ตอนที่ 857 ความภูมิใจ ตั้งใจสู้และทางลับ
แม้ว่าพื้นจะสั่นสะเทือนเสียงหวีดหวิวดังขึ้นจากคลื่นบรอนซ์ สีหน้าของมู่จือเสียไม่เปลี่ยน
เขายังคงถือกระบี่และยืนนิ่งเหมือนกับรูปปั้นไม่มีการขยับเคลื่อนไหว
แต่เมื่อเขาเห็นดาบทั้งสี่ของราชันย์เจมินี่ที่ยื่นออกมาในแนวตั้งฉากตัดกันกลายเป็นรูปไม้กางเขนมู่จือเสียหรี่ตาทันที
แสงกางเขนสีเขียวและแดงตัดกันดูงดงาม
รัศมีเขียวและแดงทั้งหมดที่ฉายออกมาจากหุ่นจักรกลรวมกันเป็นรูปไม้กางเขน
ซี่....
เสียงกระหึ่มของดาบทุกคนสามารถได้ยินได้ แม้ว่ารอบๆ จะมีเสียงสั่นสะเทือน
ในวินาทีต่อมากางเขนเขียวแดงปรากฏอยู่ต่อหน้ามู่จือเสีย
กระบี่ของมู่จือเสียชี้ตรงไปข้างหน้าอยู่แล้ว แสงในดวงตาของเขาฉายกระจายไปข้างหน้าขณะที่รับกางเขนเขียวแดงด้วยแรงไสจากกระบี่ของเขาทะเลพลังงานที่มีกระแสไหลช้าจนดูเหมือนเหือดแห้งพุ่งเข้าปลายกระบี่ของเขาอย่างฉับพลัน พลังงานถูกบีบอัดเต็มที่อย่างต่อเนื่อง
จุดแสงบนปลายกระบี่สว่างขึ้นในระดับที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
ความสว่างของมันเพิ่มขึ้นในทันที ในพริบตาก็สว่างสดใสเหมือนดวงอาทิตย์เปล่งแสงสีขาวแพรวพราวทำให้พื้นที่ทั้งหมดเป็นสีขาวรวมทั้งหน้าของมู่จือเสียด้วย
มู่จือเสียยังคงสงบ แต่รัศมีที่ปล่อยออกมาจากร่างของเขาระเบิดออกทันทีเหมือนสัตว์ใต้ทะเลผุดขึ้นมาจากน้ำ
แสงที่สะท้อนบนใบหน้าของเขาหมองลงเล็กน้อย และขณะแสงหมองลงเม็ดผลึกพลังงานเล็กๆ ปรากฏอยู่ที่ปลายกระบี่ของเขาสิ่งเหล่านี้คือผลึกพลังงานที่สร้างขึ้นโดยการบีบอัดพลังงานจนมีสภาพเป็นของแข็ง
ผลึกพลังงานทรงกลมสีขาวเหมือนหิมะปล่อยแสงสีขาวเลือนลางที่อบอุ่นโดยไม่มีรัศมีข่มดูสบายจนบอกไม่ถูก
เมื่อผลึกพลังงานปรากฏ พลังงานทั้งหมดในกระบวนศึกก็มีชีวิตชีวาทันที
ผลึกพลังงานสีขาวหิมะยังคงสว่างขึ้นไปตามปลายกระบี่ทำให้มันดูเหมือนว่ากระบี่ค่อยๆสว่างไล่ไปตามความยาวอย่างช้าๆ
ลำแสงสีขาวดุจหิมะยิงเข้าไปในใจกลางกางเขนเขียวแดงด้วยความเร็วแสง
กระบี่ที่เป็นผลึกสีขาวมีความอบอุ่นมากขณะที่กางเขนเขียวแดงมืดมิดและเย็นเสียดกระดูก
เวลาดูเหมือนจะคืบคลานช้าลง
หลังจากเวลาผ่านไปเท่าใดไม่ทราบ
กางเขนเขียวแดงเข้าและเย็นยะเยียบก็สลายเหมือนขนมกรอบ
ขณะเดียวกันตัวกระบี่ผลึกขาวหิมะก็สลายไปด้วย
รัศมีเขียวและแดงปลิวออกไปทุกทิศทางบดขยี้ใส่รัศมีแตกกระจายสีขาว เป็นแนวตัดกันชัดเจนระหว่างทั้งสอง เกิดเสียงดังในทันทีทันใด รัศมีสีเขียวแดงที่แตกกระจายกระเด็นออกไปด้านหลังของกองทัพกางเขนใต้ รัศมีขาวที่แตกกระจายกระเด็นกลับไปยังกองทัพของมู่จือเสียในลักษณะเดียวกัน
การตัดสินใจของทั้งสองกองทัพแตกต่างกัน
เมื่อเผชิญกับรัศมีขาวหิมะที่กำลังสะท้อนกลับมาถึงกองทัพของมู่จือเสียยังคงไม่เคลื่อนไหวเหมือนรูปปั้นรัศมีขาวที่แตกกระจายดูเหมือนจะปะทะเข้ากำแพงเหล็กทำให้รัศมีแตกกระจายเป็นสองส่วนกวาดผ่านไปด้านข้างของรูปกระบวนศึก
เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีเขียวแดงที่แตกกระจายกองทัพดาวกางเขนใต้ฉวยโอกาสถอยอย่างสง่างาม
ประสิทธิภาพของกองทัพของมู่จือเสียก็น่าสรรเสริญ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ แต่การกระทำของกองทัพกางเขนใต้ทำให้พวกเขาอุทานตกใจเป็นเรื่องยากจะจินตนาการว่าหุ่นจักรกลที่ใหญ่และดูงุ่มง่ามจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสง่างาม นอกจากนี้ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่เป็นทั้งกองทัพ
การโจมตีครั้งก่อนของพวกเขาทำให้พื้นแตกทำลายรุนแรง ขณะที่การถอยกะทันหันของพวกเขาดูสง่างามเหมือนกับผีเสื้อ การกระทำทั้งสองทำให้พวกเขาดูเหมือนกับเป็นสองกองทัพที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง การผสานของความแตกต่างของความแตกต่างที่ตัดกันอย่างนี้เพียงทำให้คนอื่นยกย่อง
เมื่อกองทัพจักรกลทั้งหมดนี้ลงพื้นเหมือนกับใบไม้ร่วงลงพื้นดินโดยไม่มีผลต่อทรายและฝุ่น ความรู้สึกที่ขัดกันนี้ ชัดเจนสุดยอด
ครืนนน
ภูเขาช่วงครึ่งบนยังคงถล่มลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้ก้อนหินน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนร่วงลงมาเหลือทิ้งไว้ฐานครึ่งหนึ่งของภูเขา
นี่กลายเป็นจุดเด่นของส่วนที่ยังเหลือ
ภายในเกราะราชันย์เจมินี่ผู้บัญชาการที่ตอนแรกยังมีสีหน้าน่ากลัว กลับสงบลงได้ ดวงตาลึกของเขามองดูกองทัพของศัตรู รอยยิ้มเลือนรางปรากฏบนใบหน้าของเขาเหมือนกับว่าได้ความทรงส่วนใหญ่กลับมา
‘เจ้าหนูนี่ไม่ใช่เคียวกางเขนเขียวแดงในการพิฆาตที่เจ้าเรียนรู้
‘มันมีชื่อเรียกว่าดาบกางเขนคู่!
ผู้บัญชาการฟื้นคืนความรู้สึกของเขาขณะที่เขามองไปข้างหน้า แววชื่นชมปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
‘มู่จือเสียมีชื่อเสียงคู่ควร
เป็นครั้งแรกที่มีคนป้องกันดาบกางเขนคู่ได้สำเร็จเท่าที่ความทรงจำของเขาจะนึกได้แม้ว่ากองทัพกางเขนใต้ที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังของเขาจะต่างจากกองทัพกางเขนใต้ในอดีต แต่กองทัพใหม่นี้ยังเล็กมากเมื่อเทียบกับกองทัพกางเขนใต้ในอดีตในเรื่องขนาด เทียบกับกองทัพกางเขนใต้ที่มีชื่อเสียงในอดีตมีแม่ทัพผู้ลือชื่อหลายคน ทหารใหม่นี้ยังน่าสงสารมาก
แต่ด้วยการสนับสนุนเต็มที่จากทวีปทองด้วยอาวุธจักรกลรุ่นใหม่กว่าและแข็งแกร่งกว่า ทั้งมีระบบกองทัพอุดมสมบูรณ์มากกว่าและเรื่องนักสู้ฝีมือดีอย่างระมัดระวัง เพิ่มเวลาทศวรรษกับการอุทิศเวลาให้พวกเขา จึงทำให้กองทัพดาวกางเขนใต้ใหม่นี้มีความเป็นเอกลักษณ์
ไม่ใหญ่เท่ากับในอดีต หรือมีขุนพลที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมอิทธิพลในการสู้รบก็ยังเล็กน้อย
จำนวนคนเพียงสองพันคนกองทัพกางเขนใต้ที่ลดขนาดนี้ยังไม่อาจนับว่าได้มาตรฐาน
แต่กำลังของมันไม่อาจมองข้ามได้
‘สำหรับมู่จือเสียสามารถป้องกันดาบกางเขนคู่ของข้าได้ง่ายได้เขาก็คือแม่ทัพผู้มีชื่อแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่อาจโต้แย้งได้’ ผู้บัญชาการผู้ระลึกถึงเรื่องในอดีตตื่นเต้นขึ้นทันที
ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากไปกว่าสามารถพบการต่อสู้ดีๆ
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือมู่จือเสียผู้สงบเงียบยืนอยู่ด้านตรงข้ามรู้สึกตกใจอย่างหนัก ท่าเคลื่อนไหวของเขาอาจจะดูเหมือนง่าย แต่ความจริงเป็นวิชาสำเร็จแล้วกระบี่เรืองแสงกวงหมิง ไม่ใช่ไม้ตายสังหารของกองทัพ แต่ในมือของเขาอาจะเหนือกว่าวิชาไม้ตายของกองทัพทองธรรมดาอย่างแน่นอน
นอกจากนี้...
เขาไม่ได้ก้มหน้ามองดูกระบี่ของเขาที่มีรอยแตกร้าวเพิ่มขึ้นอีกรอย
กระบี่มาตรฐานในมือของเขาติดตามเขามานานหลายปีรอยร้าวมากมายเกิดจากการฝึก ไม่ได้เกิดจากการสู้รบ
เป็นครั้งแรก ครั้งแรกที่มีคนทิ้งรอยร้าวไว้ในกระบี่ของเขา
เขาจ้องมองกองทัพจักรกลข้างหน้าเขากองทัพลึกลับข้างหน้าเขา แข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคาด
ถูกแล้ว มันแข็งแกร่งมากกว่าสิ่งที่เขาคาดไว้ ‘ทวีปทองมีกองทัพที่ทรงพลังมากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อใด?’
เขารู้ความแข็งแกร่งของกองทัพต่างๆของทวีปทองดุจมองดูหลังมือ ทวีปทองอยู่ไกลจากทวีปกวงหมิงมากและไม่ใช่เป้าหมายหลักแรกของทวีปกวงหมิง แต่ทวีปกวงหมิงมองว่าการเตรียมพร้อมไว้เป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าการรุกรานเข้าทวีปทองของพวกเขายังไม่ชัดเจนแต่พวกเขาสามารถรักษาเอาไว้ก่อนได้
แต่ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งมาจากหน่วยข่าวกรองของพวกเขาไม่เคยเขียนถึงเรื่องราวของกองทัพนี้ราวกับว่าพวกเขาโผล่ขึ้นมาจากอากาศเบาบาง
สามารถทนรับพลังของกองทัพของเขาได้ พลังต่อสู้อย่างนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรถูกมองข้าม คำตอบเดียวที่เหลือก็คือทวีปทองพยายามซ่อนกองทัพเอาไว้
‘ใครจะรู้กันว่าทวีปทองจะซ่อนไพ่เด็ดที่ทรงพลังเอาไว้ ‘มู่จือเสียรีบสงบจิตใจตนเองทันที ประวัติศาสตร์ของทวีปทองยาวนานยิ่งกว่าทวีปกวงหมิงและไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะมีไพ่เด็ดที่น่าทึ่งและคาดไม่ถึง แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่หยิ่งภูมิใจในศักดิ์ศรี แต่ไม่ถึงระดับที่เขาคิดว่าตนเองเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก
‘คู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือ’
มู่จือเสียกลายเป็นตื่นเต้นเขาเป็นคนที่ไม่ทำตัวโดดเด่นและทวีปกวงหมิงมอบภารกิจสำคัญให้เขาคือเฝ้ารักษาการณ์ทวีปเว่ยเย่กวน เขามักจะระวังและรอบคอบละเอียดในสิ่งที่เขากระทำ เขาจัดการสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ง่ายด้วยการรักษาความสงบไว้ ผู้บริหารระดับสูงที่รู้แผนการของเขาล้วนสรรเสริญเขาขนานใหญ่กันทุกคน แต่น่าเสียดายที่ความสามารถในต่อสู้ที่ทรงพลังของเขาไม่มีโอกาสได้แสดงออก
เขาไม่สนใจเรื่องนั้นมากนักและยังคงถ่อมตัวและทำตัวไม่โดดเด่นต่อหน้าทุกคน เพราะเขารู้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ความตั้งใจต่อสู้ในตัวเขาเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ไม่มีศัตรูหรือคู่แข่งตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงทำให้เขาเป็นเหมือนสัตว์ที่อยู่ในการหลับใหลที่ไม่มีอันตราย
จนกระทั่งวันนี้เมื่อเขาพบกับศัตรูที่ให้ความรู้สึกที่อันตรายต่อเขาได้ในที่สุด ความตั้งใจต่อสู้ที่มักหลับใหลอยู่เสมอเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายที่ดิ้นรนหลุดออกจากโซ่ล่ามลืมตาที่แดงสด
ความรู้สึกตื่นเต้นแผ่กระจายไปทั่วร่างของเขา
เขาเลิกคิดเรื่องศัตรูเป็นใครและไม่สนใจเป้าหมายของพวกเขาอีกต่อไป
ความคิดเดียวของเขาที่มีอยู่ก็คือสนุกกับการสู้รบ!
ไม่มีใครรู้ว่าในดินแดนทวีปแดนเถื่อนที่รกร้างกันดารเกิดการสู้รบที่สะท้านสะเทือนโลก
*****************************
นอกจากทวีปเว่ยเย่กวนจะอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญในชายแดนทวีปแดนเถื่อนและทวีปกวงหมิงสถานที่อื่นค่อนข้างจะอันตราย
กลุ่มที่ไม่ค่อยสะดุดตากำลังเดินทางอย่างเงียบงัน พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช้าแต่ละย่างก้าวพวกเขาจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมาก เนื่องจากมีรอยแตกมิติและความว่างรายล้อมพวกเขาซึ่งตัดขวางกันและกัน คงอยู่มาชั่วนาตาปีไม่มีใครรู้ รอยแยกมิตินี้อันตรายยิ่งกว่าดาบที่คมกริบเสียอีก ตราบใดที่มีคนเผลอสัมผัสเข้าเมื่อใดพวกเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ร่างจะถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ โดยไม่รู้ตัว
หน้าของทุกคนล้วนแต่ระมัดระวังทั้งนั้น แม้แต่อาซิ่นที่ปกติจะมีเสียงดังและช่างพูดก็ยังไม่กล้าผ่อนคลาย นอกจากบอกทางบนพื้นสำหรับหยั่งเท้าหรือเส้นทางที่เป็นหินเพิ่มขึ้น
พื้นที่ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกมิติถูกขนานนามว่าพื้นที่กาฬมรณะแม้แต่สัตว์ร้ายก็ยังไม่กล้าย่างกรายเข้ามา ภายนั้น จะมีพลังกัดกร่อนจากรอยแยกมิติคอยโจมตีถ้าโชคดีทุกคนเข้มแข็งพอทนได้ แต่เมื่อมองดูเส้นดำที่ตัดกันอยู่ภายในนั้นผมขนทุกคนถึงกับลุกชัน พวกเขาต้องคอยเบิ่งตากว้างขณะหลบเลี่ยงรอยแยกมิติในท้องฟ้า
บรรดาอันตรายเหล่านั้นส่วนที่อันตรายที่สุดคือรอยแยกมิติที่เบาบางเท่าเส้นผมซึ่งอาจมองผ่านไปได้ ถ้าไม่ระวังให้ดี
ซางเป่ยนำทางที่ซึ่งเขาคอยเตือนทุกคนให้คอยหลบอันตรายผิดพลาดได้อย่างง่ายๆ
ความเครียดต่อเนื่องระยะยาวทำให้ทุกคนค่อนข้างเพลียและแม้แต่เถี่ยจี๋เองก็ยังดูอ่อนล้า พวกเขาเดินทางในดินแดนอันตรายมาเป็นเวลาสองเดือน ความจริงระยะทางไม่ได้ไกลมาก แต่พวกเขาต้องระวังกันทุกย่างก้าวและไปช้าราวกับเต่าคลาน แต่ไม่มีใครมีท่าทีรำคาญ เพราะพวกเขาเห็นสหายของพวกเขาถูกรอยแยกมิติตัดขาดเป็นชิ้นกับตาตนเอง
แม้แต่ซางเป่ยที่เป็นผู้นำทางที่มีประสบการณ์แม้ว่าทุกคนจะระมัดระวังถึง 120 % แต่พวกเขาก็เสียคนไปถึง37 คน ทุกคนอดทนและไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่พวกเขากลับระมัดระวังมากขึ้น
ซางเป่ยรู้สึกเหนื่อยมากทางที่ไม่ใช่ทางก็คือความลับใหญ่ที่สุดของเผ่าน้ำดำ
มันคือทางลับ