ตอนที่ 831 มีอาคันตุกะหลายแบบ
หลังจากส่งราชินีไท่หลุนกลับไปแล้ว ทั้งลี่เยี่ยนและไป่ลู่มองดูเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางยิ้ม “พวกเจ้ามองข้า พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
ไป่ลู่ลังเลชะงักเล็กน้อย ในที่สุดนางถามถึงข้อสงสัยบางอย่าง “เจ้าต้องการจะไปแดนทมิฬหรือ?”
แดนทมิฬถูกตราหน้าว่าเป็นดินแดนด้านมืดของแดนสวรรค์ เป็นตัวแทนของความมืดมิด ความมืดมิดนี้หมายถึงความชั่วร้ายที่มิอาจแก้ไขและผ่อนปรนได้ แม้ว่าไป่ลู่ยินดีจะเชื่อเรื่องของราชินีไท่หลุนก็ตาม แต่นางไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด “แดนทมิฬถูกชำระบาป และได้รับการฟื้นฟูคุณธรรม ในใจของไป่ลู่ แดนทมิฬอาจมีคนดีอย่างราชาไท่หลุน และยิ่งกว่านั้นนักรบทมิฬยังเป็นกลุ่มนักรบที่กลับใจ
ลี่เยี่ยนก็มีความคิดอย่างเดียวกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะนางได้พบเห็นได้มีประสบการณ์ในหอทงเทียนทำให้โซ่ตรวนความคิดของนางก่อนหน้านั้นสลายไปสิ้นเชิง และเอาแต่ยึดติดกับหัวใจที่กล้าหาญอย่างเดียว บางทีนางอาจจะขัดแย้งและคัดค้านก็ได้
สำหรับความคิดของพวกนาง เย่ว์หยางไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เขาทำตัวเป็นกลางอย่างสมบูรณ์ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแดนทมิฬ ไม่สำคัญว่าแดนทมิฬจะเป็นยังไง นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ในกรณีที่เป็นประสงค์ของเทพเจ้า ความคิดของคนทั่วไปนั้นจะเปราะบาง และจะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงภายใต้เงื่อนไขเฉพาะเจาะจง เนรเทศนักรบทมิฬไปยังแดนทมิฬเพื่อให้สำนึกผิด และฟื้นฟูคุณธรรม นั่นไม่แปลก... อย่าว่าแต่เนรเทศคนในแดนทมิฬเลย พวกเขาใช่ว่าจะเป็นอาชญากรร้ายในสมัยโบราณ แต่หลังจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ครองอำนาจ ผู้ถูกเนรเทศก็คือศัตรู คนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนชั่วร้าย
ยังไม่มีการสืบสวน เย่ว์หยางจะไม่ตัดสินคนในแดนทมิฬแน่นอน
อย่างน้อยก็ก่อนหน้านี้
นักรบแดนทมิฬหมื่นคนที่เย่ว์หยางพบเห็นนั้นไม่ใช่พวกชั่วร้ายเสียทีเดียว พวกเขาเป็นแค่กลุ่มเบี้ยสำหรับเดินที่ไม่สามารถดิ้นรนหรือขัดขืนได้
“ข้าต้องการไปแดนทมิฬให้ได้ แผนยังไม่เปลี่ยนแปลง” เย่ว์หยางวาดรูปบนโต๊ะพร้อมกับพูดยิ้มพลาง “แต่เราจะต้องฆ่าเจ้าผู้นี้ให้ได้เสียก่อน!”
ในรูปเป็นบุรุษร่างกำยำเหมือนเหล็กผมสีแดงดูทรงพลัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความห้าวหาญน่ายำเกรง
เขาคือเป้าหมายแรกของเย่ว์หยาง บริวารที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดภูตพรายฟ้า!
ฆ่าภูตพรายฟ้า!
เรือเหาะที่เลิศหรูโอ่อ่าของกลุ่มโจรเพลิงพิโรธออกจากเมืองไถ่ถอน
เจ้าเมืองเฉียนหู่ลอบพาภรรยากลับไปปรากฏตัวในเมืองและเขายังคงติดต่อกับผู้อาวุโสหวีมู่ต่อไปราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แม้แต่ทอเรนชื่อลิมาก็ถูกปล่อยตัว ทอเรนไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว เขาคิดถึงความเป็นไปได้เมื่อตอนอยู่ในคุกช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ตอนนี้ถึงเขาได้รับการปล่อยตัวแต่กลับปฏิเสธที่จะจากไป เขาแสดงความจำนงต่อเจ้าเมืองจะอยู่ในเมืองไถ่ถอนต่อไปเพื่อกระทำความชอบไถ่ถอนความผิด
กลางวันผ่านไป ถึงเวลากลางคืน
ในท่าเทียบเรือของเมืองเจ้าเมืองรู้ว่าผู้อาวุโสหวีมู่ออกไปแล้ว และเดินทางไปที่จุดเทเลพอร์ตส่งมนุษย์ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีคนตามแล้ว เขามายังสถานที่ลับ อ่าวชมดาว
อ่าวชมดาวความจริงไม่ใช่อ่าว ไม่มีน้ำแต่อย่างใด มีแต่เกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่ลอยอยู่ในอากาศ
เหตุผลที่มีชื่อว่าเกาะชมดาว เหตุผลหลักก็คือตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้จัดไว้เป็นสถานที่เตรียมพร้อมต่อสู้ไว้โดยมอบหมายให้นักรบชั้นนอกทั้งหมด พวกมาจากนอกอาณาจักรไท่หลุนและหน่วยงานของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ มีสมาชิกหุ่นเชิดสำหรับไว้รบหมื่นคน ปกติยังมีเรือเหาะว่างที่นี่อีกหลายลำ
ตอนนี้มีเรือเหาะสำราญมากกว่าสองร้อยลำ และมีเรือเหาะรบเทียบอยู่ที่อ่าวชมดาว
ท่าเทียบเรือเหาะของอ่าวชมดาวมีความหนาแน่น
ผู้อาวุโสหวีมู่ผ่านท่าเทียบเรือที่มีทหารเฝ้าอย่างหนาแน่นเข้าสู่ป้อมปราการประจำเกาะชมดาว
“กลับมาแล้วมีข่าวอะไรบ้าง?” ในห้องโถงใหญ่ของป้อมปราการชมดาวมีบุรุษผมแดงหน้าตาดุร้ายนั่งอยู่ แม้ขณะที่เขานั่งร่างของเขายังสูงกว่าร่างของผู้อาวุโสหวีมู่ที่กำลังยืนอยู่ คนผู้นี้มีลักษณะดุร้ายเหี้ยมหาญเหมือนราชสีห์พิโรธพร้อมตะปบเหยื่อ ร่างกายเขาเต็มไปด้วยมัดกล้าม หน้าของเขาแข็งกระด้างเหมือนหินผาน่ากลัว จมูกมีรอยฉีกจนถึงแก้ม เวลาหายใจเกิดเสียงดังฟืดฟาด
“นายท่าน เรือเหาะนั้นจู่ๆ ก็ออกไปอย่างกะทันหัน ข้าน้อยไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย จึงต้องมารายงานโดยเฉพาะ” ผู้อาวุโสหวีมู่รายงานอย่างไม่ลังเลใจ
“เจ้าป้อม(ปราการ), หนานเป่ย เจ้าคิดว่ายังไง?” บุรุษผมแดงนั่งอยู่ในเก้าอี้ประธานพูดขึ้นทันที แต่มองมาทางด้านข้าง
“ถ้าท่านแน่ใจว่ามีเทพมาถึง ภายใต้ลานสำเร็จโทษจะต้องมีความลับที่เรามิอาจประเมินได้แน่ ตอนนี้เรือเหาะออกไปแล้ว เจ้าป้อมรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ ตรงกันข้ามนั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้น ไม่สำคัญว่าเป็นตระกูลไหนจากแดนสวรรค์บน แม้จะเป็นตระกูลที่สูงส่ง ก็คงไม่ประกาศสงครามกับตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ของเราโดยไม่บอกกล่าวก่อนอย่างแน่นอน หากพวกเขาต้องการหยุดพวกเรา เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยก็ต้องดำเนินการลับๆ” คนที่ตอบเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมเกราะทอง
คนผู้นี้ไม่ได้ดูเหี้ยมหาญดุร้ายเท่าบุรุษผมแดง แต่เขามีบุคลิกน่าเกรงขาม
ไม่ว่าจะนั่งหรือคุย
มีแรงกดดันที่มองไม่เห็นเหนือทุกคน
เขาคือแม่ทัพใหญ่จากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ที่ประจำการอยู่ที่อ่าวชมดาวเถี่ยเจี้ยน เจ้าป้อมชมดาว
ที่นั่งสงบอยู่ด้านตรงข้ามของแม่ทัพประจำป้อมชมดาวเถี่ยเจี้ยนเป็นชายชราที่มีรอยยิ้มสง่างามประดับบนใบหน้าตลอดเวลา ผู้เฒ่าเจ้อเหนียนมีผมดำเป็นส่วนใหญ่และมีผมขาวแซมเป็นบางส่วน เขาไม่เพียงแต่ดูไม่แก่เท่านั้น แต่ยังดูเป็นผู้ทรงภูมิรู้ ในมือถือพัดกระดาษมองดูคล้ายบัณฑิตทรงภูมิรู้ผู้ไม่เคยออกจากบ้านและเขานั่งอยู่ด้านล่าง ที่มุมปากมีรอยยิ้มมั่นใจ
รอยยิ้มนั้นทั้งดูสงบและสง่างาม
รอจนบุรุษผมแดงที่ดูดุร้ายมองมา บัณฑิตผู้นั้นยิ้มและยืนขึ้นทันทีและคำนับเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวาล “ใต้เท้า หนานเป่ยคิดว่าเรือเหาะลำนั้นออกไปแล้ว ความจริงนับเป็นเรื่องดี”
คำตอบนี้คาดไม่ถึงจริงๆ แม้แต่บุรุษผมแดงก็ยังตะลึงเขาถามต่อ “รายละเอียดเล่า”
บัณฑิตเฒ่าคลี่พัดกระดาษและโบกพัดเบาๆ
เหมือนกับว่าเขาหมดคำพูด
เป็นเวลานานเขาจึงยิ้ม “ใต้เท้า หนานเป่ยคาดว่านี่คือสัญญาณเตือน ถ้าข้ากับคนอื่นไม่ตอบสนองอันใดอีกต่อไป อย่างนั้นฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มต้นจริงๆ แม้ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์บน ต่อให้เป็นเทพจากสวรรค์ชั้นเบื้องบนพวกเขาจะไม่เริ่มต้นทันที เมื่อใดก็ตามที่หลายอย่างตกอยู่ภายใต้กฎ พวกเขาก็จะยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น แม้ว่าเขาจะเป็นผู้กำหนดกฎนั่นเอง”
หวีมู่ถาม “คำเตือนของฝ่ายตรงข้ามเป็นปัญหา แล้วเราจะรับมือปัญหานี้ได้ยังไง?
บัณฑิตเฒ่ารวบเก็บพัดกระดาษอย่างไม่อนาทร “เรื่องนี้เราควรรายงานท่านผู้คุ้มกฎ ฝ่ายตรงข้ามเตือนก็คงเป็แค่เพียงสัญญาณ พวกเขารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ ดังนั้นเราควรติดต่อกับท่านผู้คุ้มกฎ มิฉะนั้นพวกเขาสามารถฆ่าคนได้โดยตรง
แม่ทัพเถี่ยเจี้ยนลุกขึ้นยืนทันที “ไม่สำคัญว่าฝ่ายตรงข้ามมีความตั้งใจยังไง ข้าว่าควรรีบแจ้งผู้คุมกฎให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้ นอกจากนี้ยังมีเทพอยู่เบื้องหลังอีกด้วย”
หวีมู่เห็นด้วย เขามองดูบุรุษผมแดง
ทันทีที่เขาสั่งหวีมู่จะใช้ความเร็วที่สุดในชีวิตส่งข่าวไปที่ผู้คุมกฎถานไถทันที
บุรุษผมแดงหน้าดุร้ายไม่พูดอะไร เขามองดูบัณฑิตเฒ่าเหมือนกับต้องการจะฟังบริวารต่อ
บัณฑิตเฒ่าผู้เรียกตนเองว่าหนานเป่ยหัวเราะลั่นทันที “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ เรือเหาะที่งดงามออกไปจากเมืองแล้ว นี่เป็นข่าวใหญ่ในเมืองไถ่ถอนที่ทางเมืองไถ่ถอนยืนยัน ใช่ว่ามีแต่เราที่รู้เรื่องเท่านั้น หลังจากนี้ราชินีไท่หลุนหรือคนไม่สำคัญที่ยังแอบแฝงอยู่ในที่ลับจะต้องสร้างปัญหาที่นี่ในนามเทพและรบกวนใจเราอย่างแน่นอน ทั้งยังจะหลอกลวงประชาชนฉวยหาผลประโยชน์ได้ ดังนั้นในตอนนี้ เราไม่เพียงแต่ยังไม่ต้องส่งจดหมายบอกท่านผู้คุ้มกฎเท่านั้น แต่ยังต้องเตรียมตัวรับอาคันตุกะด้วย!”
“อาคันตุกะ” ผู้อาวุโสหวีมู่ได้ยินก็ร่างสั่นเล็กน้อย แต่ไม่แสดงอารมณ์ออกมาราวกับว่าในชีวิตของเขาไม่เคยมีอารมณ์โกรธ
“เราเจ้าป้อมจะออกไปรับอาคันตุกะด้วยตนเอง” แม่ทัพเถี่ยเจี้ยนลุกขึ้นยืนและได้ยินเสียงระเบิดจากด้านนอก
ในสายตาของเขา เขาชื่นชมและเคารพบัณฑิตเฒ่า “เป็นท่านหนานเป่ยที่รู้เรื่องราวในโลกอยู่ทุกคน ทุกที่ที่ข้าเถี่ยเจี้ยนต้องออกไปเผชิญข้าชื่นชมท่าน ว่าแต่ต่อไปข้าควรจะทำยังไงดี?”
บัณฑิตเฒ่าหันกลับมาโดยไม่มีรอยยิ้ม “ท่านเจ้าป้อมมิใช่เหมือนหยดน้ำที่รั่วออก วันเวลาข้างหน้ายังอีกไกลนัก แค่เตรียมตัวและระมัดระวังให้รอบคอบ หนานเป่ยชื่นชมจริง ข้าคิดว่าอาคันตุกะจะอยู่นิ่งชั่วระยะหนึ่ง และไม่มีทางจะด้วยกัน การรออยู่ที่นี่อย่างใจเย็นย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า แต่ในเมื่ออาคันตุกะมาถึงแล้ว ก็ให้พวกเขาเข้ามา เราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับอาคันตุกะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แม่ทัพเถี่ยเจี้ยนมองดูบุรุษผมแดงหน้าดุร้ายที่ยังนั่งนิ่งเงียบ เขาสะดุ้งในใจทันที “ท่านภูตพรายฟ้าได้เตรียมตัวไว้แต่แรกอยู่แล้ว เถี่ยเจี้ยนละอายใจจริงๆ”
บุรุษผมแดงโบกมือ “ท่านเจ้าป้อม! เชิญนั่งก่อน ในเมื่อมีอาคันตุกะมา เราก็รอก่อน”
สิบนาทีต่อมา
เสียงระเบิดของสงครามยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อเทียบกับตอนแรกเสียงเบากว่ามาก และประเมินได้ว่าหลายที่แห่งสูญเสียพลังต้านทาน
สิบนาทีต่อมา ยกเว้นป้อมชมดาว พื้นที่โดยรอบไม่มีเสียงเหมือนก่อนหน้านั้น ราวกับว่าการต่อสู้ก่อนนั้นหายไปหมด มีเสียงระเบิดดังประปราย เพราะมีอาคารที่เหลือเท่านั้นเริ่มไฟไหม้ มีเสียงเตือนภัยดังขึ้น... บุรุษผมแดงหน้าตาดุร้ายยังจิบเหล้าได้โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เหมือนกับว่าเขาไม่รู้ความเคลื่อนไหวภายนอก ผู้อาวุโสหวีมู่ยืนอยู่ในกลางหอโถงใหญ่อย่างถือดี ไม่ยอมนั่ง ไม่กินหรือดื่ม ใบหน้าเย็นชาของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม่ทัพเถี่ยเจี้ยนยังคงนั่งจิบเหล้าสีแดงในแก้วซึ่งเหมือนกับมีเปลวไฟพวยพุ่งอยู่ภายใน
บัณฑิตเฒ่ายังคงยิ้มได้เสมอ เขาคลี่พัดกระดาษโบกพัดใส่ตัวและความเคลื่อนไหวของเขายังคงสงบ
ในที่สุดประตูใหญ่ของป้อมชมดาวก็ถูกเปิดออก
สายลมร้อนพร้อมกับเปลวไฟสงครามพัดเข้ามาข้างใน มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาหา ขณะที่คนผู้นั้นยังเข้ามาไม่ถึง เสียงหัวเราะของเขาดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง “ภูตพรายฟ้า..วิเศษมาก แม่ทัพ, ผู้อาวุโสหวีมู่และหนานเป่ย ข้าซือซินเอง”
“ราชาใจสิงห์ก็เป็นหนึ่งในอาคันตุกะด้วยหรือ?” บัณฑิตเฒ่าหนานเป่ยยิ้มและถาม
“อาคันตุกะมีมากมายหลายประเภทและข้าซือซินจะขอดูอยู่เงียบๆ ไม่สร้างความลำบากใจให้เจ้าภาพแน่” ราชาใจสิงห์ผู้มีรัศมีสว่างไสวหัวเราะลั่น
“ราชาใจสิงห์ ท่านเป็นอาคันตุกะที่ไม่เลว แต่อาคันตะกุสองสามคนข้างหลัง ไม่น่าจะดีเท่าใดนัก?” แม่ทัพเถี่ยเจี้ยนยืนขึ้นมองดูด้านหลังราชาใจสิงห์ซึ่งมีเงาร่างมากกว่าสองสามเงา
“เรากับราชาใจสิงห์อยู่ตรงกันข้ามกัน เพราะนิสัยกระตือรือร้นกำเริบ เราจึงไม่ชอบดูอย่างเงียบสงบ เหมือนนายท่านผู้นั้น มันน่าอึดอัด” บุรุษหนุ่มผู้สวมหน้ากากพร้อมกับสาวยักษ์และสาวงามเดินเคียงคู่กันเข้ามา ดูจากท่าทางก้าวเดินอย่างอาจหาญไม่เหมือนกับอาคันตุกะธรรมดา กลับให้ความรู้สึกว่าเหมือนกับเดินอยู่ในสวนหลังบ้านตนเอง ด้วยความสงบของพวกเขาเหมือนกับกลับสถานะจากอาคันตุกะเป็นเจ้าภาพ