานให้หน่อย พอทะเลเฟื่องฟ้าเสร็จแล้วผมจะจ้างคนสวนซักสองคนมาคอยดูแลทุกวัน ๆ”
เมื่ออาจารย์หลินได้ยินก็เลิกเข้าใจผิดและพยักหน้าสัญญาว่าจะช่วยจับตาดูให้
ต้นเฟื่องฟ้า 178 ต้นถูกขนลงมาหมดแล้วอย่างรวดเร็ว
ฉินหลินจ่ายส่วนที่เหลืออย่างมีความสุขและไม่ลืมที่จะบอกไปว่าว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมต้องรบกวนหัวหน้าจ้าวอีกนะครับ จะว่าไปอาจต้องรบกวนคุณทั้งเดือนเลยก็เป็นได้”
“โทรมาได้ทุกเมื่อเลยครับ” จ้าวลี่หยวนพูดอย่างเต็มใจ
สมัยนี้แม้แต่งานขนส่งเองจะหางานทำก็ยังยากแสนยาก ยิ่งเป็นหัวหน้าคนด้วยแล้วยิ่งแต่จะยากลำบากไปกันใหญ่ ดังนั้นเมื่อมีงานดี ๆ มาป้อนถึงปากมีหรือเขาจะไม่กระโดดงับไว้
แม้เขาจะงงว่าทำไมเถ้าแก่ฉินถึงต้องเอาของไปลงที่โกดังนั่นก่อนทั้ง ๆ ที่เอามาลงที่นี่โดยตรงเลยก็ได้แท้ ๆ ก็ตาม แต่ถ้ามันทำให้ตัวเองหาเงินได้จะไปสงสัยเรื่องคนอื่นเขาทำไมกัน
ยังไงพวกคนมีตังค์ก็มักจะมีนิสัยแปลก ๆ กันอยู่แล้ว
เหมือนเจ้านายเขา ตัวเองก็มีบ้านอยู่แท้ ๆ แต่กลับแอบซื้อบ้านไว้อีกหลัง เมียนอนอยู่บ้านกลับไม่ยอมนอนด้วย หาแต่ข้ออ้างว่ามีธุระ ๆ แล้วไปนอนบ้านอีกหลังคนเดียวทำไมก็ม่ายรุ!
คนนรวยนี่อิสระเสรีดีจังเลยเนอะ?
หลังจากที่จ้าวลี่หยวนและขบวนกลับไปแล้ว ฉินหลินก็ได้สัมภาษณ์พนักงานเก่าที่เหลือในบ้านไร่ ถือเป็นเฟิร์สอิมเพรสชันที่ดีทีเดียว ไม่มีความรู้สึกรังเกียจเป็นศัตรูอะไรตั้งแต่แรกเห็น
ทว่าปัญหาก็ยังมีคือเรื่องสัญญาจ้าง เขาไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้เลย สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ต้องเอาสัญญาเดิมที่ทางบ้านไร่นี่เคยทำไว้มาเป็นตัวอย่าง โดยกะว่าจะกลับไปก็อปปี้เนื้อหาจากสัญญาเดิมแล้วเอามาให้พวกเกาเหยเหยาเซ็นต์กันในวันพรุ่งนี้
หลังจากนั้นเขาเดินตามอาจารย์หลินไปรอบ ๆ ที่ดิน 500 หมู่ ถ้าเขาต้องการสร้างทะเลเฟื่องฟ้าในพื้นที่ 30 หมู่ล่ะก็มันต้องเลือกสถานที่ที่เหมาะสม
หลังจากเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้แล้วว่าตกลงจะสร้างทะเลเฟื่องฟ้าในพื้นที่ทางเหนือของตัวโถง
เพราะทะเลเฟื่องฟ้าขนาด 30 หมู่นั้นจะต้องเป็นพื่นที่เปิดกว้าง ระดับของพื้นไม่ควรต่างกันมากเกินไป ไม่งั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดทำให้เอฟเฟคต์ของทะเลดอกไม้ไม่สำฤทธิ์ผล
หลังจากตัดสินใจแล้วฉินหลินก็กลับไปที่เมืองไปติดต่อบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุด
บริษัทก่อสร้างในอำเภอโหยวเฉิงนี่ก็ซับซ้อนและหลากหลายจริง ๆ เพราะมันครอบคลุมไปถึงการจัดสวนด้วย สามารถหาจ้างคนงานที่เป็นเกษตรกรผู้มากประสบการณ์ได้ด้วย แถมค่าแรงก็ไม่กระจอก วันละ 400 หยวน (ประมาณ 2,000 บาท)
หลังจากเซ็นสัญญาและจ่ายเงินมัดจำเสร็จแล้วคนของบริษัทก็เข้าไปตรวจสอบเบื้องต้นในบ้านไร่ทันทีและกลับกันในตอนเย็น
ที่นี้ปัญหาอีกอย่างก็ตามมา ตกดึกต้นเฟื่องฟ้าที่อยู่เต็มลานจอดรถนี่แหล่ะปัญหา
เฟื่องฟ้าเหล่านี้ไม่ใช่ถูก ๆ และตอนนี้ก็ทำได้เพียงให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนก่อนอย่างเฉินต้าเป่ยอยู่เฝ้าให้ทั้งคืน และก็เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นธาตุแท้ชายคนนี้ด้วยว่าเป็นยังไง
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วฉินหลินก็กลับเมืองไป ตอนนี้ทะเลเฟื่องฟ้าก็เริ่มดำเนินการแล้ว ได้เวลาชำระหนี้สินที่ค้างไว้ซักที
ยังไง ๆ คนจำนวนมากก็ต้องรู้ว่าเขาทำธุรกิจบ้านไร่ โดยเฉพาะเหล่าเจ้าหนี้ทั้งหลาย หากพวกเขารู้ก่อนที่ฉินหลินจะจ่ายหนี้ล่ะก็อาจเกิดอคติขึ้นมาว่ามีเงินไปทำบ้านไร่ซะใหญ่โตแต่หนี้สินเล็กน้อยกลับไม่จ่ายก็เป็นได้
แม้เจ้าหนี้ทั้งหลายจะเป็นญาติ ๆ และเพื่อน ๆ ของพ่อแม่ของเขาทั้งหมด การที่ให้ครอบครัวของเขายืมเงินนั้นแปลว่าต้องมีความรักใคร่สามัคคีต่อกันเป็นอย่างยิ่ง และฉินหลินรู้ดีว่าเจ้าหนี้เหล่านั้นจะไม่คิดอติแบบนั้นอยู่แล้ว แต่พวกที่ไม่ใช่เจ้าหนี้แต่ขี้เสือกนี่สิ พวกนี้ไม่รู้เป็นอะไรเห็นคนเขารักใคร่กลมเกลียวเมตตากรุณาต่อกันไม่ได้ ชอบจุดไฟเผาแล้วเอาน้ำมันก๊าดราดซ้ำกันให้วายวอดกันซะจริงเชียว
ดังนั้นหากฉินหลินเอาเงินไปคืนทีหลังล่ะก็ แม้ว่าจะหนี้คืนไปแล้วแต่ความสัมพันธ์อันดีกลับแย่ลงก็ไม่ใช่เรื่องดี
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน
เขาเลยต้องรีบจ่ายหนี้ให้หมดก่อน แม้ภายหลังเหล่าเจ้าหนี้จะรู้ว่าเขาทำบ้านไร่ แต่ความรู้สึกที่ได้มันไม่เหมือนกัน
เขาคิดเรื่องนี้พลางหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูรายชื่อผู้ติดต่อ โดยเขาได้เม็มชื่อเจ้าหนี้ทุกคนไว้ในมือถือหมดแล้ว นอกจากเงินห้าหมื่นที่คืนครอบครัวของฉินเหรินไปแล้วกับที่ทยอยจ่ายเดือนละนิดเดือนละหน่อย เขายังเหลือหนี้โดยรวมประมาณ 330,000 หยวน
ฉินหลินโทรเบอร์แรกและปลายสายก็รับสายทันที “หวัดดีครับลุงเอ้อเกิน กินข้าวยังครับ… กินแล้วเหรอ… คืนนี้ผมขอเชิญลุงมาที่บ้านหน่อยได้มั้ยครับ... ครับ บังเอิญหาเงินมาได้ก้อนนึงก็เลยจะจ่ายหนี้ที่พ่อยืมไปน่ะครับ... คร้าบ ๆ หวัดดีคร้าบ”
พอวางสายเสร็จก็โทรเบอร์ต่อไปจนครบทุกคน ซึ่งทั้งหมดต่างก็เป็นผู้อาวุโสจากหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น
การรีบคืนเงินก็ถือเป็นเรื่องดีจริง ๆ นั่นแหล่ะ
ส่วนหนึ่งเพราะอยากช่วยให้แม่คลายกังวล เพราะแม่มักจะตัดพ้อต่อหน้ารูปของพ่อ บอกว่าถ้าไม่คืนเงินที่ยืมมาและยังไม่ได้เห็นเขาแต่งงานมีลูกล่ะก็พ่อคงตายตาไม่หลับใช่มั้ย อะไรประมาณนี้
หลังจากวางสายสุดท้ายเขาก็ไปที่โกดังเช่าแล้วเอาจับปลาป่าธรรมดา ๆ จากในเกมมาใส่ถังที่อยู่หลังกระบะสามล้อบรรทุกแล้วเอาผ้าปิดไว้ก่อนจะขับกลับบ้าน
วันนี้พวกลุงเอ้อเกินต่างก็กินข้าวกันเสร็จแล้ว ฉินหลินเลยเลี้ยงข้าวตอบแทนไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเตรียมของขวัญให้พวกลุง ๆ เพื่อแสดงความมีมารยาทที่เชิญพวกเขามาที่บ้านเอาตอนกลางค่ำกลางคืนแบบนี้
ปลาป่าธรรมดาเหล่านี้แม้จะบอกว่าธรรมดาแต่จริง ๆ แล้วไม่ธรรมดาเลย เป็นของขวัญที่ดีมากเลยด้วยซ้ำ
เมื่อกลับถึงบ้านหลินเฟินได้เตรียมข้าวรเย็นรออยู่แล้ว
“มากินข้าวได้แล้วลูก~” หลินเฟินตะโกน
หลังจากที่ฉินหลินนั่งลงเธอก็ถามว่า “นี่เสี่ยวหลิน ทำไมวันนี้ลูกกลับช้าจังล่ะ หรือที่บ้านไร่มีปัญหาอะไร?”
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ จะว่ามาถูกทางแล้วก็ไม่ผิด ช่วงนี้เลยยุ่ง ๆ กว่าเดิมนิดหน่อย” ฉินหลินตอบ
หลินเฟินเตือนว่า “ลูกห้ามละเลยโม่ชิงเชียวนะ โม่ชิงน่ะเป็นเด็กดีมะ...”
แล้วหลินเฟินก็หยุดไปไม่ได้พูดอะไรอีก เธอกังวลแน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าผู้หญิงดี ๆ คนนี้ต้องกลายไปเป็นลูกสะใภ้ของคนอื่นเข้าล่ะก็ลูกชายตัวเองคงหาผู้หญิงแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
และยิ่งคิดก็ยิ่งแต่จะตอกย้ำว่าตัวเองเป็นแม่ที่ไร้ประโยชน์ ครอบครัวมีแต่ล้มลุกคลุกคลาน หนี้สินท่วมหัว เงินจะซื้อรถซื้อบ้านให้ลูกยังไม่มี แล้วเรื่องอะไรพ่อแม่ของโม่ชิงจะต้องยอมให้ลูกสาวพวกเขามาแต่งกับลูกชายของเธอให้ลำบากด้วยล่ะ?