บทที่ 10: จินละสองร้อยสู้จินละยี่สิบไม่ได้!
ฉินหลินมองจ้าวโม่ชิงกับแม่ของตนที่กำลังล้างจานกันอยู่ในครัวอย่างมีความสุข
พอโม่ชิงมาบ้าน แม่ของเขาก็มีแต่รอยยิ้มอารมณ์ดีไม่เอาแต่ถอนหายใจเฮือก ๆ ๆ เหมือนที่เคยเป็น
การยิ้มบ่อย ๆ ช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นและส่งผลให้ร่างกายดีขึ้นด้วย
เห็น ๆ อยู่ว่าแม่อยากช่วยเขาแต่งโม่ชิงเข้าบ้าน ทว่าสภาพการณ์ของครอบครัวมันช่างยากแค้นเหลือเกิน อยากช่วยแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะเก็บเงินดาวน์บ้านให้ได้โดยเร็วที่สุด จากนั้นค่อยเอาทะเบียนสมรสออกมาให้แม่ดูและพาโม่ชิงเข้าบ้านซักที
นี่คงเป็นสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้แล้ว หรือจะบอกว่าเขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรมากมายก็ไม่ผิดนัก
เพราะบางอย่างในชีวิตมันก็มีค่าและสำคัญกว่าความทะเยอทะยานนั่นเอง
พอคิดได้แบบนี้ก็รีบเช็คหน้าจอเกม ในใจก็อยากจะใส่สูตรโกงอัดเงินอัดเลเวลให้ตัวละคร จะได้ปลูกสตรอว์เบอร์รี่แดงให้แน่นขนัดแล้วเอาทั้งหมดไปขายเพื่อเอาเงินทีละเป็นล้าน ๆ มา
เมื่อฉินหลินกำลังจะพาโม่ชิงไปส่งบ้าน หลินเฟินผู้เป็นแม่ก็เดินตามลงมาเตือนว่า “เสี่ยวหลิน ลูกไปส่งโม่ชิงให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยนะ ขับช้า ๆ ไม่ต้องรีบ...”
“ครับแม่ ขับช้า ๆ อยู่แล้วครับ” ฉินหลินตอบด้วยรอยยิ้มและขับไปส่งจ้าวโม่ชิง
บ้านของจ้าวโม่ชิงอยู่ที่เมืองตงในเขตหยวนเสี่ยว
ฉินหลินเข้าไปจอดในหมู่บ้าน สภาพแวดล้อมโดยรอบบอกได้เลยว่าแตกต่างจากเขตเมืองเก่าที่เขาอยู่โดยสิ้นเชิง
ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นย่านที่เจริญที่สุดในอำเภอโหยวเฉิงแล้ว ราคาค่าห้องสูงถึงตารางเมตรละหมื่นสี่ บ้านขนาดร้อยยี่สิบตารางเมตรรวมค่าตกแต่งก็ปาไปสองล้านกว่า!
ที่พูดแบบนั้นก็เพราะว่าที่เมืองในตัวจังหวัดยังมีบ้านที่ราคาถูกกว่านั้นอีกมากมายนัก เห็นได้ชัดเลยว่าบ้านในอำเภอโหยวเฉิงนี่แพงเกินจริงขนาดไหน
ถ้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ต้องพกสมองมาด้วยเยอะ ๆ เลยเชียวล่ะ หากอยากซื้อบ้านที่นี่ล่ะก็นอกจากจะต้องเก็บเงินซักสี่ซ้าห้าปีแล้วยังต้องใช้หนี้นอกระบบให้หมดก่อนด้วย ไม่งั้นไม่ไหว
หากช่วงนี้ยังไม่อาจหาเงินมาทำให้ตัวเองหลุดออกจากสภาพความเป็นอยู่อันแร้นแค้นได้ล่ะก็ กว่าจะได้เงินดาวน์ก้อนหนึ่งนี่มีเกินห้าปีชัวร์ ๆ
ซึ่งนี้แค่สมมุติว่าราคาบ้านมันจะไม่เพิ่มขึ้นในอนาคตนะ
ก่อนหน้านี้ทุก ๆ ครั้งที่เขามาที่นี่ก็มักจะมาด้วยความประหม่าหน่อย ๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้จ้าวโม่ชิงผิดหวัง
โชคดีที่เกมในหัวของเขาสามารถช่วยดึงเขาออกจากหล่มอันแสนจะไร้พลังนี้ได้
จ้าวโม่ชิงดูเหมือนจะรู้ใจเขา แทนทีจะลงรถไปกลับกอดเขาแน่นและเอาหน้าซุกที่หลังเขาแทน “นี่ฉินหลิน ทำไมเราไม่สารภาพกับครอบครัวเราซะล่ะ ฉันอยากอยู่เคียงข้างเธออย่างเปิดเผยจะตายอยู่แล้วนะ”
ฉินหลินเองก็รู้ว่าที่โม่ชิงพูดนั้นออกมาจากใจจริง ๆ และเธอได้เอ่ยถึงเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วด้วย
เขาจับมือของเธอแน่นและให้สัญญาว่า “เธอบอกจะเชื่อและให้เวลาฉันอีกหน่อยไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อไม่นานมานี้ฉันเริ่มธุรกิจขายส่งจนมีเงินเยอะขึ้นแล้ว อีกไม่นานฉันจะพาเธอเข้าบ้านอย่างแน่นอน”
“จริงเหรอ?”
“อื้ม!”
“ได้ ฉันเชื่อเธอ!”
คำง่าย ๆ แค่ไม่กี่คำได้แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่คนทั้งสองมีให้แก่กัน
ทั้งสองอบอุ่นหัวใจกันอยู่พักหนึ่งก่อนฉินหลินจะยื่นส่งสตรอว์เบอร์รี่แดงเลเวลสองอีกชุดที่เตรียมมาให้เธอ
“ยังมีอีกเหรอเนี่ย?” จ่าวโม่ชิงประหลาดใจ
เพราะตอนนี้สตรอว์เบอร์รี่นี้มันอร่อยมากจนเธอกับแม่ยายกินเกลี้ยงไม่มีเหลือ
ฉินหลินพยักหน้า “อืม เธออยากกินเท่าไหร่ก็ได้ตามใจชอบเลย”
จ้าวโม่ชิงจูบเขาอย่างอ่อนโยนด้วยความดีใจก่อนจะเดินขึ้นห้องพักไปอย่างอาลัยอาวรณ์
เมื่อเปิดประตูห้องมาก็พบว่าแม่ของตนเฉินเซียวและพี่สะใภ้หลี่เจียเหวินกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องโถง
“กลับมาแล้วเหรอโม่ชิง!” หลี่เจียเหวินกับจ้าวโม่ชิงอายุเท่ากัน เธอเป็นผู้หญิงแต่งตัวดูดีมีสไตล์ เมื่อเห็นน้องผัวกลับมาก็ร้องทักด้วยรอยยิ้ม “โม่ชิงมา ๆ มาลองกินนี่ดู ฉันฝากให้คนซื้อมาให้น่ะ สตรอว์เบอร์รี่นำเข้าจินละสองร้อยหยวน หากินยากมากเลยน้า~”
เธอพูดพลางหยิบขึ้นมายื่นป้อนให้จ้าวโม่ชิงลูกหนึ่ง
จ้าวโม่ชิงเองก็อ้าปากรับอย่างเชื่อฟัง
หลี่เจียเหวินก็ยัดสตรอว์เบอร์รี่ลูกนั้นเข้าปากเธอไปและถามว่า “เปนงาย~ อร่อยใช้มั้ยล่า~”
จ้าวโม่ชิงเคี้ยว ๆ แล้วก็กลืน จากนั้นก็มองพี่สะใภ้ของตนด้วยสีหน้าแปลก ๆ “เจียเหวิน เอาจริง ๆ นะ สตรอว์เบอร์รี่นี่จินละสองร้อยแน่นะ? ไม่โดนต้มแน่นะ?”
“จะเป็นไปได้ไงเล่า ก็เพื่อนรักสมัยเรียนมหาลัยซื้อมาฝากเลยเชียวนา ไม่อร่อยเหรอ?”
จ้าวโม่ชิงไม่พูดอะไรมากหยิบสตรอว์เบอร์รี่ของตนยื่นป้อนอีกฝ่ายบ้าง “อ้าปากซิ”
หลี่เจียเหวินเห็นสตรอว์เบอร์รี่แดงก็อ้าปากกินและเป็นต้องอึ้ง เพราะรสชาติต่างกันคนละเรื่องกับที่เธอนั่งกินอยู่เลย! “โม่ชิงเธอไปหามาจากไหนเนี่ย ราคาเท่าไหร่? น่าจะแพงมากเลยใช่มั้ย”
“ไม่น่าแพงมั้ง!”
จ้าวโม่ชิงไม่ได้ถามราคาสตรอว์เบอร์รี่จากฉินหลินเลยตอบไปอย่างลังเลว่า “ฉินหลินเอามาให้น่ะ น่าจะเป็นของที่ร้านคงประมาณจินละยี่สิบล่ะมั้ง?”
“จินละยี่สิบ?” หลี่เจียเหวินได้ยินราคาก็เศร้าเลย “เรื่องบ้าอะไรกัน สตรอว์เบอร์รี่จินละสองร้อยอร่อยไม่เท่าจินละยี่สิบ ดูท่าฉันจะโดนโกงจริง ๆ ด้วยล่ะโม่ชิง ไม่น่าเลย”
ปากก็พล่ามไปมือก็ล้วงลงในกระเป๋าของโม่ชิงไป
สตรอว์เบอร์รี่ที่ตัวเองซื้อมาไม่มีกลิ่นเหลือแล้วแท้ ๆ แต่ของที่น้องผัวเอามาให้กลับหอมไม่จางหาย
เฉินเซียวที่นั่งอยู่ด้วยกันได้ยินชื่อฉินหลินก็ขมวดคิ้วถาม “ช่วงนี้ฉินหลินเป็นไงบ้าง?”
“ช่วงนี้ฉินหลินทำธุรกิจค้าส่งอยู่ค่ะแม่ เร็ว ๆ นี้คงดีขึ้นกว่าเดิม” จริง ๆ แล้วจ้าวโม่ชิงเองก็ไม่รู้หรอกว่าฉินหลินขายส่งอะไรอยู่ รู้แค่ว่าเขากำลังไปได้สวยและไม่ได้อยากจะเล่าให้ฟังตอนนี้
“แม่คะ จริง ๆ ฉินหลินเองก็เป็นคนดี ตั้งใจทำงาน แถมยังดีกับโม่ชิงของเรามากด้วย” หลี่เจียเหวินบอก
เฉินเซียวถอนหายใจและพูดว่า “ก็รู้ว่าเด็กนั่นดี แต่ครอบครัวน่ะซี่ เฮ่อ~ แม่แค่กลัวว่าถ้าโม่ชิงแต่งงานด้วยแล้วจะไปลำบากต่างหากเล่า”
เรื่องนี้หลี่เจียเหวินเองก็ไม่เถียง
…...............................................................................
วันรุ่งขึ้น
ฉินหลินตื่นแต่เช้าเก็บเกี่ยวแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่ทั้งหมดแล้วปลูกชุดใหม่
หลังจากล้างหน้าล้างตาและกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไปยังโกดังเช่าแล้วเอาผลไม้จากในเกมออกมาและไปส่งให้พวกหลิวต้าเชิ่ง
“เสี่ยวฉิน เอ่อ ฉันมีเรื่องจะบอกน่ะ”
หลิวต้าเชิ่งคิด ๆ ดูแล้วก็ตัดสินใจบอกอย่างเขิน ๆ “คือราคาแตงโมมันตกแล้วน่ะ ราคาส่งช่วยลดซักสองเหมาได้มั้ย?”
ฉินหลินได้ยินเรื่องนี้ก็อึ้ง ๆ ไป ‘แตงโมราคาตกแล้วเหรอเนี่ย?’
แต่ก็นึกไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะโดยปกติแตงโมจะราคาสูงช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมแล้วเมื่อถึงกันยามันก็จะราคาตก เป็นอย่างนี้ทุกปี
ช่วงต้นปีนี้ราคาของแตงโมในตลาดขายส่งอำเภอโหยวเฉิงลดลงมากเลยเหรอ?
แต่พอวิเคราะห์ดูก็พอจะรู้สาเหตุ เพราะการที่ราคาตกมันก็น่าจะเป็นเพราะตัวเขาเองนี่แหล่ะ แต่ละวันเขาขายส่งแตงโมวันละแปดร้อยลูก น้ำหนักรวม ๆ วันละเก้าพันกว่าจิน ดังนั้นตลาดในเมืองเล็ก ๆ แบบนี้ย่อมต้องได้รับผลกระทบไปด้วยอยู่แล้ว
ในเมื่อแตงโมจะราคาตกลงเรื่อย ๆ จนสุดท้านคงเหลือจินละไม่ถึงหนึ่งหยวนแบบนี้กำไรคงไม่อาจตอบสนองต่อความอยากของเขาได้อีกต่อไปแล้ว เขาจำเป็นต้องพิจารณาหาผลผลิตชนิดอื่น
ตามคาด คือตอนเอาของไปส่งที่ RT-Mart ในตอนเย็น ตอนกำลังจะเปิดบิลแจ้งหนี้ผู้จัดการเฉินเองก็ขอลดราคาด้วยจริง ๆ
มันยิ่งทำให้เขาตัดสินใจหยุดปลูกแตงโมอย่างจริงจัง
ทันทีที่เขาออกจาก RT-Mart เขาส่งวีแชทเข้ากลุ่มเถ้าแก่ร้านผักผลไม้คร่าว ๆ ว่า “แตงโมที่ลูกชายของลุงของหลานคนที่สองของปู่ขายหมดแล้วนะครับ พรุ่งนี้ทุกคนต้องไปหาซื้อที่ตลาดแล้วนะครับ”
เขาไม่รู้สึกผิดเลยที่หยุดจู่ ๆ ก็ส่ง เพราะนี่แค่ซื้อขายกันธรรมดา ๆ ไม่ได้เซ็นสัญญาระยะยาวอยู่แล้ว
เสร็จแล้วเขาก็กลับไปโฟกัสในจอเกมสั่งให้ตัวละครไปยังร้านขายเมล็ดพันธุ์ในเมืองแร่ดิบเพื่อหาของที่แพงกว่าแตงโมมาปลูก
และเขาก็ตรวจสอบราคาของพวกมันในเน็ตไปพร้อม ๆ กันด้วย ต้องเลือกอันเหมาะ ๆ ปลอดภัย และราคาแพง
หลังจากตรวจสอบอยู่นานในที่สุดก็เจอของที่เหมาะเหม็งที่สุดเข้าให้
กระเจี๊ยบเขียว!
กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาพืชบกทั้งหลาย เวลาสุกของมันก็พอ ๆ กับแตงโมด้วย
ที่สำคัญเลยคือกระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่เพาะเมล็ดไม่ใช่เพาะกล้าเหมือน ๆ กับแตงโม และยังเป็นพืชที่มีความลับอยู่อีกเยอะซึ่งไม่เป็นปัญหาเลย
ตอนนี้ราคาส่งที่นี่อยู่ที่จินละหกหยวน
ต้นทุนคือเงินที่เอาไปซื้อเมล็ดพันธุ์ ซึ่งเขาก็ไม่เอาอะไรเยอะ เอาแค่จินละหกหยวนเดิม ๆ นั่นแหล่ะพอแล้ว
พอตัดสินใจได้แล้วก็ไปหาซื่อเมล็ดพันธุ์จากร้านขายเมล็ดพันธุ์มาถุงหนึ่ง
พอกลับถึงบ้านเขาก็เข้าเกมแล้วเอาเมล็ดกระเจี๊ยบเขียวทั้งถุงใส่ในช่องเก็บเมล็ด จากนั้นก็ออกเกมแล้วสั่งตัวละครให้ถางต้นแตงโมที่ปลูกไว้ก่อนหน้านี้แล้วปลูกเมล็ดกระเจี๊ยบเขียวลงแปลงทั้งยี่สิบสี่แปลง