ตอนที่ 851 ความจริงข้าก็อึดอัดใจเหมือนกัน
พอเย่ว์หยางพูดจบ นางอสูรกิ้งก่าไป่อี้ตกใจหวาดกลัวจนถอยออกไปสามก้าวใหญ่
นางไม่รู้ว่ากล่องทองแดงที่ถูกเปิดไปแล้วมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะได้รับพลังเทพวิบัติ แต่โอกาสไม่น้อยแน่นอน อาจมากถึง 999 เท่า! แต่ไม่ว่าจะเป็นกล่องทอง เงิน หรือทองแดง เมื่อเปิดออกแล้วต้องได้ผลสรุป!
ถ้าความเป็นไปได้มากถึง 999 เท่า แล้วใครจะรอด?
นางอสูรกิ้งก่าพบว่าร่างของตนเองเริ่มเปลี่ยนแปลงช้าๆ และผิวสีเขียวที่มักจะเปียกลื่น ไม่ทราบว่าเหือดแห้งไปตั้งแต่เมื่อใด
กลายเป็นสีเทาเหมือนขี้เถ้า
เกล็ดเริ่มร้อนเหมือนกับถูกลมร้อนในทะเลทรายพัดใส่
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าคำสาปหรือ? ต้องทราบว่าอสูรที่มีสีผิวเขียวเปียกและลื่นเป็นแนวทางฝึกฝนอสูรที่มีวิวัฒนาการมาตามลำดับ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลายพราง สามารถกำบังและหลอกล่อศัตรู และใช้ในการต่อสู้ นอกจากนี้ยังใช้ในการช่วยชีวิตของมัน นอกจากลิ้นแล้ว ร่างกายของมันไม่เคยแห้งเลย เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
นางอดเกาที่เกล็ดบางเบาไม่ได้ เกล็ดแตกร่อนปลิวไปในอากาศขณะที่นางเกา
อสูรปีศาจอื่นแตกตื่นกระโดดหนีกันหมด
และอยู่ห่างจากนางอสูรกิ้งก่าไป่อี้และอสูรวานรแซมซัน พวกเขากลัวว่าจะพลอยติดเชื้อวิบัติของทั้งสองไปด้วย
การคายน้ำ
อสูรช้างประเมินได้ทันที “ไป่อี้ได้รับพลังเทพวิบัติ และต้องคำสาปให้ต้องคายน้ำออกจากร่างกายตลอด ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ในเวลาสิบนาทีนางจะกลายเป็นซากศพแห้ง!”
นางอสูรกิ้งก่ากรีดร้อง “ไม่ ไม่มีทาง! ข้าจะไม่มีทางกลายเป็นศพแห้งแน่นอน ต่อให้เป็นคำสาปก็เถอะ ข้าเป็นอสูรกิ้งก่าที่มีคุณสมบัติสองอย่างคือเป็นน้ำ ข้ายังมีความสามารถพิเศษเพิ่มสีสันพรางตาและลิ้นยาวสำหรับล่า รวมทั้งพิษและการลอกคราบ ต่อให้เป็นคำสาป อย่างมากก็ลอกหนังข้าไปสองสามชั้น แต่ข้าจะไม่กลายเป็นศพแห้งอย่างแน่นอน!”
ด้วยพลังปราณฟ้าระดับสี่ กับทั้งทักษะแฝงเร้นพิเศษ ไม่มีใครคิดว่านางจะตายได้ อย่างน้อยก็คงไม่ขาดน้ำตาย
แต่เมื่อเห็นก็เริ่มจะเชื่อ
เกล็ดชั้นแรกร่วง และผิวหนังชั้นแรกฉีกขาด
ไม่เพียงแต่ร่างเท่านั้นที่แห้งผาก แต่พลังของไป่อี้ก็ตกลง เมื่อผิวร่อนออกไปถึงชั้นที่สิบ พลังปราณฟ้าของนางก็ลดระดับลงเหลือแค่ปราณดินอย่างน่าสมเพช
หลังจากนั้นสามนาทีต่อมานางอสูรกิ้งก่าก็ไม่สามารถรักษาระดับพลังปราณดินไว้ได้ พลังกลับตกลงไปต่ำกว่าระดับปราณดิน
ต่อให้ไม่ตาย ก็ยากจะดำรงชีวิตได้อีกต่อไป
พลังระดับปราณดินไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ อสูรปีศาจยากจะหายใจด้วยความโล่งอก ภายในไม่กี่วินาทีไป่อี้ร่วงบนกับพื้น นางเอื้อมมือไปที่อสูรอื่น ปากแห้งของนางเปล่งเสียงได้เพียงเล็กน้อย อสูรชีตาร์กลัวจนสั่นไปทั้งตัว อสูรช้างมีความซื่อสัตย์ใจดีมากกว่ามันใช้งวงยาวพ่นน้ำและย่ำดินให้เป็นแอ่งให้ไป่อี้ได้นอนแช่ หวังว่าไป่อี้จะทนได้ก่อนตัวแห้งและให้ความเจ็บปวดทรมานลดลง
อย่างไรก็ตามพวกอสูรปีศาจตกตะลึงกับภาพที่เห็น ไป่อี้ที่แช่อยู่แอ่งเต็มไปด้วยน้ำก็ยังเต็มไปด้วยความกระหายน้ำอยู่ดี
ร่างแตกระแหงและฝ่อลงอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดก็ลอยอยู่บนผิวน้ำเหมือนไม้แห้ง
ร่างเดิมขนาดสามเมตรและรวมกับส่วนหางด้วยนางอสูรกิ้งก่ามีความยาวหกเมตร แต่ขนาดหดลงเหลือไม่ถึงครึ่งเมตรกลายเป็นซากแห้งดำ
ภาพที่เห็นน่าหวาดกลัวขนพองสยองเกล้าสำหรับพวกอสูรปีศาจที่เห็น แต่คนที่กลัวที่สุดไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นอสูรวานรแซมซันที่รีบแกะกล่องเงินกินอย่างคล่องแคล่ว เขาแทบจะทรุดลงกับพื้น
“ช่วยด้วย, ช่วยข้าด้วย, ช่วยข้าด้วย!” อสูรวานรเอื้อมมือไปทางสหายเก่า
แต่สหายของเขาไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อเห็นอสูรวานรแซมซันกลัวเหมือนถูกผีหลอก เขาจะยื่นมือช่วยได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้มีใจจะช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยจากตรงไหน ไป่อี้ร่างขาดน้ำทั้งที่แช่แอ่งน้ำ ผิวก็ยังแตกแห้ง ยังจะมีวิธีใดช่วยแซมซันผู้โชคร้ายได้หรือไม่? แซมซันร่างสั่นเทิ้ม “แซมซัน ถ้าช่วยเจ้าไม่ได้ ข้าจะช่วยกำจัดมันให้ ข้าขอโทษ ข้าช่วยไม่ได้จริงๆ”
อสูรช้างเห็นว่าผิวของอสูรวานรแซมซันไม่ได้แห้งและคายน้ำ เขารีบปลอบใจ “แซมซัน! บางทีเจ้าอาจไม่โดนคำสาป”
เย่ว์หยางพยักหน้ายอมรับ “การเปลี่ยนพลังเทพวิบัติจำเป็นต้องใช้โอกาส ถ้าเจ้ามีโชคดี เจ้าจะได้รับพลังปั่นป่วน นี่เป็นเรื่องจริง!”
แซมซันเหมือนคนที่กำลังจมน้ำแล้วคว้าฟางหวังว่าจะช่วยชีวิตได้ เขารีบถามด้วยความสงสัย “ถ้าข้าไม่มีพลังคำสาปเทพวิบัติ ร่างข้าจะไม่ขาดน้ำ และข้าจะไม่ตายใช่ไหม?”
เย่ว์หยางส่ายศีรษะ “บางทีนะ, แต่ข้าคิดว่าอดทนรอสักหน่อย นั่นมีความจำเป็นมากกว่า ต้องรู้ไว้ว่ายิ่งเป็นคำสาปของพลังเทพวิบัติหลังๆ ก็ยิ่งมีพลังมาก และข้าไม่แน่ใจจนกว่าผลสุดท้ายจะใช้ไม่ได้ นอกจากนี้ข้ามั่นใจว่ามีคำสาปมากกว่าหนึ่งแน่นอน และนับไม่ถ้วน คำสาปคายน้ำ เป็นคำสาปประเภทหนึ่ง”
“อะไรนะ? อ๊า อ๊า....”
อสูรวานรแซมซันพ่นน้ำออกมาจากลำคอทันที
ท้องของเขาโป่งพองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และสภาพของเขาเหมือนกับตกลงไปในน้ำสองชั่วโมงและถูกตกขึ้นมา ไม่ถึงหนึ่งนาทีแม้แต่มือและเท้าก็พลอยบวมน้ำไปด้วย
มันคว้าลำคอด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
แต่อสูรปีศาจทั้งหมดที่รายล้อมกลับเห็นว่า พื้นที่โดยรอบไม่มีหยดน้ำรวมทั้งที่ปากของแซมซัน อสูรบาบูนที่ร่างมันมีความชื้นปล่อยขนไฟเพื่อระเหยน้ำด้วยพลังอัคคี พื้นที่แวดล้อมไม่มีน้ำ ก็หมายความว่าไม่สามารถช่วยแซมซันได้ แซมซันพยายามดิ้นรนอย่างเจ็บปวด ในที่สุดก็หายใจไม่ออกและตายอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะใช้กรงเล็บขีดข่วนหรือทุบใบหน้าอย่างไรก็ตาม และที่คอของเขามีรอยเจาะแทง แต่สิ่งที่น่าขนพองสยองเกล้าที่สุดก็คือเลือดที่ไหลออกจากบาดแผลรูเลือด กลับไม่ใช่เลือด แต่ไม่รู้ว่าน้ำใสๆ นั้นมาจากไหน
อสูรบาบูนหลับตาอย่างจนใจ มันเป็นสหายของอสูรวานรแซมซัน แต่ทำได้แค่เพียงมองดูแซมซันตาย มันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
อสูรช้างและอสูรแรดถอนหายใจหนักหน่วง
พลังคำสาปของเทพวิบัติ โดยทั่วไปไม่มีใครช่วยชีวิตใครได้!
ด้วยพลังปราณฟ้าระดับสี่ของอสูรวานรแซมซัน ต่อให้ถูกโยนลงทะเลเป็นเวลาสองสามเดือน เชื่อได้ว่ามันจะไม่จมน้ำตาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้ ในช่วงเวลาไม่ถึงสิบนาที มันกลับจมน้ำตาย แม้แต่ร่างก็บวมฉุ
นี่มันคำสาปอะไร?
จมน้ำ!
ตรงกันข้ามกับความตายของอสูรกิ้งก่าไป่อี้ ตนหนึ่งตายเพราะขาดน้ำ อีกตนหนึ่งตายเพราะจมน้ำ
“ทุกคน โปรดชมดูนี่ ยังมีกล่องทองอีกใบ ไม่ทราบว่าสหายคนใดต้องการจะเปิดดูบ้าง ความจริงอสูรเกิดใหม่ของข้าเก็บเอาไว้ในกล่องทอง ไม่เพียงแต่มีอสูรเกิดใหม่ที่ช่วยเรียกน้ำย่อยและยังมีพลังปั่นป่วนเป็นอาหารมื้อเต็ม พวกเจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก? มาเลย หัวหน้าผู้นี้จะลองเปิดดูบ้างไหม? โอกาสชนะมีสูงและรางวัลก็มีสูงมาก นี่ต้องเป็นรางวัลชนะเลิศ 100 % เมื่อได้รางวัลแล้วอาจได้ของแถมเป็นพลังเทพวิบัติก็ได้!” เย่ว์หยางถือกล่องทองและสั่นต่อหน้าอสูรปีศาจ ทันใดนั้นพวกอสูรปีศาจตกใจกระโดดผางร้องลั่นหนีไปคนละทิศทาง
บางตนเผ่นหนีไปไกล
ไม่มีใครต้องการเห็นเด็กใหม่ตัวอันตรายนี้อีก
ยิ่งอยู่ใกล้เจ้าเด็กนี่สักนาที ก็ยิ่งมีอันตรายคุกคามชีวิต
เมื่ออสูรที่ซุ่มรอทำร้ายอยู่ที่ประตูป้อมปราสาทเผ่นหนีกระเจิง เย่ว์หยางส่ายศีรษะอย่างเบื่อหน่ายและเปิดกล่องทอง
ความจริงข้างในกล่องทองมีตั๊กแตนมัจจุราชตัวเท่าแฟรี่น้อยอยู่จริงๆ นางในวัยเริ่มกำเนิดมองดูเจ้านายด้วยประกายตาน่ารักและเจ้าปัญญา
“นี่คือบทเรียนแรกที่ข้าสอนเจ้า โลกนี้ไม่มีปัญหาที่แก้ไม่ได้ด้วยปัญญา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดย่อมมีทางแก้เสมอ นี่คือวิธีที่เจ้าจะต้องใช้ฉกฉวยประโยชน์ใช้ความสามารถของตนเองที่เหนือกว่า เมื่อเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบากเจ้าต้องรู้จักไตร่ตรองหาทางคลี่คลายปัญหาจากศัตรูด้วยสติปัญญา ต่อให้เจ้ามีพลังกายเหนือกว่าศัตรู เจ้าก็ต้องทำเช่นนี้ เพราะการคลี่คลายปัญหาโดยการใช้ปัญญา ดีกว่าใช้เรี่ยวแรงทื่อๆ มากมายนัก การใช้ความพยายามแต่ได้ผลสำเร็จครึ่งหนึ่งเป็นความพยายามที่สูญเปล่า เป็นผลงานที่ไร้คุณค่า” เย่ว์หยางยิ้มและใช้เหตุการณ์นี้มาใช้แนะนำสั่งสอนตั๊กแตนมัจจุราชอสูรแรกเกิด
“ฮื่อ” ตั๊กแตนมัจจุราชพยักหน้าเข้าใจ
“กลยุทธ์คือศูนย์รวมทางปัญญาที่สำคัญ ถ้าข้าไม่ใช้สองกล่องจริงเพื่อล่อหลอกพวกเขา พวกผู้แพ้หลายสิบคนกลัวแผนการที่ฉลาด ไม่อย่างนั้นข้าจะสามารถใช้กล่องทองปลอมให้พวกเขาได้ยังไง? ดังนั้นเจ้าต้องเรียนรู้การใช้กลอุบาย ต้องรักษาความเยือกเย็นตลอดเวลา อย่าตื่นเต้น เพราะนั่นคือการตอบสนองที่ผิดพลาด” เย่ว์หยางเดินไปและสอนตั๊กแตนมัจจุราชที่ยังอยู่ในกล่องทองไปด้วย
เขาเดินออกมาราวหนึ่งกิโลเมตรโดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่งเขาเกือบชนนักรบปราณฟ้าที่ขี่กวางล่องหน เย่ว์หยางจึงหยุด
เมื่อเห็นนักสู้ปราณฟ้าขี่กวางขวางอยู่ข้างหน้าเขา เย่ว์หยางรู้สึกตัวก่อนและปิดกล่องทอง บังตั๊กแตนมัจจุราช และเก็บเข้ากระเป๋าเงียบๆ
นักรบปราณฟ้าที่กำลังขี่อสูรคล้ายกวางหัวเราะและชี้มาที่เย่ว์หยาง “ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ข้าเห็นมันแล้ว เด็กน้อย ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าฆ่าคนไปสองคนเมื่อออกมา และเจ้ายังสอนอสูรของเจ้าด้วยวิธีการแย่ๆ อย่างนั้น เจ้าอยากตายในหุบเขาอสูรหรือ? ดูแล้วเจ้าไม่แก่เท่าใด เจ้านี่ซื่อจริงๆ! ตอนนี้เจ้าจะใช้สติปัญญางี่เง่าอะไรมาหลอกล่ออีก แสดงให้ข้าดู ดูว่าจะทำให้ข้าสงบใจลงได้ไหม?”
เย่ว์หยางหันหลังต้องการจะหนี
แต่สายเกินไป
นักรบปราณฟ้าผู้ขี่อสูรกวางฟันง้าวขัดขวางไม่ให้เขาหลบหนี
ในทันใดนั้นกล่องทองในมือของเย่ว์หยางถูกกระแทกเป็นผุยผง
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างเย่ว์หยางได้รับการปกป้องจากกฎสวรรค์ เขาอาจจะถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าได้ทันที
“......” แค่วินาทีต่อมากล่องทองที่มีตั๊กแตนมัจจุราชหายไปไม่เหลือร่องรอย เย่ว์หยางมองดูมือที่ว่างเปล่าอยู่นานไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เด็กน้อย, เจ้าจงแสดงให้ข้าดูอีกครั้ง! ความเยือกเย็นแบบไหนที่เจ้าใช้สอนอสูรขยะ! ในหุบเขาอสูรมีแต่ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ผู้มีพลังย่อมได้รับการนับถือเสมอ ไม่มีพลังที่นี่พูดเรื่องปัญญาไปก็ไม่มีผล สมองโง่ๆ ของเจ้ายังไม่ฟื้นใช่ไหม? ข้าคือคนฉลาด และคนอ่อนแอก็คือเจ้า ข้าเคยพบเห็นคนอย่างเจ้ามาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ไม่มีข้อยกเว้นพวกเขากลายเป็นอสูรปีศาจ หรือไม่ก็ตายไป เจ้าอิจฉาหรือ? เจ้าจะลองฝึกใช่ไหม มาเลย” นักสู้ปราณฟ้าที่ขี่อสูรกวางแค่นเสียงเยาะเย้ยเย่ว์หยางที่พูดคุยกับตั๊กแตนมัจจุราช
“ความจริงข้ายังหวาดๆ เล็กน้อย เจ้าต้องการเห็นจริงๆ หรือ?” เย่ว์หยางที่ก้มหน้าอยู่พลันเงยหน้าและยิ้มกว้าง
เขาดึงกล่องทองในกระเป๋าออกมา
และค่อยๆ เปิด
ตั๊กแตนมัจจุราชที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือยิ้มและยังอยู่ข้างใน
เย่ว์หยางไม่สนใจคำค่อนขอดของฝ่ายตรงข้าม ยังคงสอนตั๊กแตนมัจจุราชต่อไป “บทเรียนที่สอง ข้าคิดว่าเจ้าคงเข้าใจความจริง อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น ตาถูกภาพลวงตาหลอกได้ง่าย มันจะหลอกเจ้าได้! เจ้าต้องเรียนรู้ในการรู้สึกได้ด้วยใจ ใจจะต้องไม่หวั่นไหวง่ายเกินไป! นอกจากนี้ในอนาคต เจ้าจะต้องระมัดระวังปัญหา อย่าประมาทศัตรู ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ไม่ว่าสถานการณ์ของเจ้าจะได้เปรียบเพียงไหนก็ตาม เจ้าจะต้องคิดที่จะสู้ต่อไป ความพึงพอใจและความหยิ่งยโสเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลว”
ตั๊กแตนมัจจุราชฟังอย่างตั้งใจและนางรีบพยักหน้ารับรู้ทันที “ฮืม!”
นักสู้ปราณฟ้าที่ขี่กริฟฟินเพลิงปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเย่ว์หยางและถอนหายใจทันที “เด็กมาใหม่ช่างน่ากลัวจริงๆ ผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าไม่เคยเห็นเด็กใหม่อย่างนี้มาก่อนเลย น่าสนใจจริงๆ หุบเขาอสูรที่ไร้ชีวิตชีวาคงจะมีเรื่องสนุกขึ้นบ้าง!”
นักรบปราณฟ้าซึ่งปรากฏตัวพร้อมกับเพกาซัสเขาเดียว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ
ถ้ามิใช่ว่าสหายเขากระตือรือร้นต้องการจะได้พลัง เขาก็อยากสู้ด้วย
เขากลัวว่าคนที่ทำลายกล่องทองจะไม่ใช่เขาเองหรือ?
เมื่อขยี้หรือทำลายกล่องทอง เขาไม่กล้าคิดอีกต่อไป! เมื่อมองดูเด็กหนุ่มรูปงามที่กำลังยิ้ม เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจถึงหมื่นเท่า! สู้กับเด็กนี่หรือ? ไม่, ถ้าเด็กนี่สู้ ต่อให้มีร้อยชีวิต ก็ไม่เพียงพอ!