ตอนที่ 835 ความลับความคงกระพันของภูตพรายฟ้า
“ยอมแพ้ มิฉะนั้นก็ตายซะ” ภูตพรายฟ้ามองดูลี่เยี่ยนและแสยะยิ้มน่ากลัว
“เฮอะ” คำตอบของลี่เยี่ยนมั่นคง ความจริงนอกจากเย่ว์หยาที่ทำให้นางหวั่นไหวได้ ไม่มีใครส่งผลต่อการตัดสินใจของนาง
ช่วงก่อนเวลาที่ลี่เยี่ยนจะได้พบกับเย่ว์หยางสาวยักษ์คือนักรบผู้กล้าหาญยอมหักแต่ไม่ยอมงอ ยอมตายมากกว่ายอมแพ้ นางยืนยันในหลักการของผู้กล้าไม่กลัวการข่มขู่และใช้ทรัพย์สินล่อลวง ถ้าไม่ใช่เพราะได้พบกับเย่ว์หยาง นางจะไม่มีทางรู้ว่าอะไรเรียกว่าการเปลี่ยนแปลงและทำให้นางยินยอมคล้อยตาม.. นอกจากนี้เว้นแต่เย่ว์หยางโกรธ นางจะไม่มีทางสนใจทุกอย่างในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเข้าใจถึงปณิธานปราณราชันย์ ก็ไม่มีบุรุษคนที่สองที่สามารถทำให้ปณิธานประดุจเหล็กของนางหวั่นไหวได้
นางแหงนหน้าคำราม รังสีอำมหิตของนางราวกับพายุฟ้าคะนอง ลวดลายมังกรโลหิตบนร่างนางเปล่งแสงเหมือนเปลวเพลิง และเปลวเพลิงมากมายลุกพรึ่บท่วมร่างนางอุณหภูมิสูงขึ้น ภาพมายามังกรโบราณปรากฏอยู่เหนือศีรษะนาง แรงระเบิดกระจายไปทั่วป้อมชมดาว
คลื่นแรงระเบิดกระแทกใส่เสาค้ำอาคารจนแตก พื้นกระเบื้องหินปลิวกระเด็นใส่ผนัง พวกที่กำลังต่อสู้รู้สึกร้อนอึดอัดหายใจไม่ออก มารสัมฤทธิ์ฟ้า จักรพรรดิมังกรและหนานเป่ยทั้งสามคนดิ้นรนอย่างยากลำบาก จำเป็นต้องหยุดต่อสู้หลีกเลี่ยงผลกระทบจากพลังระเบิดของลี่เยี่ยน
กลุ่มเจ้าเมืองเฉียนหู่แทบจะหมดสติ ถอยไปกระจุกอยู่ที่มุมห้องโถง พวกเขาเต็มไปด้วยอาการหวาดกลัวราวกับผจญกับวันสิ้นโลก ยกเว้นราชาใจสิงห์และเย่ว์หยางไม่มีใครยืนหยัดนิ่งได้เลย ขณะที่ภูตพรายฟ้านั่งนิ่งไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรขณะที่ห้องโถงใหญ่กำลังพังทลาย พลังของลี่เยี่ยนก็เพิ่มขึ้นจนถึงขีดจำกัด
“มังกรตระหง่าน!”
เสียงคำรามของนางราวกับทหารม้านับหมื่นโห่ร้อง พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของนางที่กักเก็บไว้ ออกแบบโดยเย่ว์หยาง ต่อมาเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและจักรพรรดินีราตรีช่วยพัฒนาเป็นวิชาต่อสู้สามระดับคือ ระดับแรกคือเชิดศีรษะระเบิดพลัง
พลังที่หมัดขวาของลี่เยี่ยนระเบิดออกเป็นรูปหัวมังกรโบราณสีแดง มังกรพิโรธกัดใส่ร่างของภูตพรายฟ้า ภูตพรายฟ้าสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ครั้งนี้เขาเหยียดมือออก มังกรของลี่เยี่ยนเชิดหน้าและกระแทกกับฝ่ามือของเขา ศีรษะมังกรที่กลืนกินทุกอย่างแตกสลายในเงื้อมมือของเขา
ขณะเดียวกันลี่เยี่ยนหมุนตัวใช้ขวาเป็นแกนและยกขาซ้ายเตะสูงฟาดลงที่ช่วงไหล่ของภูตพรายฟ้าด้วยน้ำหนักเป็นหมื่นชั่ง การป้องกันระหว่างไหล่และศีรษะ คอจะอ่อนแอที่สุด การโจมตีต่อเนื่องนี้เป็นท่าที่สองของการใช้พลังมังกร สาวยักษ์ลี่เยี่ยนมีสายเลือดมังกร ท่ามังกรฟาดหางของนางสามารถถล่มทลายภูเขาได้ นอกจากนี้พลังโจมตีที่แปลกประหลาดนี้เชื่อมโยงต่อเนื่องจากท่าแรก และพลังท่าแรกก็มีพลังหนุนเสริมต่อเนื่อง
ภายใต้ท่ามังกรฟาดหาง แม้แต่ภูตพรายฟ้าผู้มีประสบการณ์ผ่านสมรภูมิรบมาแล้วก็ยังต้องตื่นตัว
“ปัง”
ทั่วทั้งป้อมชมดาวสั่นสะเทือน พื้นเป็นรอยร้าว ฝุ่นพวยพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด เสาหินใหญ่ปลิวกระเด็นราวกับเส้นฟาง ก้อนหินแตกปลิวกระเด็นไปทั่วทุกที่ ป้อมชมดาวไม่ถึงกับทลาย แต่ภาพภายในป้อมไม่ต่างอะไรกับวันสิ้นโลก
ระลอกคลื่นฝุ่นควันปรากฏ
ตาของราชาใจสิงห์เบิกโพลง ม่านตาหดลีบ
เขามองเห็นภาพที่เหลือเชื่อ.. ภูตพรายฟ้ายังคงนั่งอยู่ได้ แต่พื้นที่รอบๆ เก้าอี้และใต้เท้าของเขามีควันพวยพุ่งลอยอยู่เหนือหลุมลึก เขารับพลังมังกรฟาดหางโดยตรง แต่ร่างของเขาไม่ได้รับความเสียหาย ทั้งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในท่าเดิม
แข็งแกร่งมาก!
สมแล้วที่ในอดีตที่ผ่านมาภูตพรายฟ้าสามารถพิชิตศึกได้มานาน เขาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในสังกัดของถานไถถูเมี่ย
ภูตพรายฟ้าผลักฝ่ามือ ลี่เยี่ยนปลิวถอยหลัง และในไม่ช้าก็ยืนหยัดได้มั่น นางถอยสองสามก้าวไปหาเย่ว์หยาง
ลี่เยี่ยนหันไปมองเย่ว์หยางที่ยังคงยืนนิ่งและพึมพำเบาๆ “ข้าขอโทษ!”
จากนั้นทรุดตัวลงกับพื้น
ม่านตาของราชาใจสิงห์หดลีบอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่าลี่เยี่ยนถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสร่วงลงไปได้อย่างไร เขาแน่ใจว่าก่อนลงมือโจมตีภูตพรายฟ้าไม่ได้เริ่มก่อน หรือว่าพลังฝ่ายมือของเขามีผลต่อสายเลือดมังกรของลี่เยี่ยนจนทำร้ายนางบาดเจ็บได้?
ถ้าเป็นแบบนี้ อย่างนั้นภูตพรายฟ้าก็แข็งแกร่งเกินไปหรือไม่?
ในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ภูตพรายฟ้าแข็งแกร่งทรงพลังมาก แม้แต่ระดับจักรพรรดิก็ยังมิอาจสู้ได้อีกหรือ?
ราชาใจสิงห์คิดอยู่อย่างนั้นรู้สึกท้อใจอยู่วูบหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไขว่คว้าได้มาด้วยความยากลำบาก แต่กลับอ่อนแอเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้านักสู้ผู้แข็งแกร่ง
“ไม่เลว, ข้าคิดว่าจะสามารถฆ่าสาวยักษ์นางนี้ได้ในท่าเดียว พลังชีวิตนางแข็งแกร่งมากจริงๆ” ภูตพรายฟ้าหัวเราะลั่น ทำให้บาดแผลที่แก้มดูดึงและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เจ้าเมืองเฉียนหู่ที่หลบอยู่ในมุมๆ หนึ่งถึงกับอาเจียนครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเฉียนหู่จะยังไม่ได้กินอะไรมาก่อน แต่น้ำย่อยในท้องรวมทั้งน้ำดีก็ยังถูกขย้อนออกมา
“.....” ราชาใจสิงห์มองดูเย่ว์หยาง และเขาพบว่า เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงสงบเหมือนเคย น่าทึ่งจริงๆ
“เป็นยังไงบ้าง, ราชาใจสิงห์! ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าถึงกับตัดสินใจผิดพลาดเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ เจ้าต้องการเข้าร่วมกับตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ของเราหรือไม่? ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญากับเจ้าได้ว่าเจ้าจะไม่ถูกสืบสาวเอาความผิดก่อนหน้านี้แน่นอน ด้วยพลังสติและสติปัญญาและด้วยความทะเยอทะยานของเจ้า เจ้าจะได้แสดงพลังฝีมือของเจ้าอย่างแน่นอน ข้าภูตพรายฟ้าชอบคนมีฝีมืออย่างนี้ ด้วยฝีมืออย่างราชาใจสิงห์เจ้าสามารถรับตำแหน่งรองเจ้าตำหนักได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เมื่อเจ้ามั่นใจในฝีมือตนเอง เจ้าสามารถท้าทายตำแหน่งเจ้าตำหนักก็ยังได้ ข้ากับท่านถานไถถูเมี่ยยินดีจะให้การสนับสนุนเจ้า เป็นจักรพรรดิปกครองดินแดนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก ความดื้อดึงยืนกรานมีแต่จะทำให้เหลวไหลเสื่อมโทรม นอกจากนี้เมื่อเจ้าขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นบน เจ้ายังต้องมองหาผู้สนับสนุนเพื่อยืนหยัดให้มั่นคงไม่ใช่หรือ? ในแดนสวรรค์ ยังจะมีผู้สนับสนุนที่มั่นคงเท่ากับตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ?” ภูตพรายฟ้าลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง แต่ก่อนจะลงมือต่อสู้เขาชักชวนโน้มน้าวราชาใจสิงห์อย่างอดทน
การโน้มน้าวนี้ราชาใจสิงห์ยอมรับว่าดึงดูดใจไม่น้อย เป็นเรื่องอันตรายจริงๆ กับการวางเดิมพันอย่างนี้ ภูตพรายฟ้ามีพลังยิ่งใหญ่มากกว่าที่คิดมาก ถ้ายังดึงดันต่อไป เขาอาจจะสูญเสียสหายร่วมเส้นทางและพ่ายแพ้สิ้นเชิญก็ได้ หากตอนนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากมีผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่ไม่มีศัตรูใดโยกคลอนได้ ข้อบกพร่องประการเดียวก็คือเขาจะไม่มีความคิดเป็นของตนเองอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเกรงว่าจะไม่มีอิสระอีกต่อไป
ราชาใจสิงห์มองดูเย่ว์หยางเป็นครั้งที่สอง
เขาพบว่าเด็กหนุ่มยังคงแสดงท่าทีเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินคำพูดที่ภูตพรายฟ้าเพิ่งจะพูดไป ทั้งเหมือนกับจะไม่เห็นพลังที่น่าตกใจที่ภูตพรายฟ้าเพิ่งแสดงออก
ราชาใจสิงห์สูดหายใจรับอากาศร้อนเต็มปอด ทำให้เขารู้สึกแสบร้อนอยู่ในอกเล็กน้อย นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต อนาคตอยู่ต่อหน้าเขา “จะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับวันนี้!” ถ้าเขาเลือกถูก อนาคตของเขาจะรุ่งเรืองมีชื่อเสียง แต่ถ้าเขาเลือกผิด เขาจะไม่มีทางตั้งตัวได้อีกเลย!
ภูตพรายฟ้ารอคอยอย่างอดทนจนกระทั่งราชาใจสิงห์สงบจิตใจได้ เขาถาม “เป็นยังไง? เจ้าตัดสินใจยังไงบ้าง?”
ราชาใจสิงห์พยักหน้าหนักแน่นและกล่าว “ขอบคุณ, ข้าซือซินรู้สึกว่าคุณชายสามจะมีอนาคตที่รุ่งเรืองมากกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ภูตพรายฟ้าถึงกับหรี่ตาแคบราวกับเข็ม เหมือนกับว่ามีสายฟ้าเล็กๆ ฉายออกมาจากในดวงตาของเขา
หลังจากนั้นครู่หนึ่งภูตพรายฟ้าก็หัวเราะลั่น เสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งป้อมชมดาวและในที่สุดเขาหยุดหัวเราะกะทันหันเหมือนกับใช้มีดตัดและมองหน้าราชาใจสิงห์ “บอกข้าได้ไหมว่าทำไม?”
“ไม่มีเหตุผลอะไรมาก เป็นเรื่องของสัญชาตญาณ” ราชาใจสิงห์ยิ้มเยาะตนเองและตอบ “ข้าซือซินมักจะไขว่คว้าหาเหตุผลเสมอ แต่วันนี้ข้ายอมทำลายหลักการนี้และยอมรับว่าภูตพรายฟ้าเจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ นั่นเป็นความรู้สึกที่น่ากลัว แต่พลังที่ยิ่งใหญ่ของคุณชายสาม ข้าไม่สามารถรู้สึกได้เลย ข้าจึงต้องทำใจละวางคำชักชวนของเจ้า”
“การพูดโน้มน้าวใจของข้ามีปัญหาหรือไง?” ภูตพรายฟ้าถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีปัญหา” ราชาใจสิงห์ส่ายศีรษะ เขาชี้นิ้วไปที่เย่ว์หยางที่รับลี่เยี่ยนกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์ “คุณชายสามไม่ได้ชักชวนข้า นั่นหมายความอะไร? เขาไม่สนใจว่าข้าจะเข้าร่วมกลุ่มด้วยหรือไม่ แต่เจ้ากลับสนใจ ถ้าเจ้ามีความมั่นใจเต็มที่ อย่างนั้นเจ้าจะไม่สนใจข้าแน่นอน เหมือนกับเขานั่นแหละ”
“พูดได้ดี แต่เจ้าเข้าใจผิดเสียแล้ว” ภูตพรายฟ้าหัวเราะลั่น “คุณชายสามไม่พูดเพราะเขารู้ว่า ไม่ว่าพูดอะไรออกไปเจ้าก็คงไม่เชื่อ แต่กลับประสบผลสำเร็จทำให้เจ้าคาใจได้ ราชาใจสิงห์ เจ้าไม่มีข้อบกพร่องอะไร เพียงแต่เจ้าช่างสงสัยมากเกินไป ต้องรู้ไว้ว่าในแดนสวรรค์ คนช่างสงสัยหลายคนอายุไม่ยืนยาว!”
“อย่างนั้นหรือ?” ราชาใจสิงห์ไม่เห็นด้วย เขากดมือทั้งสองเข้าหากันในระยะใกล้ ทั่วทั้งร่างระเบิดพลังเพิ่มขึ้น “ภูตพรายฟ้า! เจ้ารู้ไหมว่าสุดท้ายแล้วข้าอยากจะพูดอะไร? เพราะคุณชายสามเพิกเฉยต่อความเงียบสงบของเจ้า ประสบการณ์หลายพันของข้ายังไม่สามารถเข้าสำนึกศักดิ์สิทธิ์ความรู้แจ้งของเขาอย่างเต็มที่ ข้าซือซินมีความตั้งใจไม่สั่นคลอนแล้ว... อย่าได้พยายามพูดจาโยกคลอนจิตใจข้าอีกเลย มันใช้ไม่ได้ผล อย่าว่าแต่ฝ่ายข้ายังมีมารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกร คำพูดของเจ้าไม่มีผลต่อพวกเขาเช่นกัน”
“แล้วเจ้าจะได้เห็น ต่อให้เป็นคนที่เข้าใจถึงปณิธานปราณราชันย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าภูตพรายฟ้า ก็เป็นแค่มดแมลงน้อยๆ!”
ภูตพรายฟ้าเปล่งรัศมี
และถลันวูบปรากฏตัวที่ด้านหลังจักรพรรดิมังกรและมารสัมฤทธิ์ฟ้า
จักรพรรดิมังกรตั้งโล่มังกรป้องกันการโจมตีของภูตพรายฟ้าได้สำเร็จ
แต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าไวกว่าภูตพรายฟ้า ด้วยพลังหมัดพลังสายฟ้าเขาระเบิดพลังสายฟ้าใส่หูซ้ายของภูตพรายฟ้า ราชาใจสิงห์จึงได้ตระหนักว่าตนเองมองถูกต้อง ทำไม้นักรบระดับนี้สองคนถึงสามารถต่อกรกับหนานเป่ยซึ่งเป็นนักรบระดับสูงกว่า เหตุผลก็คือพวกเขามีความตั้งใจไม่คลอนแคลนโดยไม่สนใจพลังกดดันในการต่อสู้ ทุ่มเทพลังตนเองสู้เต็มร้อย แต่ขณะที่นักรบปราณฟ้าอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่สามารถข่มคู่ต่อสู้ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ระดับสูงก็ยิ่งไม่สามารถใช้พลังได้ถึงครึ่งหนึ่ง
ปณิธานปราณราชันย์ที่แท้จริง ต่อให้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างภูตพรายฟ้า พวกเขาก็สามารถเผชิญได้ด้วยพลังเต็มที่
“ฝีมือแค่นี้ ไม่เท่าไหร่” ภูตพรายฟ้าถูกหมัดสายฟ้าต่อยใส่หู ถ้าเป็นคนอื่น ก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาไม่รู้สึกอะไร เขาใช้ฝ่ามือตบใส่ร่างของมารสัมฤทธิ์ฟ้า พื้นระเบิดอีกครั้ง และโล่มังกรพร้อมทั้งจักรพรรดิมังกรกระดอนขึ้นไปในอากาศ
มารสัมฤทธิ์ฟ้ากระแทกใส่ผนังป้อมชมดาวอย่างรุนแรง และยังทะลุผนังป้อมปลิวต่อไปไม่หยุด แต่จักรพรรดิมังกรกระเด็นไปชนเพดานห้องโถงทะลุขึ้นไปชั้นบน
ภูตพรายฟ้าตอนนี้สามารถไล่ตามได้ แต่เขาไม่ทำเช่นนั้นเพราะไม่ทราบว่าเย่ว์หยางมายืนต่อหน้าเขาเมื่อไหร่
ท่าทางเย่ว์หยาง ภูตพรายฟ้ามองดูอย่างตกใจเล็กน้อย ไม่กลัว ไม่โกรธ ตาของเขาเหมือนกับกำลังมองดูถนนที่มีรถม้าวิ่งสวนกันไปมา
ภูตพรายฟ้าแค่นเสียงและเขาไม่ได้โจมตีเย่ว์หยางทันที แต่เขาก้าวยาวผ่านข้างเย่ว์หยางในพริบตาก่อนจะมาปรากฏที่ด้านหลังของราชาใจสิงห์ “ราชาใจสิงห์, นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ยอม ก็ตายซะ”
“กริฟฟินสุริยะ!”
คำตอบของราชาใจสิงห์คือเรียกกริฟฟินสีทองและผสานร่างกับกริฟฟินสุริยะสีทองที่สง่างาม พลังแสงอาทิตย์ควบรวมตัวกันแน่นที่ป้อมชมดาวอีกครั้ง และผลักพลังไปทางภูตพรายฟ้า ถ้าจ้าวกริฟฟินทองของเขาไม่มีการเลื่อนระดับขอบเขตพลังเป็นจ้าวกริฟฟินสุริยะ อย่างนั้นราชาใจสิงห์คงไม่มีความมั่นใจ แต่มณีสุริยะที่เขาแลกเปลี่ยนมาด้วยคุณค่าราคามากมาย ทำให้ราชาใจสิงห์ไม่กลัวภูตพรายฟ้า!
ครืนนน บึ้ม!
ป้อมชมดาวระเบิดออกทันที
โดมหลังคาปลิวหายไป และผนังที่หนาและแข็งพังทลายทันที เจ้าเมืองเฉียนหู่และคนอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมต่างๆ ปลิวกระเด็นออกไปเหมือนผงธุลี
ผู้ชมเหล่านี้ฝีมือระดับเด็กๆ
คนหนึ่งคือราชาใจสิงห์ผู้โจมตีเต็มกำลัง อีกคนหนึ่งคือเย่ว์หยางที่ยังสงบอยู่ได้
คุณชายสามทนพลังโจมตีเต็มกำลังของราชาใจสิงห์ได้ เช่นเดียวกับภูตพรายฟ้าที่ยังคงปลอดภัย!
ราชาใจสิงห์ค่อยๆ หันไปมองดูภูตพรายฟ้าที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา และไม่ได้รับความเสียหายบาดเจ็บแต่อย่างใด แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่เสียหาย เขาอดรู้สึกสิ้นหวังในใจขึ้นมาบ้างไม่ได้! ภูตพรายฟ้าผู้นี้แข็งแกร่งมากเกินไป! เกินกว่านักสู้ปราณฟ้าระดับราชาทุกคน แทบจะใกล้เคียงระดับจักรพรรดินีฟ้า อสูรพิทักษ์ที่เลื่อนระดับเป็นจ้าวกริฟฟินสุริยะก่อนแล้ว ก่อนจะสู้เขายังเข้าใจพลังปณิธานเทพ แต่แม้จะโจมตีด้วยพลังเต็มที่ภูตพรายฟ้าก็แทบจะไม่เสียหายอะไรเลย!
ศัตรูน่าสะพรึงกลัวอย่างนั้นจะเอาชนะได้ยังไง?
ราชาใจสิงห์มองดูเย่ว์หยางเป็นครั้งที่สาม
เขารู้สึกว่าเขาไม่มีทางเลือก ทุกอย่างได้แต่ปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้นี้จัดการ!
เขาคิดว่าจะสามารถแสดงฝีมือในสนามรบได้ ใครจะคิดกันเล่าว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านักสู้ที่แท้จริง กลับไร้ประโยชน์!
ขณะที่ราชาใจสิงห์อ่อนใจ เย่ว์หยางยิ้มทันที
การหัวเราะเบาๆ นี้เหมือนกับน้ำผุดในทะเลทราย เหมือนกับอรุณรุ่งที่กำจัดความมืดมิด ราชาใจสิงห์รู้สึกปลาบปลื้มใจทันที เขาไม่เคยคาดหวังอนาคตกับคนอื่น “เด็กหนุ่มนี่จะเอาชนะภูตพรายฟ้าได้จริงหรือ? ภูตพรายฟ้าทรงพลังมากมาย เขาจะเอาชนะได้จริงๆ หรือ? เด็กหนุ่มผู้นี้คุ้มค่าต่อการคาดหวังหรือ?
“ในที่สุดก็หาพบจนได้ ทักษะแฝงเร้นระลอกพลัง สนามพลังคลื่นแผ่นดินไหวและพลังการดูดซับพลังของอสูรประเภทแมลง มิน่าเล่า เจ้าถึงสลายพลังโจมตีทุกอย่างได้!”
เย่ว์หยางพูดช้าๆ
ยิ่งเย่ว์หยางพูด ภูตพรายฟ้าจากที่แต่เดิมมีสีหน้าหยิ่งผยอง ก็เริ่มหน้าบึ้ง จนในที่สุดเขาเริ่มข่มความโกรธอย่างยากลำบาก เพราะเย่ว์หยางแฉความลับยิ่งใหญ่ที่แม้แต่ราชาใจสิงห์ก็ยังตกตะลึงไปด้วย
เย่ว์หยางยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์และใช้มือปัดฝุ่นทรายบนไหล่ แต่เสียงดังลั่นในท่ามกลางซากหักพังของป้อมชมดาว “นอกจากนี้ยังมีภูตพรายฟ้าสองคนต่อสู้ในวันนี้ ข้าสามารถบอกได้เลยว่าพลังโจมตีเต็มกำลังของลี่เยี่ยน มารสัมฤทธิ์ฟ้าและราชาใจสิงห์ เจ้าสามารถเมินเฉยได้อย่างไร? เมื่อเผชิญหน้ากับภูตพรายฟ้าแล้วก็ยังอ่อนแออย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้? ในที่สุดข้าก็พบว่าภูตพรายฟ้าและปีศาจฟ้าไม่เคยแยกจากกัน พวกเจ้าทั้งสองร่วมต่อสู้กัน นึกหรือว่าข้าจะมองไม่เห็นเจ้า!”
“ไม่เลว, แต่สิ่งที่เจ้าไม่รู้ก็คือทุกคนที่รู้ความลับนี้ล้วนตายหมดสิ้น!” ด้านหลังของภูตพรายฟ้ามีร่างเงาที่ดูเหมือนกับภูตพรายฟ้าอีกคนหนึ่ง.....!-!