ตอนที่แล้วบทที่ 184 มารในใจหลินหลางเยว่ ขวดน้ำส้มสายชูระดับจักรพรรดิ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 186 ทัศนคติที่เปลี่ยนไปของอวี้ชิงหลัน

(ฟรี) บทที่ 185 สุริยันและจันทราเป็นพยานถึงความกตัญญูของศิษย์คนนี้!


“ยึดครองวิถีธรรม?”

เหลิงอู่เหยียนทั้งโกรธและขบขัน “เจ้ากำลังบอกว่าข้าควรขอบคุณเจ้าสำหรับความพยายามนี้? เสียสละไปหลับนอนกับสตรีอื่นเพื่อพัฒนานิกาย?”

หลี่หรานหัวเราะเบาๆ “เป็นเช่นนั้นเลยท่านอาจารย์”

“หน้าไม่อาย!” เหลิงอู่เหยียนจ้องมองเขา

แต่หลังจากคิดเรื่องนี้ เจ้าเด็กนี่ก็กำลังจะรวมวิถีธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจริงๆ

ศิษย์สายตรงของสถาบันเทียนซูและศาลาหมื่นดาบข้องเกี่ยวอยู่กับเขาอย่างลึกซึ้ง พวกนางทั้งหมดเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จในฐานะผู้นำนิกายในอนาคต

ครึ่งหนึ่งจากนิกายชั้นนำทั้งสี่ของวิถีธรรมติดพันอยู่กับเขา!

นอกเหนือจากเซียวชิงเกอที่ออกจากพระราชวังเต๋าสูงสุดแล้ว ดูเหมือนว่ามีเพียงกลุ่มลาหัวโล้นจากวิหารอู่หวางเท่านั้นที่ไม่ถูกแตะต้อง...

“เจ้าศิษย์อกตัญญู!” ยิ่งเหลิงอู่เหยียนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น “เจ้าต้องการรวมวิถีมารเข้ามาด้วยหรือไม่? ฉินหรูเหยียนคนนั้นดูเหมือนจะเป็นห่วงเจ้ามาก อยากให้ข้าช่วยพูดคุยไหม?”

หลี่หรานกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อย่าล้อเล่นเลย ข้ามีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์กับนาง”

“บริสุทธิ์? ข้าจะไม่รู้ความคิดของเจ้าได้ยังไง?”

หลี่หรานขยับเข้าไปใกล้นางและพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นท่านรู้ไหมว่าศิษย์คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่”

“หืม?” หัวใจของเหลิงอู่เหยียนเต้นแรงขึ้นเมื่อนางมองเข้าไปในดวงตาที่ลึกล้ำของเขา ดวงตาของนางเป็นประกายขณะที่นางถามว่า “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?”

“แน่นอนว่าย่อมเกี่ยวข้องกับท่าน” หลี่หรานขยับเข้าไปใกล้หูของนางแล้วกระซิบว่า “ศิษย์ต้องการ...”

ใบหน้าของเหลิงอู่เหยียนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และดวงตาของนางก็ฉ่ำไปด้วยน้ำ “อย่าแม้แต่จะคิด! ขะ...ข้ายังไม่ยกโทษให้เจ้า!”

“ข้าเข้าใจ” หลี่หรานกล่าว

หลี่หรานถอนหายใจ “งั้นท่านจะให้อภัยศิษย์คนนี้ได้อย่างไร?”

เหลิงอู่เหยียนหันหน้าหนีด้วยความโกรธ “ข้ายังไม่ได้คิด...”

“ท่านผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสซุนมีเรื่องจะรายงานเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลเดินเข้ามาและโค้งคำนับ

เหลิงอู่เหยียนพยักหน้า “ให้นางเข้ามา”

“เจ้าค่ะ” ผู้ดูแลถอยกลับ

เหลิงอู่เหยียนเหลือบมองเขาจากด้านข้าง “ทำไมยังไม่นั่งลงอีก”

“โอ้” หลี่หรานนั่งข้างนางอย่างเชื่อฟัง

ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสซุนในชุดคลุมดำก็เดินเข้ามา “คารวะท่านผู้นำนิกาย”

นางสังเกตเห็นหลี่หรานที่ด้านข้างและถามด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้วหรือ?”

หลี่หรานพยักหน้า “ยินดีที่ได้พบ ผู้อาวุโสซุน”

“บุตรศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงอย่างแท้จริงในเวลานี้! ขัดขวางคลื่นสัตว์อสูร วีรบุรุษของเผ่าพันธ์มนุษย์ และปีศาจสวรรค์ปราบโลกา ใครในโลกนี้จะไม่รู้ถึงพลังของเราอีก?”

ในตอนนั้น นางได้แนะนำว่าหลี่หรานควรเป็นผู้นำกลุ่มเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในเทือกเขาสือว่าน เป้าหมายของนางคือการแสดงความแข็งแกร่งของนิกายเท่านั้น

ใครจะคิดว่าหลี่หรานจะช่วยชีวิตคนนับแสนและกลายเป็นวีรบุรุษของเผ่าพันธ์มนุษย์ได้?

เขาได้รับสมญานามว่าปีศาจสวรรค์ปราบโลกาจากจักรพรรดิเซิงเย่ด้วยซ้ำ

นี่เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับวิหารโหยวหลัว

ด้านบนมีปีศาจหน้าหน้าหยกเหลิงอู่เหยียน ด้านล่างมีบุตรศักดิ์สิทธิ์หลี่ ปีศาจสวรรค์ปราบโลกา หากกล่าวถึงสี่นิกายปีศาจระดับสูง วิหารโหยวหลัวย่อมต้องเป็นผู้นำ

หลี่หรานส่ายหัวและพูดว่า “มันเป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอม ผู้อาวุโสซุนยกยอข้าเกินไป”

“ผู้อาวุโสซุนอย่ายกย่องเขาเช่นนั้น เขาอวดดีมาโดยตลอด ข้าเกรงว่าเขาจะอวดดีไปมากกว่านี้ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น” เหลิงอู่เหยียนพ่นลมอย่างเย็นชา

“อัจฉริยะย่อมต้องมีความภาคภูมิใจในตัวเอง!”

“เป็นเรื่องปกติสำหรับบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้สามารถเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณได้ด้วยวัยเพียงเท่านี้”

“ถ้าให้แม่นยำคือข้าอยู่ที่ขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว” หลี่หรานกระแอมคอของเขาและแก้ไข

“อะไรนะ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสซุนก็ผงะไปครู่หนึ่งก่อนที่จะมองเขาอย่างระมัดระวัง

พลังวิญญาณของเขาถูกขัดเกลา ดวงตาของเขาลึกล้ำ และกลิ่นอายของเขาก็ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะลวงระดับอีกแล้ว?!”

ผู้อาวุโสซุนตื่นเต้นมากจนนางพบว่ามันยากที่จะควบคุมอารมณ์

มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆนับตั้งแต่เขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณ

ข้ามผ่านหนึ่งขอบเขตย่อยภายในเวลาหนึ่งเดือน?

ผู้อาวุโสซุนสงบสติอารมณ์และถอนหายใจ “การมีผู้สืบทอดเช่นบุตรศักดิ์สิทธิ์หลี่เป็นพรแก่วิหารโหยวหลัวของข้าอย่างแท้จริง!”

หลี่หรานยิ้มอย่างพึงพอใจและกระพริบตาให้เหลิงอู่เหยียน

“มีอะไรให้ภูมิใจ? มันไม่ใช่นิกายของข้าหรือไง?” เหลิงอู่เหยียนพูดออกมา

หลี่หรานพยักหน้า “เป็นเรื่องจริงที่ท่านอาจารย์สอนสั่งเป็นอย่างดี ศิษย์คนนี้รู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ”

ขณะที่พูด เขาก็จับมือเพรียวบางของนางอย่างเงียบๆ

เหลิงอู่เหยียนกัดริมฝีปากของนางและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความสงบ

ยังมีคนนอกอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่ศิษย์อกตัญญูคนนี้ยังคงกระทำอย่างอุกอาจ

นางจ้องมองหลี่หรานอย่างขุ่นเคือง “เจ้ารู้สึกขอบคุณขนาดนั้นเลย?”

“ความกตัญญูของศิษย์สามารถมองเห็นได้ภายใต้สุริยันและจันทรา” หลี่หรานบีบมือเล็กๆของนางและพูดอย่างอ่อนโยน

เหลิงอู่เหยียนรู้สึกอายและโกรธ แต่นางไม่สามารถทำอะไรเขาได้

ผู้อาวุโสซุนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ นางพูดต่อว่า “ผู้นำนิกาย ชื่อเสียงของวิหารโหยวหลัวเพิ่มขึ้นทุกวัน เป็นโอกาสที่ดีในการรับศิษย์เพิ่มและก่อตั้งตำแหน่งนิกายปีศาจอันดับหนึ่ง!”

เมื่อเทียบกับผู้นำนิกายที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เกียจคร้านและบ้าตัณหา ผู้อาวุโสซุนเป็นคนที่ใส่ใจมากที่สุดเกี่ยวกับการพัฒนาของนิกาย

“นี่...” ก่อนที่เหลิงอู่เหยียนจะพูดจบประโยค มือขวาของหลี่หรานก็ขยับไปด้านหลังนางอย่างเงียบๆ

ร่างกายของนางแข็งทื่อทันที และใบหน้าของนางก็แดงไปจนถึงลำคอ นางมึนงงจนไม่สามารถใช้กำลังได้แม้แต่น้อย

“ผู้นำนิกาย?” ผู้อาวุโสซุนมองนางอย่างสงสัย

เหลิงอู่เหยียนอดทนต่อความอับอายและกล่าวว่า “ข้าจะพิจารณาอย่างจริงจัง เจ้าออกไปก่อน”

จากนั้นนางก็โบกแขนเสื้อและสายลมก็พัดคนอื่นๆออกไปอย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่นอกห้องโถงใหญ่อย่างโง่งม

ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด นางทำงานหนักในนิกายมาหลายปีและไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน

นางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ส่วนหลี่หราน เขาคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติมานานแล้ว

เขายืนอยู่นอกประตูและตะโกนว่า “ท่านอาจารย์ ข้าเพิ่งทะลวงระดับและรากฐานยังไม่มั่นคง ข้าอยากมาปรึกษาเรื่องเต๋ากับท่านในคืนนี้ อย่าลืมเปิดประตูให้ข้าด้วย!”

ปัง!

ประตูขยับโดยไร้สายลมและปิดลงด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม

หลี่หรานลูบจมูกของเขา “ท่านอาจารย์โกรธจริงๆเสียแล้ว”

“ผู้นำนิกาย... โยนข้าออกมาจริงๆ?”

“……”

“ผู้อาวุโสซุน เดี๋ยวท่านก็ชิน” หลี่หรานตบไหล่นางและพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ

หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็หันหลังกลับและเดินลงจากภูเขา

ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น

ที่พักอาศัยของหลี่หราน

“เมื่อไหร่บุตรศักดิ์สิทธิ์จะกลับมานะ ข้าคิดถึงเขามากเลย”

“ข้าอยู่ห่างจากขอบเขตสร้างรากฐานเพียงไม่กี่ก้าว ในเวลานั้นข้าจะสามารถบ่มเพาะกับ บุตรศักดิ์สิทธิ์ได้!”

“อืมม ข้าต้องทำงานหนักและมุ่งมั่นที่จะเป็นเตาหลอมที่ดีของเขาให้ได้!” นางชูกำปั้นเล็กๆเพื่อให้กำลังใจตัวเอง

ในเวลานี้เอง เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังนาง “เด็กโง่ เจ้าไม่กระตือรือร้นเกินไปหน่อยเหรอ?”

ร่างของอาฉินแข็งทื่อและหันไปมองอย่างรวดเร็ว

หลี่หรานมองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม

“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์!”

/////

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด