ตอนที่แล้วบทที่ 16: กินของที่คนอื่นหาซื้อไม่ได้!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18: ของขวัญจากคนแคระ!

บทที่ 17: จ่ายภาษีครั้งแรกในชีวิต! ไห้ถูกตีจนตายก็ไม่เชื่อ!


ตกกลางคืน

กินข้าวเย็นเสร็จฉินหลินก็มาเล่นกับเจ้าวั่งไฉอยู่พักหนึ่ง  เจ้าหมานี่หลังจากที่ถูกรับมาเลี้ยงแล้วมันก็เกาะหนึบแถมยังประจบประแจงเก่งมาก  มักจะมองคนในบ้านด้วยนัยน์ตาที่เปียกชุ่มชอบเอาหัวมาถูกขาคนทำให้อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปลูบหัวให้มัน

เล่นหมาเสร็จก็กลับเข้าห้องเปิดหน้าจอเกม  ต้นสตรอว์เบอร์รี่กับต้นกระเจี๊ยบเขียวในเกมเฉาหน่อย ๆ ต้องรดน้ำให้

ฉินหลินบังคับตัวละครในเกมให้เอาถังน้ำกับบัวรดน้ำตักน้ำไปรดให้  จากนั้นก็คุยวีแชทกับจ้าวโม่ชิง

ชีวิตแบบนี้วนผ่านไปอีกสองวัน

วันนี้

ในตอนเช้าฉินหลินส่งสตรอว์เบอร์รี่และกระเจี๊ยบเขียวที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต  จากนั้นก็กลับไปเฝ้าร้านที่ตลาดโดยตอนนี้กำลังหัวหมุนอยู่หน้าจอคอม

เพราะถึงเวลาที่ร้านผักผลไม้ต้องยื่นภาษีแล้ว

การยื่นภาษีไม่ใช่การจ่ายภาษี  ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือผู้ประกอบการรายย่อยทั้งหลายแม้จะมีรายได้ไม่ถึงจึงไม่ต้องจ่ายภาษีก็ตาม  แต่ก็ต้องยื่นภาษีให้สรรพากรตรวจสอบอยู่ดี

การยื่นภาษีคือการรายงานผลการประกอบการอย่างรายรับ  รายจ่าย  และอื่น ๆ ที่สำนักงานตรวจสอบภาษี  ถ้าไม่มีรายได้ถึงหรือมีองค์ประกอบตรงตามที่กฎหมายกำหนดก็ไม่ต้องเสียภาษี

ส่วนฉินหลินนั้นสืบทอดร้านนี้มาได้ประมาณหนึ่งปี  ดังนั้นเรื่องการทำแบบยื่นภาษีจึงเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเลย

อีกทั้งสถานการณ์ของร้านขายผักผลไม้ยังมีนโยบายพิเศษของทางอำเภอรองรับ  คือหากยอดขายต่อเดือนไม่ถึง 100,000 หยวนก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยังมีนโยบายสนับสนุนท้องถิ่นรองรับอีกชั้นหนึ่งด้วยคือหากยอดขายไม่เกิน 50,000 หยวนก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี

ร้านขายผักผลไม้เล็ก ๆ ของครอบครัวเขามีรายได้น้อยกว่า 10,000 หยวนต่อเดือน  หลังจากจ่ายค่าเช่า  ค่าน้ำ  ค่าไฟ และอื่น ๆ เหลือกำไรสุทธิประมาณ 25% ซึ่งไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษี

หรือก็คือตั้งแต่ทำงานในร้านนี้มาเขายังไม่เคยจ่ายภาษีเลยแม้แต่แดงเดียวเพราะรายได้ไม่ถึงนั่นแหล่ะ!  แต่เขาที่เป็นแบบนั้นก็ยังได้สิทธิ์ในการประกันสุขภาพและสวัสดิการแห่งรัฐอีกหลายอย่าง  เรียกเขาว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นตัวถ่วงของประเทศก็ไม่ผิดนัก

ซึ่งเขาละอายใจมาก!

แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ยื่นภาษีทุกเดือนตามหน้าที่ที่ต้องทำอยู่เสมอ

ภาษีท้องถิ่นได้กำหนดวันยื่นภาษีคือภายในสองวันนี้สำหรับผู้ประกอบกิจการค้าขายอิสระประเภทผักผลไม้

เมื่อก่อนเขามีเงินนิดเดียวจะยื่นภาษีไม่ครบหรือทำลวก ๆ ไปก็ไม่มีปัญหา  เพราะยังไงมันก็ไม่ถึงเกณฑ์อยู่แล้ว  และใคร ๆ เขาก็ทำกัน

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว  เพราะยื่นภาษีครั้งนี้เขาต้องเสียภาษีอย่างแน่นอน

เพราะว่าจู่ ๆ เงินฝากในบัญชีเขามันเพิ่มขึ้นเกิน 4,000 หยวนในเวลาอันสั้น  และมันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตด้วย  หากครั้งนี้ไม่ทำให้ครบต่อไปเกิดถูกทางธนาคารตรวจสอบที่มาของเงินแล้วลากสรรพากรมาพ่วงด้วยล่ะก็รับรองว่าโคตรลำบาก

และการจะจ่ายภาษีนั้นเขาต้องคำนวณและจัดระเบียบใบแจ้งหนี้ทั้งหมดในช่วงนี้ให้เรียบร้อย

การทำบัญชีของเขาค่อนข้างลำบากเล็กน้อย  ผู้ประกอบการรายย่อยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ทว่าเมื่อรายได้เกินขอบเขตการยกเว้นภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วเขาจะต้องเสียภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่ม

รายละเอียดก็ประมาณว่า:

กำไรสุทธิไม่เกิน 30,000 หยวน  เสียภาษี 5%

30,000 หยวนถึง 90,000 หยวน  เสียภาษี 10% + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3%

90,000 หยวนถึง 300,000 หยวน  เสียภาษี 20% + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3%

ฉินหลินเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ร้านผักผลไม้ของตนต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่

แม้ว่าเขาจะมีรายได้มากกว่า 400,000 หยวนจากการค้าขายไร้ต้นทุน  แต่จะให้ไปแจ้งโง่ ๆ ว่าไม่มีต้นทุนครับได้ยังไงเล่า!

แม้ว่าเขาจะยื่นภาษีโดยแจ้งว่าไม่มีต้นทุน  ทางพนักงานตรวจสอบก็อาจทำเหมือนเขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องภาษีและช่วยสอนวิธีคำนวณต้นทุนกำไรให้เขาอย่างแน่นอน  และแม้ว่าฉินหลินจะยินดีจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นโดยรายงานว่าไม่มีต้นทุนก็ตาม  ทว่าเหล่าเจ้าพนักงานก็ไม่กล้าเก็บภาษีที่ดูผิดปกติแบบนั้นอย่างแน่นอน

ถ้าเอาจริง ๆ ก็คือคงไม่มีใครโง่ถึงขนาดยื่นภาษีแบบไร้ต้นทุนด้วยแหล่ะ

ดังนั้นเขาจึงต้องจัดระเบียบบัญชีให้ดีให้เนียนมากพอที่จะเอาไปยื่นแล้วไม่มีพิรุธได้

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันทั้งไหล่ทั้งคอก็ปวดไปหมด  ฉินหลินใช้โปรแกรมในคอมช่วยคำนวณบิลในบัญชี

ในช่วงนี้บวกกับรายได้ของวันนี้เขาขายแตงโมได้ 186,977 หยวน  กำไรสุทธิที่เมคต้นทุนขึ้นมาอยู่ที่ 35,265 หยวน  ขายสตรอว์เบอร์รี่ได้ 147,753 หยวน กำไรสุทธิที่เมคต้นทุนขึ้นมาอยู่ที่ 36,938 หยวน  ขายกระเจี๊ยบเขียวได้ 135,165 หยวน กำไรสุทธิที่เมคต้นทุนขึ้นมาอยู่ที่ 33,791 หยวน

หรือก็คือจากกำไรกว่า 400,000 หยวนเต็ม ๆ แบบไร้ต้นทุน  หลังจากเมคต้นทุนตามราคาตลาดใส่ลงไปแล้วจะได้กำไรที่จะเอาไปยื่นภาษีอยู่ที่ 105,994 หยวน

หรือก็คือเขาต้องจ่ายภาษีตามเกณ์ที่กำหนดไว้ว่ารายได้ 90,000 – 300,000 หยวน  เสียภาษี 20% + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3% รวมเป็นเงิน 24,378 หยวน

เป็นธรรมดาของภาษี  ยิ่งได้มากก็ยิ่งจ่ายมาก  ไม่น่าแปลกใจที่คนมากมายอยากเลี่ยงภาษีนักหนา

ก่อนหน้านี้การจ่ายภาษีทีละก้อนโตสำหรับเขาแล้วเป็นไปไม่ได้เลย

ในอำเภอโหยวเฉิงนี้มีคนไม่มากนักหรอกที่มีรายได้ถึงเดือนละ 20,000 หยวน  ยอดรวมทั้งปีเสียภาษียังไงก็ไม่ถึงสองหมื่น

ส่วนฉินหลินนั้นยังเหลืออีก 300,000 กว่าซึ่งเป็นกำไรล้วน ๆ ไม่มีต้นทุน  เพราะงั้นเงินภาษีแค่สองหมื่นกว่านี้จิ๊บ ๆ

เมื่อคำนวณทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วเขาก็ล็อคอินเข้าเว็บสำนักงานจัดเก็บภาษีเพื่อยื่นภาษีออนไลน์

เมื่อยื่นแบบเสร็จแล้วก็แค่รอการตรวจสอบ

วันถัดไป

ฉินหลินตื่นแต่เช้าเปิดจอเกมเก็บเกี่ยวสตรอว์เบอร์รี่กับกระเจี๊ยบเขียวแล้วตีแปลงปลูกชุดใหม่

“ฮัฟ!!”

พอเปิดประตูห้องออกมาเจ้าวั่งไฉมันก็เห่าต้อนรับ

ฉินหลินลูบหัวมันเล่นด้วยรอยยิ้ม

เจ้าหมามันตื่นเช้ากว่ามานั่นรอให้เขาตื่นอยู่ที่หน้าประตูเป็นปกติ

กินข้าเช้าเสร็จก็จะออกไปลุยงานต่อ  เจ้าหมามันก็คาบสายจูงมายัดใส่มือให้ด้วยตัวเอง

หลังจากเอาหมาไปเก็บที่ร้านแล้วเขาก็ไปที่โกดังเช่าโหลดของขึ้นรถสามล้อบรรทุกแล้วเอาไปส่งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเหมือนเดิม  เสร็จแล้วก็กลับไปเฝ้าร้านในตลาดเหมือนเดิมอีก  และเมื่อเปิดคอมดูก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่การยื่นภาษีเมื่อวานนี้ผ่าน

ฉินหลินขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไปยังสำนักงานจัดเก็บภาษีของกรมสรรภากร

หลังจากยื่นภาษีผ่านแล้วเขาสามารถไปจ่ายภาษีที่สำนักงานจัดเก็บภาษีได้ทุกเวลาราชการ  แน่นอนว่าจ่ายออนไลน์ก็ได้เหมือนกันแค่ยื่นหลักฐานการจ่ายทางออนไลน์

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจ่ายภาษี  ดังนั้นมันต้องไปที่สำนักงานภาษีเป็นธรรมดาอยู่แล้วสิ

แต่ที่ฉินหลินคาดไม่ถึงเลยก็คือทันทีที่จอดรถเขาก็เห็นรถออดี้เจ้าเก่าเข้าซองจอดพร้อม ๆ กัน

เฉินฮ่าวลงจากรถพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนและตะลึงที่เห็นฉินหลินเหมือนกัน

ไม่นึกเลยว่าหลังจากกลับจากทำธุระกับเพื่อนร่วมงานแล้วจะมาป๊ะเข้ากับสามีของจ้าวโม่ชิงซะได้

หลังจากที่ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าเขาถึงสองครั้งทำให้เฉินฮ่าวไม่ค่อยชอบฉินหลิน

และเมื่อหันมองเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนแล้วเฉินฮ่าวก็ยิ้มทักทายฉินหลิน “เจอกันอีกแล้วนะครับ”

“รู้จักกันเหรอ” เพื่อนร่วมงานทั้งสองมองฉินหลินและหนึ่งในนั้นได้ถามขึ้นมา

เฉินฮ่าวยิ้มตอบ “จะว่ารู้จักก็ไม่เชิง  เป็นสามีของจ้าวโม่ชิงน่ะ”

เฉินฮ่าวมันตอบพลางยิ้มแปลก ๆ เหมือนจะมีแผนอะไร

พวกเพื่อนร่วมงานทั้งหลายเหล่านี้หลังจากที่รู้ว่าเฉินฮ่าวสนใจจ้าวโม่ชิงก็พากันเอาแต่ถามอยู่นั่นแหล่ะว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้วจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง

ดังนั้นตอนนี้จังหวะเหมาะเหม็งมาถึงไม่คว้าก็โง่  เฉินฮ่าวมันฉวยโอกาสนี้ประกาศให้ทุก ๆ คนรู้ว่าจ้าวโม่ชิงนั้นมีผัวแล้ว  แถมมีผัวขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าด้วย!

ในสังคมยุคปัจจุบันนี้ผู้ที่มีฐานะทางครอบครัวดีหน่อยจะผ่อนรถหลังจากเรียนจบในทันทีเลย  สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าบ้าบออะไร…  ไม่ขี่!

นอกจากนี้คนเป็นเมียอย่างจ้าวโม่ชิงที่ต้องซ้อนสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแบบนี้เมื่อมีคนรู้มันต้องมีอายบ้างแหล่ะหน่า  ใช่ปะ?

แล้วจากนี้ไปทุก ๆ คนจะได้ไม่ต้องมาสนใจว่าตัวมันจีบจ้าวโม่ชิงติดมั้ย  แต่จะโฟกัสไปที่จ้าวโม่ชิงว่าเป็นดอกไม้งามที่ปักอยู่บนกองขี้ควายแทน

ซึ่งการที่เจ้าเพื่อนทั้งสองนี่รู้มันต้องกระจายข่าวซุบซิบนินทาเรื่องนี้ออกไปอย่างไวอยู่แล้ว  เฉินฮ่าวรู้เรื่องนี้ดี

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฮ่าวเพื่อนร่วมงานทั้งสองต่างหันมองฉินหลินอย่างประหลาดใจอีกรอบ  เพราะว่าจ้าวโม่ชิงเป็นดอกไม้งามในสำนักงาน  ไม่มีใครคิดหรอกว่าเธอจะแต่งงานมีผัวไปแล้ว  แถมดูท่าผัวเธอจะไม่ใช่คนที่คู่ควรซะด้วย

ฉินหลินเองก็จำเฉินฮ่าวได้อยู่แล้ว  และไม่นึกด้วยว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายจะทักทายมาแบบนี้  เขาจึงพยักหน้าทักทายตอบอย่างสุภาพกลับไป “หวัดดีครับ”

“มารับโม่ชิงเหรอครับ?  แต่ว่านี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย!” เฉินฮ่าวดูเหมือนจะเตือนฉินหลิน  แต่เจตนาจริง ๆ คือบอกเพื่อนร่วมงานทั้งสองว่าจ้าวโม่ชิงมีผัวขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามารับบ่อย ๆ

“ผมพึ่งยื่นภาษีน่ะครับ  วันนี้เลยมาจ่าย” ฉินหลินเองก็ไม่ได้โง่  เขาจับน้ำเสียงที่ไม่หวังดีจากอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว  แต่ไม่คิดจะตีฝีปากอะไรเลยตอบอย่างสุภาพแล้วเดินเข้าอาคารไป

เฉินฮ่าวแอนด์เดอะแก๊งค์ได้แต่ยืนตะลึง

คนหนึ่งพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่พ่อค้าแม่ค้าผักผลไม้ต้องยื่นภาษีหนิ  ใช่ปะ?  หรือผัวจ้าวโม่ชิงจะเป็นพ่อค้าขายผักด้วย?  แต่ถึงขนาดเข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีได้นี่แสดงว่ารายได้ไม่เลวเลยน่ะสิ”

อีกคนก็เสริมว่า “อย่างน้อย ๆ ต้องเดือนละหมื่นขึ้นอะ  แค่นั้นในอำเภอเราก็ถือว่าสูงแล้วนะ  ถ้าธุรกิจดีมากก็อาจถึงเดือนละสองหมื่นบวก  รวยกว่าข้าราชการเขตเล็ก ๆ อย่างพวกเราอีก…”

‘เป็นไปได้ไงกัน?  ถ้าหาเงินได้เยอะขนาดนั้นทำไมต้องมาขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าต๊อกต๋อยด้วยล่ะ?’ เฉินฮ่าวขมวดคิ้วพึมพำในใจแล้วมองเจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าต๊อกต๋อยคันเก่า ๆ

ให้ถูกตีจนตายก็ไม่เชื่อ!

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด