บทที่ 17: จ่ายภาษีครั้งแรกในชีวิต! ไห้ถูกตีจนตายก็ไม่เชื่อ!
ตกกลางคืน
กินข้าวเย็นเสร็จฉินหลินก็มาเล่นกับเจ้าวั่งไฉอยู่พักหนึ่ง เจ้าหมานี่หลังจากที่ถูกรับมาเลี้ยงแล้วมันก็เกาะหนึบแถมยังประจบประแจงเก่งมาก มักจะมองคนในบ้านด้วยนัยน์ตาที่เปียกชุ่มชอบเอาหัวมาถูกขาคนทำให้อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปลูบหัวให้มัน
เล่นหมาเสร็จก็กลับเข้าห้องเปิดหน้าจอเกม ต้นสตรอว์เบอร์รี่กับต้นกระเจี๊ยบเขียวในเกมเฉาหน่อย ๆ ต้องรดน้ำให้
ฉินหลินบังคับตัวละครในเกมให้เอาถังน้ำกับบัวรดน้ำตักน้ำไปรดให้ จากนั้นก็คุยวีแชทกับจ้าวโม่ชิง
ชีวิตแบบนี้วนผ่านไปอีกสองวัน
วันนี้
ในตอนเช้าฉินหลินส่งสตรอว์เบอร์รี่และกระเจี๊ยบเขียวที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็กลับไปเฝ้าร้านที่ตลาดโดยตอนนี้กำลังหัวหมุนอยู่หน้าจอคอม
เพราะถึงเวลาที่ร้านผักผลไม้ต้องยื่นภาษีแล้ว
การยื่นภาษีไม่ใช่การจ่ายภาษี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือผู้ประกอบการรายย่อยทั้งหลายแม้จะมีรายได้ไม่ถึงจึงไม่ต้องจ่ายภาษีก็ตาม แต่ก็ต้องยื่นภาษีให้สรรพากรตรวจสอบอยู่ดี
การยื่นภาษีคือการรายงานผลการประกอบการอย่างรายรับ รายจ่าย และอื่น ๆ ที่สำนักงานตรวจสอบภาษี ถ้าไม่มีรายได้ถึงหรือมีองค์ประกอบตรงตามที่กฎหมายกำหนดก็ไม่ต้องเสียภาษี
ส่วนฉินหลินนั้นสืบทอดร้านนี้มาได้ประมาณหนึ่งปี ดังนั้นเรื่องการทำแบบยื่นภาษีจึงเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเลย
อีกทั้งสถานการณ์ของร้านขายผักผลไม้ยังมีนโยบายพิเศษของทางอำเภอรองรับ คือหากยอดขายต่อเดือนไม่ถึง 100,000 หยวนก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยังมีนโยบายสนับสนุนท้องถิ่นรองรับอีกชั้นหนึ่งด้วยคือหากยอดขายไม่เกิน 50,000 หยวนก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี
ร้านขายผักผลไม้เล็ก ๆ ของครอบครัวเขามีรายได้น้อยกว่า 10,000 หยวนต่อเดือน หลังจากจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ เหลือกำไรสุทธิประมาณ 25% ซึ่งไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษี
หรือก็คือตั้งแต่ทำงานในร้านนี้มาเขายังไม่เคยจ่ายภาษีเลยแม้แต่แดงเดียวเพราะรายได้ไม่ถึงนั่นแหล่ะ! แต่เขาที่เป็นแบบนั้นก็ยังได้สิทธิ์ในการประกันสุขภาพและสวัสดิการแห่งรัฐอีกหลายอย่าง เรียกเขาว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นตัวถ่วงของประเทศก็ไม่ผิดนัก
ซึ่งเขาละอายใจมาก!
แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ยื่นภาษีทุกเดือนตามหน้าที่ที่ต้องทำอยู่เสมอ
ภาษีท้องถิ่นได้กำหนดวันยื่นภาษีคือภายในสองวันนี้สำหรับผู้ประกอบกิจการค้าขายอิสระประเภทผักผลไม้
เมื่อก่อนเขามีเงินนิดเดียวจะยื่นภาษีไม่ครบหรือทำลวก ๆ ไปก็ไม่มีปัญหา เพราะยังไงมันก็ไม่ถึงเกณฑ์อยู่แล้ว และใคร ๆ เขาก็ทำกัน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะยื่นภาษีครั้งนี้เขาต้องเสียภาษีอย่างแน่นอน
เพราะว่าจู่ ๆ เงินฝากในบัญชีเขามันเพิ่มขึ้นเกิน 4,000 หยวนในเวลาอันสั้น และมันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตด้วย หากครั้งนี้ไม่ทำให้ครบต่อไปเกิดถูกทางธนาคารตรวจสอบที่มาของเงินแล้วลากสรรพากรมาพ่วงด้วยล่ะก็รับรองว่าโคตรลำบาก
และการจะจ่ายภาษีนั้นเขาต้องคำนวณและจัดระเบียบใบแจ้งหนี้ทั้งหมดในช่วงนี้ให้เรียบร้อย
การทำบัญชีของเขาค่อนข้างลำบากเล็กน้อย ผู้ประกอบการรายย่อยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทว่าเมื่อรายได้เกินขอบเขตการยกเว้นภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วเขาจะต้องเสียภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่ม
รายละเอียดก็ประมาณว่า:
กำไรสุทธิไม่เกิน 30,000 หยวน เสียภาษี 5%
30,000 หยวนถึง 90,000 หยวน เสียภาษี 10% + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3%
90,000 หยวนถึง 300,000 หยวน เสียภาษี 20% + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3%
ฉินหลินเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ร้านผักผลไม้ของตนต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่
แม้ว่าเขาจะมีรายได้มากกว่า 400,000 หยวนจากการค้าขายไร้ต้นทุน แต่จะให้ไปแจ้งโง่ ๆ ว่าไม่มีต้นทุนครับได้ยังไงเล่า!
แม้ว่าเขาจะยื่นภาษีโดยแจ้งว่าไม่มีต้นทุน ทางพนักงานตรวจสอบก็อาจทำเหมือนเขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องภาษีและช่วยสอนวิธีคำนวณต้นทุนกำไรให้เขาอย่างแน่นอน และแม้ว่าฉินหลินจะยินดีจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นโดยรายงานว่าไม่มีต้นทุนก็ตาม ทว่าเหล่าเจ้าพนักงานก็ไม่กล้าเก็บภาษีที่ดูผิดปกติแบบนั้นอย่างแน่นอน
ถ้าเอาจริง ๆ ก็คือคงไม่มีใครโง่ถึงขนาดยื่นภาษีแบบไร้ต้นทุนด้วยแหล่ะ
ดังนั้นเขาจึงต้องจัดระเบียบบัญชีให้ดีให้เนียนมากพอที่จะเอาไปยื่นแล้วไม่มีพิรุธได้
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันทั้งไหล่ทั้งคอก็ปวดไปหมด ฉินหลินใช้โปรแกรมในคอมช่วยคำนวณบิลในบัญชี
ในช่วงนี้บวกกับรายได้ของวันนี้เขาขายแตงโมได้ 186,977 หยวน กำไรสุทธิที่เมคต้นทุนขึ้นมาอยู่ที่ 35,265 หยวน ขายสตรอว์เบอร์รี่ได้ 147,753 หยวน กำไรสุทธิที่เมคต้นทุนขึ้นมาอยู่ที่ 36,938 หยวน ขายกระเจี๊ยบเขียวได้ 135,165 หยวน กำไรสุทธิที่เมคต้นทุนขึ้นมาอยู่ที่ 33,791 หยวน
หรือก็คือจากกำไรกว่า 400,000 หยวนเต็ม ๆ แบบไร้ต้นทุน หลังจากเมคต้นทุนตามราคาตลาดใส่ลงไปแล้วจะได้กำไรที่จะเอาไปยื่นภาษีอยู่ที่ 105,994 หยวน
หรือก็คือเขาต้องจ่ายภาษีตามเกณ์ที่กำหนดไว้ว่ารายได้ 90,000 – 300,000 หยวน เสียภาษี 20% + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3% รวมเป็นเงิน 24,378 หยวน
เป็นธรรมดาของภาษี ยิ่งได้มากก็ยิ่งจ่ายมาก ไม่น่าแปลกใจที่คนมากมายอยากเลี่ยงภาษีนักหนา
ก่อนหน้านี้การจ่ายภาษีทีละก้อนโตสำหรับเขาแล้วเป็นไปไม่ได้เลย
ในอำเภอโหยวเฉิงนี้มีคนไม่มากนักหรอกที่มีรายได้ถึงเดือนละ 20,000 หยวน ยอดรวมทั้งปีเสียภาษียังไงก็ไม่ถึงสองหมื่น
ส่วนฉินหลินนั้นยังเหลืออีก 300,000 กว่าซึ่งเป็นกำไรล้วน ๆ ไม่มีต้นทุน เพราะงั้นเงินภาษีแค่สองหมื่นกว่านี้จิ๊บ ๆ
เมื่อคำนวณทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วเขาก็ล็อคอินเข้าเว็บสำนักงานจัดเก็บภาษีเพื่อยื่นภาษีออนไลน์
เมื่อยื่นแบบเสร็จแล้วก็แค่รอการตรวจสอบ
วันถัดไป
ฉินหลินตื่นแต่เช้าเปิดจอเกมเก็บเกี่ยวสตรอว์เบอร์รี่กับกระเจี๊ยบเขียวแล้วตีแปลงปลูกชุดใหม่
“ฮัฟ!!”
พอเปิดประตูห้องออกมาเจ้าวั่งไฉมันก็เห่าต้อนรับ
ฉินหลินลูบหัวมันเล่นด้วยรอยยิ้ม
เจ้าหมามันตื่นเช้ากว่ามานั่นรอให้เขาตื่นอยู่ที่หน้าประตูเป็นปกติ
กินข้าเช้าเสร็จก็จะออกไปลุยงานต่อ เจ้าหมามันก็คาบสายจูงมายัดใส่มือให้ด้วยตัวเอง
หลังจากเอาหมาไปเก็บที่ร้านแล้วเขาก็ไปที่โกดังเช่าโหลดของขึ้นรถสามล้อบรรทุกแล้วเอาไปส่งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเหมือนเดิม เสร็จแล้วก็กลับไปเฝ้าร้านในตลาดเหมือนเดิมอีก และเมื่อเปิดคอมดูก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่การยื่นภาษีเมื่อวานนี้ผ่าน
ฉินหลินขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไปยังสำนักงานจัดเก็บภาษีของกรมสรรภากร
หลังจากยื่นภาษีผ่านแล้วเขาสามารถไปจ่ายภาษีที่สำนักงานจัดเก็บภาษีได้ทุกเวลาราชการ แน่นอนว่าจ่ายออนไลน์ก็ได้เหมือนกันแค่ยื่นหลักฐานการจ่ายทางออนไลน์
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจ่ายภาษี ดังนั้นมันต้องไปที่สำนักงานภาษีเป็นธรรมดาอยู่แล้วสิ
แต่ที่ฉินหลินคาดไม่ถึงเลยก็คือทันทีที่จอดรถเขาก็เห็นรถออดี้เจ้าเก่าเข้าซองจอดพร้อม ๆ กัน
เฉินฮ่าวลงจากรถพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนและตะลึงที่เห็นฉินหลินเหมือนกัน
ไม่นึกเลยว่าหลังจากกลับจากทำธุระกับเพื่อนร่วมงานแล้วจะมาป๊ะเข้ากับสามีของจ้าวโม่ชิงซะได้
หลังจากที่ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าเขาถึงสองครั้งทำให้เฉินฮ่าวไม่ค่อยชอบฉินหลิน
และเมื่อหันมองเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนแล้วเฉินฮ่าวก็ยิ้มทักทายฉินหลิน “เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“รู้จักกันเหรอ” เพื่อนร่วมงานทั้งสองมองฉินหลินและหนึ่งในนั้นได้ถามขึ้นมา
เฉินฮ่าวยิ้มตอบ “จะว่ารู้จักก็ไม่เชิง เป็นสามีของจ้าวโม่ชิงน่ะ”
เฉินฮ่าวมันตอบพลางยิ้มแปลก ๆ เหมือนจะมีแผนอะไร
พวกเพื่อนร่วมงานทั้งหลายเหล่านี้หลังจากที่รู้ว่าเฉินฮ่าวสนใจจ้าวโม่ชิงก็พากันเอาแต่ถามอยู่นั่นแหล่ะว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้วจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง
ดังนั้นตอนนี้จังหวะเหมาะเหม็งมาถึงไม่คว้าก็โง่ เฉินฮ่าวมันฉวยโอกาสนี้ประกาศให้ทุก ๆ คนรู้ว่าจ้าวโม่ชิงนั้นมีผัวแล้ว แถมมีผัวขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าด้วย!
ในสังคมยุคปัจจุบันนี้ผู้ที่มีฐานะทางครอบครัวดีหน่อยจะผ่อนรถหลังจากเรียนจบในทันทีเลย สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าบ้าบออะไร… ไม่ขี่!
นอกจากนี้คนเป็นเมียอย่างจ้าวโม่ชิงที่ต้องซ้อนสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแบบนี้เมื่อมีคนรู้มันต้องมีอายบ้างแหล่ะหน่า ใช่ปะ?
แล้วจากนี้ไปทุก ๆ คนจะได้ไม่ต้องมาสนใจว่าตัวมันจีบจ้าวโม่ชิงติดมั้ย แต่จะโฟกัสไปที่จ้าวโม่ชิงว่าเป็นดอกไม้งามที่ปักอยู่บนกองขี้ควายแทน
ซึ่งการที่เจ้าเพื่อนทั้งสองนี่รู้มันต้องกระจายข่าวซุบซิบนินทาเรื่องนี้ออกไปอย่างไวอยู่แล้ว เฉินฮ่าวรู้เรื่องนี้ดี
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฮ่าวเพื่อนร่วมงานทั้งสองต่างหันมองฉินหลินอย่างประหลาดใจอีกรอบ เพราะว่าจ้าวโม่ชิงเป็นดอกไม้งามในสำนักงาน ไม่มีใครคิดหรอกว่าเธอจะแต่งงานมีผัวไปแล้ว แถมดูท่าผัวเธอจะไม่ใช่คนที่คู่ควรซะด้วย
ฉินหลินเองก็จำเฉินฮ่าวได้อยู่แล้ว และไม่นึกด้วยว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายจะทักทายมาแบบนี้ เขาจึงพยักหน้าทักทายตอบอย่างสุภาพกลับไป “หวัดดีครับ”
“มารับโม่ชิงเหรอครับ? แต่ว่านี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย!” เฉินฮ่าวดูเหมือนจะเตือนฉินหลิน แต่เจตนาจริง ๆ คือบอกเพื่อนร่วมงานทั้งสองว่าจ้าวโม่ชิงมีผัวขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามารับบ่อย ๆ
“ผมพึ่งยื่นภาษีน่ะครับ วันนี้เลยมาจ่าย” ฉินหลินเองก็ไม่ได้โง่ เขาจับน้ำเสียงที่ไม่หวังดีจากอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดจะตีฝีปากอะไรเลยตอบอย่างสุภาพแล้วเดินเข้าอาคารไป
เฉินฮ่าวแอนด์เดอะแก๊งค์ได้แต่ยืนตะลึง
คนหนึ่งพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่พ่อค้าแม่ค้าผักผลไม้ต้องยื่นภาษีหนิ ใช่ปะ? หรือผัวจ้าวโม่ชิงจะเป็นพ่อค้าขายผักด้วย? แต่ถึงขนาดเข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีได้นี่แสดงว่ารายได้ไม่เลวเลยน่ะสิ”
อีกคนก็เสริมว่า “อย่างน้อย ๆ ต้องเดือนละหมื่นขึ้นอะ แค่นั้นในอำเภอเราก็ถือว่าสูงแล้วนะ ถ้าธุรกิจดีมากก็อาจถึงเดือนละสองหมื่นบวก รวยกว่าข้าราชการเขตเล็ก ๆ อย่างพวกเราอีก…”
‘เป็นไปได้ไงกัน? ถ้าหาเงินได้เยอะขนาดนั้นทำไมต้องมาขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าต๊อกต๋อยด้วยล่ะ?’ เฉินฮ่าวขมวดคิ้วพึมพำในใจแล้วมองเจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าต๊อกต๋อยคันเก่า ๆ
ให้ถูกตีจนตายก็ไม่เชื่อ!