ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 180 ความตายของนักพรตผีดิบ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 180 ความตายของนักพรตผีดิบ
แปลโดย iPAT
“ปัง ปัง ปัง ปัง!”
จอมยุทย์ขั้นหกนักพรตผีดิบผู้ยิ่งใหญ่กลายเป็นกระสอบทราย เขาถูกโยนไปรอบๆโดยผีดิบเหล็กไหล เหตุผลที่เขาไม่ตายทันทีเพียงเพราะพลังปราณที่ปกป้องเขาอยู่ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของผีดิบเหล็กไหล แม้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ เขาก็เป็นเพียงของเล็กของเสี่ยวอันได้นานอีกเล็กน้อยเท่านั้น
แรกเริ่ม ห่าวปิงหยางและอีกสองคนยังให้กำลังใจเสี่ยวอันกับผีดิบเหล็กไหล แต่ตอนนี้พวกเขาตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ เหงื่อเย็นเยียบปกคลุมอยู่บนแผ่นหลังของพวกเขา มันดูเหมือนนักพรตผีดิบไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ของผีดิบเหล็กไหลออกมาก่อนหน้านี้ หากเขาใช้ พวกเขาทั้งห้าคงตายไปนานแล้วแม้พวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม
หลี่ฉิงซานเข้าไปช่วยห่าวปิงหยาง เขาป้อนเม็ดยาฟื้นฟูและเม็ดยารวบรวมพลังปราณให้ฝ่ายหลัง “พี่ห่าว เป็นอย่างไรบ้าง?” จากนั้นเขาก็มองไปที่ซากศพของจินหยวนและจินเป่า “ข้ามาช้าเกินไป”
ห่าวปิงหยางขอบคุณหลี่ฉิงซานอย่างยากลำบาก หลังจากภัยคุกคามแห่งความตายลดลง ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าก็พุ่งเข้าโจมตีเขาทันที
“พักผ่อนก่อนเถอะ” หลี่ฉิงซานตบไหล่ห่าวปิงหยางขณะที่ฝ่ายหลังเริ่มนั่งลงและทำสมาธิ
จากนั้นหลี่ฉิงซานก็ปล่อยจางหลานฉิงและเหออี้ซื่อออกจากเชือก แน่นอนว่าสถานการณ์ของพวกเขาไม่ต่างจากห่าวปิงหยาง จางหลานฉิงยังสามารถฝืนกล่าวคำขอบคุณออกมาขณะที่เหออี้ซื่อตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะที่ปากของเขาอ้าค้างเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้น ในทางตรงข้าม เขาอยากมุดลงไปใต้ดินและซ่อนตัวตลอดไป
หลี่ฉิงซานกล่าวกับเสี่ยวอัน “พอแล้ว!”
ผีดิบเหล็กไหลจับศีรษะของนักพรตผีดิบและทุบลงบนพื้น
แรกเริ่ม นักพรตผีดิบยังพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะต่อต้าน เลือดไหลท่วมศีรษะของเขา นี่ไม่ใช่การต่อสู้อีกต่อไปแต่เป็นการเล่นสนุกของเด็กน้อยเพียงฝ่ายเดียว
เสี่ยวอันไม่ได้เกลียดชังความชั่วร้ายเหมือนหลี่ฉิงซาน สำหรับนาง ชีวิตของนักพรตผีดิบไม่ต่างจากชีวิตของมดแดงหรือมดดำเหล่านั้น แน่นอนว่านักพรตผีดิบดีกว่าเล็กน้อยเพราะเขาเป็นของเล่นที่เล่นได้นานกว่าและยังอร่อย
ผีดิบเหล็กไหลหยุดนิ่ง เสี่ยวอันมองไปที่หลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานส่งสัญญาณโดยการลากนิ้วผ่านลำคอของเขา นักพรตผีดิบที่ยังมีสติเหลืออยู่เงยหน้าที่เปื้อนเลือดขึ้นและมองไปยังเสี่ยวอัน “เป็นเจ้า...เป็นเจ้า...” บางทีมันอาจเป็นแรงบันดาลใจสุดท้ายก่อนตาย แต่ตอนนี้เขามั่นใจมากว่านางคือคนที่นำศพทั้งหมดออกจากหลุมที่เมืองวายุบรรพกาล นางไม่ใช่เด็กธรรมดาแต่เป็นสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าผีดิบเหล็กไหล
เสียงของเขาหยุดลง กรงเล็บเหล็กเคลื่อนผ่านลำคอของนักพรตผีดิบและทำให้เลือดสาดกระเซ็นออกมา อย่างไรก็ตามนักพรตผีดิบยังมีชีวิตอยู่ เขายังจ้องมองไปที่เสี่ยวอัน
ผีดิบเหล็กไหลกัดไปที่ลำคอของเขาและสูบเลือดของเขาจนแห้ง เลือดของนักพรตผีดิบไหลเข้าสู่ร่างกายของมันและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ในขณะเดียวกันร่างของนักพรตผีดิบก็เหี่ยวแห้งเหมือนกล่องน้ำผลไม้ที่ว่างเปล่า
ดวงตาของห่าวปิงหยางเบิกกว้าง เขาเคยคิดว่านักพรตผีดิบที่เจ้าเล่ห์และทรงพลังจะมีจบจบเช่นนี้ แต่เขาก็เชื่อว่าการฆ่านักพรตผีดิบไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงเขากลับเป็นได้เพียงของเล่นในมือของผู้แข็งแกร่งเท่านั้น แม้เขาจะอยากตาย เขาก็ยังไม่สามารถตายได้อย่างง่ายดาย
หลี่ฉิงซานเคยสัมผัสถึงความรู้สึกเช่นนี้มาแล้วและเขาสาบานว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง นี้คือสิ่งที่ผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ห่าวปิงหยางและอีกสองคนกำลังทำสมาธิและพักผ่อน หลี่ฉิงซานกวาดมองไปรอบๆและค้นพบห้องหลายห้อง
มีห้องนอนที่มีเครื่องเรือนและของตกแต่งที่งดงาม นอกจากนั้นยังมีห้องครัวและเตาไฟ ดูเหมือนแม้แต่นักพรตผีดิบก็ยังชอบกินอาหารที่ปรุงสุก เขารู้วิธีใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้พิภพอย่างแท้จริง
มีห้องเก็บโลงศพหินหนึ่งห้อง ห้องที่เหลือมีไว้เก็บซากศพ มันเต็มไปด้วยซากศพที่รอการปรับแต่งหรือได้รับการปรับแต่งแล้วในระดับหนึ่ง ศพหลายร้อยศพถูกทิ้งไว้ให้เสี่ยวอัน พวกมันถูกเพลิงสีแดงและเพลิงสีขาวกลืนกิน
หลี่ฉิงซานรู้ว่านางกำลังสร้างลูกประคำหัวกะโหลกชิ้นที่สอง นางได้รับประโยชน์อย่างมากจากภารกิจนี้ เพียงผีดิบที่นางกลืนกินเข้าไปก็มีจำนวนหลักร้อยไปแล้ว นอกจากนั้นยังมีจ้าวจื่อป๋อและผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่เทียบเท่ากับคนธรรมดาหลายร้อยคน สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะบนเส้นทางกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ของนางเป็นอย่างมาก
ด้วยประสบการณ์ในอดีตและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น นางจึงสามารถหลอมสร้างมันขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงชั่วครู่ ของเหลวสีขาวก็หลอมรวมเป็นลูกประคำหัวกะโหลกและเต้นรำอยู่ในมือของนางพร้อมกับลูกประคำหัวกะโหลกชิ้นเดิม
ลูกประคำหัวกะโหลกชิ้นที่สอง!
พลังและความว่องไวของลูกประคำหัวกะโหลกเหนือกว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลางมาก โดยทั่วไปเหล่าจอมยุทธ์จะควบคุมสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณเพียงหนึ่งชิ้น หากพวกเขาใช้มากกว่านั้น ความสามารถในการควบคุมของพวกเขาจะลดลง มันจะไม่เป็นประโยชน์เท่ากับการใช้เพียงหนึ่งเดียว เว้นเพียงสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณเหล่านั้นจะมาเป็นชุด อย่างไรก็ตามสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่มาเป็นชุดหายากและพวกมันก็อาจไม่ว่องไวเหมือนสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณชิ้นเดี่ยว
ลูกประคำหัวกะโหลกเชื่อมโยงกับจิตใจของเสี่ยวอัน โดยพื้นฐานแล้วพวกมันก็คือร่างแยกของนาง พวกมันทั้งว่องไวและฉลาดมาก เมื่อประกอบลูกประคำหัวกะโหลกจนครบความต้องการขั้นต่ำของมันซึ่งก็คือสิบสี่ชิ้น มันจะยิ่งทรงพลังและเพียงพอที่จะทำลายล้างจอมยุทธ์ทุกคน
ด้วยความอัจศจรรย์ของเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ เสี่ยวอันจึงเติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ตอนนี้นางสามารถบดขยี้จอมยุทธ์ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย เมื่อนางบ่มเพาะถึงระดับสูงขึ้นไป นางจะสามารถปราบปรามศัตรูที่เหนือกว่า
หลี่ฉิงซานลูบศีรษะของเสี่ยวอัน “ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ”
หมัดปีศาจวัว กรงเล็บปีศาจพยัคฆ์ และจิตวิญญาณเต่าล้วนเป็นทักษะที่ทรงพลัง เมื่อหลี่ฉิงซานฝึกฝนพวกมันพร้อมกัน ความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังแย่กว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์
เสี่ยวอันกดแก้มของนางเข้ากับหลังมือของเขาเพื่อปลอบโยน
หลี่ฉิงซานหยิกแก้มเนียนนุ่มของนางและเผยรอยยิ้ม “ข้าต้องทำงานหนักต่อไปเช่นกัน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้านำหน้า ไปกันเถอะ!”
ด้วยสมบัติที่เขาได้รับในครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอย่างแน่นอน เขาต้องการเปิดแหวนมิติให้เร็วที่สุดและดูว่าวัวดำทิ้งสิ่งใดไว้ให้เขา
ทั้งสองเดินกลับไปตามเส้นทางเดิม ห่าวปิงหยางและอีกสองคนได้รับกระเป๋าร้อยสมบัติคืนของตนกลับคืนแล้วและสามารถใช้เม็ดยาที่อยู่ภายใน
ห่าวปิงหยางกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณเจ้าอย่างไร ในอนาคต หากเจ้าต้องการสิ่งใด เพียงบอกข้า ไม่ว่ามันจะอันตรายหรือยากเพียงใด ข้าก็จะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว!”
หลี่ฉิงซานกล่าว “พี่ห่าว ท่านใจดีเกินไป น่าเสียดายที่ข้ามาไม่ทัน...”
ใบหน้าของห่าวปิงหยางกลายเป็นมืดมน เขาถอนหายใจอย่างหนัก ในฐานะผู้นำของภารกิจ เขารู้สึกละอายใจมากกับการตายของจินหยวนและจินเป่า อย่างไรก็ตามหากคนทั้งสองไม่ละทิ้งพวกเขาก่อน พวกเขาคงอยู่รอดจนถึงเวลาที่หลี่ฉิงซานมาถึงแม้นักพรตผีดิบจะจับพวกเขาได้ก็ตาม
หลี่ฉิงซานกล่าว “โปรดอย่าโศกเศร้า พี่ห่าว เราไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของผู้ใดเมื่อเราออกมาปฏิบัติภารกิจ ท่านทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว”
ห่าวปิงหยางมอบกระเป๋าร้อยสมบัติใบหนึ่งให้หลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานอุทาน “นี่คือกระเป๋าร้อยสมบัติของนักพรตผีดิบ!” แน่นอนว่ากระเป๋าร้อยสมบัติของจอมยุทธ์ขั้นหกย่อมน่าประทับใจ
“เราจะแบ่งกัน!”
ห่าวปิงหยางหยิบตำราสองสามเล่มออกมาจากกระเป๋าร้อยสมบัติก่อนจะส่งคืนให้หลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจ “หือ!?” แน่นอนว่านักพรตผีดิบไม่ได้ยากจน!
ห่าวปิงหยางอธิบาย “ทุกอย่างในกระเป๋าร้อยสมบัติควรเป็นของเจ้า ภารกิจของเราคือการนำวิธีการปรับแต่งและดูแลศพกลับไปให้ท่านอาจารย์และสำนัก นั่นคือเหตุผลที่ข้าเลือกตำราเหล่านี้ หากเจ้าต้องการ ข้าจะทำสำเนาให้เจ้าเมื่อเราออกไป ยังมีอีกหลายสิ่งอยู่ภายใน ข้าไม่ได้ตรวจสอบพวกมันอย่างละเอียด” ขณะที่เขากล่าว เขาก็ยัดกระเป๋าร้อยสมบัติใส่มือของหลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานปฏิเสธ “ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะเหล่านี้ สำหรับของอย่างอื่น ข้าจะรับไว้เพียงสามสิบส่วนตามที่เราตกลงกันไว้”
ห่าวปิงหยางกล่าว “อย่ากล่าวเช่นนั้น หากเจ้าไม่รับไว้ มันจะเป็นการดูถูกข้า” หลังจากทั้งหมดหลี่ฉิงซานเป็นผู้จัดการนักพรตผีดิบ พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันโชคดีมากแล้วที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ห่าวปิงหยางจะไม่ลดศักดิ์ศรีของตนโดยการฉกฉวยผลประโยชน์จากหลี่ฉิงซาน
จางหลานฉิงกล่าวแทรก “ฉินซาน เพียงรับมันไว้ เจ้าสมควรได้รับทั้งหมด”
เหออี้ซื่อไม่กล่าวสิ่งใดและก้มหน้าลง เขาไม่กล้าพูด หลังจากทำตัวโง่เขลาไปแล้ว เขารู้สึกอับอายอย่างที่สุด ตอนนี้ห่าวปิงหยางและจางหลานฉิงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาไม่ขอความคิดเห็นจากเขา นั่นทำให้เขาทั้งรู้สึกผิดและไม่พอใจอยู่ภายใน
หลี่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ดื้อรั้นอีก”
ห่าวปิงหยางรู้สึกผ่อนคลายลง “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ!” เขาเก็บศพของคู่พี่น้องจินไว้ในกระเป๋าร้อยสมบัติเพื่อนำกลับไปฝัง
หลี่ฉิงซานนำศพของนักพรตผีดิบที่มีมูลค่าเท่ากับเม็ดยารวบรวมพลังปราณหลายร้อยเม็ดเอาไว้ อย่างไรก็ตามผีดิบเหล็กไหลไม่สามารถเก็บในกระเป๋าร้อยสมบัติ นอกจากนั้นรูปลักษณ์ของมันก็น่ากลัวเกินไป สุดท้ายเขาจึงต้องใช้หมวกไม้ไผ่และชุดฟางเพื่อปกปิดรูปลักษณ์ของมันก่อนจะให้มันเดินตามไปด้านหลัง
เรือนำพวกเขาเดินทางทวนกระแสน้ำกลับไปออกไป
แม้มันจะไม่ตึงเครียดและน่ากลัวเหมือนตอนที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ แต่บรรยากาศกลับหนักหนากว่ามาก คนทั้งสามล้วนมีความคิดที่หลากหลายอยู่ในใจ พวกเขาไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุย
มีเพียงเสียงน้ำที่ไหลรินและสาดกระเซ็นอยู่ในความมืด
หลี่ฉิงซานพิงกาบเรือและชื่นชมถ้ำ แต่ทันใดนั้นหน้าอกของเขาก็รู้สึกอุ่นขึ้นเมื่อเสี่ยวอันพิงเขาอย่างเงียบๆ
หลี่ฉิงซานยิ้มและลูบผมของนางอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมจางๆทำให้หัวใจของเขาค่อยๆสงบลง
ทันใดนั้นแสงสายหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด!