ตอนที่ 822 แดนสวรรค์ใต้ ความหวังของเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางกลับไปที่ทวีปมังกรทะยานและตรงไปยังตำแหน่งที่แม่เฒ่าซาระบุ
ทะเลสีฟ้ากลายเป็นทุ่งหม่อนไปแล้ว
หลายหมื่นปีผ่านไปสถานที่ตั้งอักษรรูนดั้งเดิมถูกซ่อนบดบังแตกต่างจากความทรงจำของแม่เฒ่าซา ที่นั่นกลายเป็นหุบเขาเต็มไปด้วยทวิชาติและบุปผาชาตินานาพันธุ์ ตอนนี้หุบเขาไม่เพียงแต่ถูกฝังอยู่ในฝุ่นประวัติศาสตร์เท่านั้น ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นภูเขาสูงสองกิโลเมตร หลังจากตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เย่ว์หยางได้ข้อสรุปในที่สุด ตำแหน่งอักษรรูนโบราณอยู่ใต้พื้นดินอย่างน้อยหนึ่งกิโลเมตร
ไม่มีทางผ่าน มีแต่ดินทับถมหนาถึงหนึ่งกิโลเมตร เย่ว์หยางให้ความสนใจมาก
เขากลับไปต้าเซี่ยเข้าพบจักรพรรดิจุนอู๋โหย่วขอให้เขาช่วย
“นี่เป็นเรื่องเล็ก ทวีปมังกรทะยานของเราไม่เคยมีปัญหาเรื่องขาดแคลนกำลังคนอยู่แล้ว” จุนอู๋โหย่วพอได้ยินข่าวใหญ่เช่นนั้นก็รู้สึกมีความสุข และบอกให้เย่ว์หยางไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป “เจ้าไม่ต้องลากคนไปมากมาย ข้ารู้จักคนเก่าแก่หลายคน พลังของพวกเขาแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งในสายงาน แต่เขาก็มีความสามารถพิเศษ อย่างเช่นอสูรดำดินอย่างหนอนดินภูเขา ในที่ที่เจ้ากำหนดไว้ การค้นหาเส้นทางหลายกิโลเมตรไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อย่างมากก็ใช้เวลามากหน่อย เขาเคยขุดอุโมงค์ใต้ตำหนักข้า ใช้เวลาหนึ่งเดือนก็สำเร็จ”
“เยี่ยมเลย ถ้าใช้เวลาเพียงเดือนเดียว อย่างนั้นข้าจะได้เอาไปใช้ในดินแดนฝึกฝนเพื่อผ่านด่าน” เย่ว์หยางรู้ว่าจุนอู๋โหย่วเข้าใจความหมาย
“เชี่ยนเชี่ยนเป็นยังไงบ้าง?” จุนอู๋โหย่วถามเหมือนไม่ตั้งใจ
“มีความก้าวหน้าอย่างมากมายเมื่อเร็วๆ นี้นางบรรลุก้าวข้ามขีดจำกัดหลอมรวมพลังกับดาบเทพจักรพรรดิอวี้ได้เต็มที่แล้ว... และเร็วๆ นี้นางทุ่มเทให้กับการฝึกฝนและปฏิเสธไม่ให้ข้าเข้าไปใกล้นาง” เย่ว์หยางรีบยืนยันกับจุนอู๋โหย่ว เพื่อให้เขารู้ว่าธิดาของเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้งไว้
“ดี” จุนอู๋โหย่วเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
เขารู้ว่าดาบเทพจักรพรรดอวี้ให้การยอมรับเย่ว์หยาง เพียงแต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของจักรพรรดิอวี้ ทำให้ธิดาของเขาได้ใช้ดาบวิเศษ
ถ้าธิดาของเขาสามารถกำจัดสำนึกที่ป้องกันของจักรพรรดิอวี้ได้ ก็จะได้ครอบครองและหลอมรวมกับดาบเทพจักรพรรดอวี้และนั่นจะกลายเป็นสมบัติเทพสำหรับนางคนเดียว ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่อาจคาดเดาได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ เด็กสาวสามารถมีพลังถึงระดับนี้ได้ จุนอู๋โหย่วไม่ภูมิใจก็คงเป็นเรื่องแปลกคนรุ่นหลังในทั่วทั้งหอทงเทียนทั้งหมด เฉพาะเจ้าเด็กผิดปกติอย่างเย่ว์หยางไม่ต้องไปพูดถึง เว้นแต่แม่หนูเสวี่ยอู๋เสีย ใครอื่นจะเทียบกับธิดาสุดที่รักของท่านได้?
เมื่อออกจากวังต้าเซี่ย มีเงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งวาบเข้ามา
เย่ว์หยางยิ้ม
นี่คือราชันย์ฟ้าบูรพาที่ลี้ภัยไปที่วังต้าเซี่ยชั่วคราว
ราชันย์ฟ้าบูรพาตอนแรกเหลียวมองดูรอบๆ ก่อน พอเห็นว่าไม่มีใครเขาคว้าคอเสื้อเย่ว์หยาง “เจ้าเด็กร้ายกาจ บังอาจแฉเราผู้เฒ่า ไม่ต้องการมีชีวิตแล้วหรือ?” เย่ว์หยางทำสีหน้าจนใจ “ท่านไม่รู้หรือว่าฝ่าบาทเป็นใคร ในเวลานั้นข้ายังรักษาหน้าตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้ฝ่าบาทก็ไม่ได้กริ้วจริงๆ อีกสักสองสามวันท่านค่อยกลับไปขออภัยโทษก็ได้ ฝ่าบาทอภัยให้ท่านอยู่แล้ว” ราชันย์ฟ้าบูรพาเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับโวยวายเสียงหลง “ข้ายังไม่กลับไปอย่างแน่นอน อีกสักครึ่งปีค่อยว่ากัน”
หลังจากนั้นเขาตบไหล่เย่ว์หยาง “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องสามารถพูดได้ และนี่ไม่อาจตำหนิเจ้า ไม่มีใครสามารถต้านทานสายฟ้าที่โกรธเกรี้ยวได้ เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าเดินทางไปทั่ว ลูกโล่วฮัวของข้าเป็นยังไงบ้าง? ถึงแม้ว่าการฝึกฝนจะเป็นเรื่องสำคัญ คู่รักหนุ่มสาวที่แยกจากกันบ่อยๆ อาจจะส่งผลกระทบบ้างต่อความรู้สึกของสามีภรรยา ถ้าเจ้าไม่ถูกเรื่องสำคัญผูกมัดเป็นพิเศษ ก็ควรพานางไปผจญภัยด้วย นอกจากนี้ด้วยทักษะฝีมือของนางจะไม่เพิ่มภาระให้เจ้าอย่างแน่นอน นางคงจะช่วยเจ้าได้บ้าง.. เจ้าเองก็ต้องพยายามให้หนัก และเป็นการดีที่สุดอย่างน้อยเอาไว้ให้ข้าได้คุยอวดโม้ข้างนอกบ้างในปีหน้า ข้าก่อกวนให้ตาเฒ่าจุนอู๋โหย่วได้คลั่งใจตายบ้าง” ว่ากันที่จริงแล้ว เขาต้องการเอาไว้คุยข่มจุนอู๋โหย่ว
เย่ว์หยางอดลอบหัวเราะไม่ได้
แน่นอนว่าราชันย์ฟ้าบูรพาจะไม่ยอมตกเป็นลูกไล่ของจุนอู๋โหย่วอีกต่อไป ก่อนพบจุนอู๋โหย่วและเย่ว์หยาง เขาเกรงว่าเย่ว์หยางจะมาพร้อมกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและปฏิบัติกับธิดาของเขาอย่างเย็นชา ดังนั้นเขารีบปรี่เข้ามาหวังจะทุบตีเย่ว์หยาง
หลังจากพูดคุยทีละคนซึ่งตามปกติเย่ว์หยางจะพูดคุยรักษามารยาท แต่พอเขากลับมาโลกพฤกษาบันไดสวรรค์ เขาพาเจ้าเมืองโล่วฮัวออกมาด้วย
เจ้าเมืองโล่วฮัวประหลาดใจ แต่มองผิวเผินนางมิได้ปฏิเสธ “ล่าสมบัติหรือเปล่า? อย่างไรก็ตาม, ผู้อื่นยังต้องฝึกฝนต่อ มิฉะนั้นจะล้าหลังเจ้า เจ้าน่าจะหาตัวอี้หนานหรือปิงเอ๋อไปกับเจ้าด้วย!”
เย่ว์หยางคว้าสาวงามในชุดไหมแพรวพราวและบรรจงจูบริมฝีปากนาง “เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าเมืองที่รักยังไม่ได้ให้รางวัลตอบแทนข้าเลยไม่ใช่หรือ?” โล่วฮัวมองดูเย่ว์หวี่ในที่ไม่ห่างออกไป และรีบโอบคอจูบตอบเขา
ทั้งคู่หน้าแดงต่างกอดกันและกัน
ต่อให้ในเวลากลางคืนนางจะกล้าปรนเปรอคนรักของนางมากเพียงไหน แต่ในเวลากลางวันต่อหน้าคนอื่นนางมิอาจฝืนทำเกินเลยได้
จนกระทั่งเย่ว์หวี่และอู๋เหินโบกมืออำลาไปฝึกฝนยังบันไดสวรรค์โลกพฤกษา นางเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมากะทันหันกระโดดโผเข้าโอบกอดคอเย่ว์หยางให้รางวัลจุมพิตที่ดูดดื่มกับเขาก่อนจากนั้นพ่นลมหายใจอยู่ข้างหูเขา “ไม่ ยังไม่ถูก ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน ไม่ว่าเจ้าทำอะไรผิดถูกมา จงสารภาพออกมาเสียดีๆ? ข้าจะลดหย่อนผ่อนโทษให้กับการสารภาพ” เย่ว์หยางโอบเอวนางไว้ปล่อยความรู้สึกให้ผ่อนคลาย
ขณะดื่มด่ำกับความรักเขาสนองตอบโดยยิ้มให้นาง “เจ้าเมืองที่แสนงดงามและลึกลับ ข้าน้อยในฐานะหัวหน้าองครักษ์ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก”
“ห้ามลาออก เจ้าต้องตายเพื่อไถ่โทษ!” เจ้าเมืองโล่วฮัวทำให้เขาขำ ในโลกคู่รักที่แสนโรแมนติค นางจะกลับคืนนิสัยเดิมอย่างแท้จริง ไม่ต้องมากมารยาท หัวเราะง่าย ปล่อยอารมณ์ร่าเริงได้ตามต้องการ
“ตายเพราะเหนื่อยเกินไป จะดีหรือเปล่า? องครักษ์ส่วนตัวพร้อมจะทำหน้าที่แล้ว” เย่ว์หยางเคลื่อนมือไม่หยุดนิ่ง
“ตัวร้าย! เจ้าดีแต่กลั่นแกล้งก่อกวนทั้งวัน...” เจ้าเมืองโล่วฮัวไม่ห้ามการกระทำของคนรักนาง มีแต่จะลุ่มหลงเชิดหน้าหอบหายใจเบาๆ พวกเขาดูดดื่มอยู่กับความรักเป็นเวลานานจนตะวันลับฟ้าเห็นเป็นแต่เพียงเงาทั้งคู่คลอเคลียอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน
หุบเขาฝังกระบี่ไม่ใช่เป็นหุบเขา
พื้นที่เดิมเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้เทือกเขาเหล็กแห่งทวีปมังกรทะยาน เพราะอาวุธเทพเป็นเครื่องมือที่มีมีชื่อเสียงต้องการ ที่นั่นจึงตั้งชื่อว่าหุบเขาฝังกระบี่ หรือเรียกว่าหมู่บ้านภูเขาฝังกระบี่ ผู้ปกครองคนแรกคือ บุรุษฝังกระบี่ มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่รุ่งเรือง ในยุคโบราณหุบเขาฝังกระบี่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองฉางจิงเสียอีก
อย่างไรก็ตาม เป็นเวลานานมากแล้วตั้งแต่พื้นที่นั้นถูกทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์
เย่ว์หยางได้ประวัติที่แท้จริงมาเล็กน้อยจากบันทึกประวัติศาสตร์และคำบอกเล่าของแม่เฒ่าซา
หลังจากผ่านไป 180 ชั่วคน หุบเขาฝังกระบี่ถูกฝังไว้ภายใต้อิทธิพลความขัดแย้งมีการต่อสู้กันนานหลายร้อยปี ในที่สุดสามีของภูตไหมฟ้าตายในการต่อสู้ ต่อมาหุบเขาฝังกระบี่ขับไล่ตระกูลทรยศที่นำโดยจ้าวอัคคีพิโรธ อย่างไรก็ตามเมื่อจ้าวอัคคีพิโรธรวบรวมฟื้นฟูกำลังได้ เขาสาบานว่าเขาไม่สนใจคำมั่นที่ให้ไว้กับหุบเขาฝังกระบี่ เขาไม่ยอมให้คนอื่นชิงหุบเขาฝังกระบี่ไป เขาชักชวนยอดฝีมือจำนวนมากบุกโจมตีหุบเขาฝังกระบี่
ในที่สุดผลการต่อสู้ระหว่างภูตไหมฟ้ากับจ้าวอัคคีซึ่งนำโดยมารฟ้าพิบัติ ได้ทำลายหมู่บ้านภูเขาฝังกระบี่ได้ และทั้งสองตายพร้อมกัน ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
เทือกเขาเหล็กกลายเป็นสถานที่ถูกทำลายล้าง ไม่มีใครกล้าเข้าไปอีกเลย
หลายหมื่นปีผ่านไป เมื่อพื้นที่กลายเป็นป่าไม้ อสูรปีศาจในหมู่บ้านฝังกระบี่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นในโลกอีกเลย...
“อสูรปีศาจที่นี่จะโดดเด่นออกมาจากฝูง แม้ว่าจะไม่น่ากลัว แต่ก็มีแปลกและดูเหมือนได้รับอิทธิพลจากพลังงานบางอย่าง พืชพันธุ์ก็เหมือนกัน ข้าเห็นดอกไม้สดในระหว่างทางหลายสิบพันธุ์ ไม่ธรรมดาสักต้น” เจ้าเมืองโล่วฮัวและเย่ว์หยางค้นหาเทือกเขาเหล็กอยู่ครึ่งค่อนวันจึงได้พบสิ่งที่น่าสงสัยในสถานที่นี้”
“มันอาจจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังงานลึกลับบางอย่าง” เย่ว์หยางก็ค้นพบอย่างเดียวกัน อสูรปีศาจที่นี่ไม่แข็งแกร่งแต่แตกต่างจากอสูรในโลกด้านนอก มันมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมากไปกว่าอสูรปีศาจในระดับเดียวกัน
“เป็นไปได้ว่าใช้พลังงานนี้หรือไม่?” เจ้าเมืองโล่วฮัวไตร่ตรองถึงปัญหานี้
“ถ้า.. เป็นไปได้อสูรรบที่จะได้เลื่อนระดับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า ยากจะบอกว่าเคยเกิดมาก่อนหรือไม่” เย่ว์หยางรู้สึกเหมือนกับว่าได้แรงบันดาลใจ แต่รู้สึกว่าไม่ดีอยู่เล็กน้อย
“บางทีเจ้าสามารถใช้พืชพรรณที่นี่เป็นอาหารเลื้องอสูร” เจ้าเมืองโล่วฮัวพูดถึงความเป็นไปได้
“ทำอย่างนั้นคงไม่ดี” เย่ว์หยางคัดค้าน
“ไม่ต้องหาใครมาขุดค้นที่นี่ ข้ามีความรู้สึกว่าที่นี่คล้ายกับทะเลฝนดาวตกที่ไห่หลานปกครองอยู่ มีแต่พลังและอิทธิพลของมันดูจะต่างกันบ้าง” คำพูดสองคำของโล่วฮัวเหมือนกับเป็นการให้คำตอบโดยบังเอิญ และกระตุ้นความรับรู้ขณะที่เย่ว์หยางกำลังคิดอย่างยากลำบากก็เข้าใจได้ฉับพลันทันที ใช่แล้วคล้ายกับทะเลฝนดาวตก เพียงแต่ความแตกต่างกันคือที่นี่ไม่มีผลกระทบในด้านลบ เมื่อพูดถึงพลังงานบางอย่างในหุบเขาฝังกระบี่ แต่ก็ยังมีผลกระทบที่ยังไม่ได้ถูกภัยพิบัติทำลายสิ้นเชิง การทำลายทั้งหมดเป็นการทำลายเพียงผิวเผิน
“สมกับเป็นเจ้าเมือง ฉลาดจริงๆ” เย่ว์หยางชมเจ้าเมืองโล่วฮัว
“ฮึ” เจ้าเมืองโล่วฮัวเชิดคางใส่
เมื่อเห็นหญิงงามทำงอนดูแล้วมีเสน่ห์จริงๆ เป็นบุรุษอื่นก็คงทานทนเสน่ห์นางไม่ได้ เขากอดแขนนางและก้มลงจูบนางอยู่นาน
ความลับของหุบเขาฝังกระบี่ เย่ว์หยางยังไม่ต้องการบอกใครในตอนนี้ก่อน
บางทีถ้าจะขุดหุบเขาฝังกระบี่จนถึงข้างล่าง อาจจะพบเจอสมบัติหลายอย่างก็ได้.. เขาปล่อยหนูทองค้นสมบัติไว้ให้สำรวจข้อมูลที่นี่โดยเฉพาะก่อน จากนั้นพาโล่วฮัวไปที่เมืองอู๋เย่แดนสวรรค์ใต้ แดนสวรรค์ตะวันตกกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาวุ่นวาย ถ้าแดนสวรรค์ใต้ไม่ได้เกิดหายนะอะไร ตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ถ้าต้องมาสู้กันส่วนบุคคล นั่นถือว่าเป็นเรื่องไม่คุ้มค่าสำหรับพวกเขา
เย่ว์หยางตัดสินใจว่าต้องดำเนินการในแดนสวรรค์ใต้ เขาไม่อาจพูดได้ถึงการเปิดแนวรบหลายด้าน เขาต้องเปิดการรบสองแนวเพื่อคุกคามตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ทำ เขาก็คงดูแย่
เมืองอู๋เย่มีนักสู้ปราณฟ้าสามกลุ่มคือเฟยหวง ฮัวปัน และกลุ่มนักสู้อื่นที่ยอมแพ้และช่วยกันดูแล เจ้าแคว้นมรกตตะลึงกับอำนาจพลังที่หนุนหลังเมืองอยู่ ตอนนี้เมืองยังปลอดภัย
หลายวันมานี้เหตุการณ์สงบ
ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีสงคราม
ธุรกิจการค้ารุ่งเรืองเฟื่องฟู
เปากู่และนูเจนท์ทั้งสองคนมีสถานะที่ดี ใครพบเห็นก็เรียกพวกเขาว่านายผู้เฒ่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เปากู่ที่เคยเป็นพ่อค้าเร่ได้รับความเคารพนับถือจากคนทั้งเมือง แม้แต่พ่อค้าแปลกถิ่นที่มาจากนอกเมืองก็ยังเรียนรู้ธรรมเนียมนี้และชื่นชมเขา แน่นอนทั้งเปากู่และนูเจนท์ต่างมีความรู้เป็นของตนเอง เมื่อเย่ว์หยางมาถึง พวกเขารีบเข้ามาเยี่ยมคารวะทันที ตำแหน่งสถานะของเขาถูกมองในแง่ดีมาก พวกเขาไม่คิดว่าจะมีโอกาสกลายเป็นนายผู้เฒ่า พวกเขารู้สึกว่าสามารถเป็นบริวารของคุณชายสามได้เป็นเรื่องที่ยากมาก เขารู้ว่าแม้แต่นักสู้ปราณฟ้าที่ยอมแพ้อย่างเฟยหวง ฮัวปันและคนอื่นๆ ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอรับใช้เขา
“เห็นพวกเจ้ารับมือเรื่องต่างๆ ได้อย่างนี้ ข้ารู้สึกโล่งใจมาก ไว้รอให้คุณชายไห่กลับมาก่อน เจ้าค่อยรายงานกับเขา!” เย่ว์หยางมอบภารกิจให้พวกเขา ให้ติดต่อไป่ลู่ให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้
ด้วยพลังในปัจจุบันของเย่ว์หยางจะฆ่าเจ้าแคว้นมรกตนั้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
เพียงแต่เบื้องหลังเขายังมีราชาถัวเย่และราชาใจสิงห์ ถ้าเขาได้รับข้อมูลมากขึ้น เขาจะจัดทุกอย่างไว้ในเครือข่ายเดียวกัน ในทางด้านนี้ แดนสวรรค์ใต้เชื่อได้ว่าจะต้องสร้างแรงกระเพื่อมได้ ตราบใดที่เย่ว์หยางสร้างแรงกระเพื่อมให้ขยายออกไป ตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์คงไม่เบี่ยงเบนความสนใจ การให้ความสนใจนั้นไม่ใช่เรื่องดี
ทัศนวิสัยที่ร้ายกาจของเย่ว์หยางมองดูว่าแคว้นมรกตเป็นแค่ปลาน้อยจะจับเมื่อใดก็ได้!