ตอนที่ 820 กลับ, ความลับของแม่สี่
ครึ่งเดือนต่อมา เย่ว์หยางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขราวกับอยู่ในเทพนิยาย
แม้ว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเสวี่ยอู๋เสียจะยุ่งอยู่กับการฝึกฝนในเร็วๆ นี้จนไม่มีเวลาว่างให้ความสนใจเย่ว์หยาง แต่พอพวกนางไม่อยู่ก็เป็นโล่วฮัวและนางเซียนหงส์ฟ้าที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ แต่สาวๆ ยังต้องจับกลุ่มเพื่อให้คุณชายตัวร้ายได้เสวยสุขเต็มที่ในช่วงครึ่งเดือนมานี้จนแทบลืมบ้านลืมหน้าที่ภารกิจ และในหมู่พวกนางเจ้าเมืองโล่วฮัวขยันกระตือรือร้นที่สุด นางคิดถึงเขา แต่ตรงกันข้ามไม่สามารถหาเวลาหลอมรวมแสงอุสาได้ในก่อนนั้น ตอนนี้ไม่เพียงแต่บรรลุระดับใหม่ได้อย่างสะดวกแล้ว ยังมีเย่ว์หยางซึ่งมีพลังปราณก้าวหน้าช่วยเสริมปราณทำให้นางหลอมรวมเขี้ยวแสงและแสงอุษาเกลียวได้ในช่วงครึ่งเดือน เย่ว์หยางได้ภูตแสงมังกรมาจากไป่ลู่ธิดาของอดีตเจ้าแคว้นมรกตซึ่งช่วยหลอมรวมและพัฒนาแสงอุษาได้
ในอดีตแสงอุษายิงออกได้สามเกลียว แต่ตอนนี้ยิงได้ถึงเก้าเกลียว
นอกจากนี้ ยังมีสำนึกภูตมังกร
แม้ว่าจะไม่ได้ดีกว่าสมบัติเทพ แต่ตอนนี้พลังแสงอุษาสังหารมีพลังไม่ด้อยไปกว่าสมบัติชั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้จิ้งจอกหิมะขาวของเจ้าเมืองโล่วฮัวเลื่อนระดับเป็นอสูรเทพแล้ว พลังของนางกำลังเพิ่มมากขึ้น ทั้งก่อนและหลังเปลี่ยนแปลงทำให้เย่ว์หยางอดปลาบปลื้มมิได้
เพราะการหลอมรวมพลังได้ครั้งนี้ เย่ว์หยางจำได้ว่าเขายังคงเป็นหนี้ของไป่ลู่
เวลานั้นเขาสัญญาว่าจะช่วยไป่ลู่ฟื้นฟูเมืองชายแดนและทวงคืนแคว้นมรกต แม้ว่าแผนจะเปลี่ยนไปเพราะมีวิวัฒนาการในด้านต่างๆ แต่เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาได้รับภูตมังกรแสงมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ช่วยอีกฝ่ายหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเป็นธรรมเลย
การฝึกฝนก็ยังไม่จบ ถ้าท้าทายการฝึกฝนสิบด่านแล้ว เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะทำได้สำเร็จ
ดังนั้นเย่ว์หยางตัดสินใจหาเวลาไปแดนสวรรค์ใต้เพื่อพูดคุยกับไป่ลู่แม้จะไม่มีแผนจับเจ้าแคว้นมรกต แต่เขาอาจจะหาทางช่วยนางทางอื่น
“กลับไปแดนสวรรค์ใต้?” ลี่เยี่ยนเหมือนกับว่ามีเรื่องกังวลเล็กน้อย เย่ว์หยางพูดถึงแดนสวรรค์ใต้ แต่นางเงียบ ก่อนจะพูด “สงคราม” นางขอกลับไปด้วย และจะช่วยเขาเข่นฆ่าทั้งสี่ทิศ”
“เจ้ารั้งอยู่ก็ได้ กลับไปฝึกเท่าที่เจ้าต้องการเถอะ” เย่ว์หยางเห็นว่าไม่ให้นางตามไปด้วยจะดีกว่า
“เรื่องนี้ อีกไม่กี่วันค่อยมาพูดกัน” ลี่เยี่ยนส่ายศีรษะและวิ่งขึ้นไปที่บันไดสวรรค์อีก
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง?” เย่ว์หยางถาม
“ไม่รู้..” ทุกคนยิ้มและทุกคนมีความลับเป็นของตนเองและลี่เยี่ยนก็ไม่ยกเว้น
ก่อนที่จะไปแดนสวรรค์ใต้ เย่ว์หยางต้องไปจัดการเรื่องที่ได้ดำเนินการไว้ก่อนหน้านั้น
เป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องง่าย!
ก่อนอื่นเขาไปที่บันไดสวรรค์ชั้นห้าและพอเห็นผู้อาวุโสฟลามิงโกและผู้อาวุโสฉีฟงทำให้พวกเขาทราบว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้าน่ากลัวแค่ไหน
ผู้อาวุโสฟลามิงโกและผู้อาวุโสฉีฟงมีความแข็งแกร่งและพลังมากขึ้น พวกเขาต้องพบกับศัตรูสองกลุ่ม อย่างไรก็ตามการต่อสู้นี่มิได้ใช้เวลาแค่วันเดียว แต่กินเวลาถึงเดือนครึ่ง ถ้าเย่ว์หยางไม่ออกมา พวกเขาก็ยังคงจะสู้กันต่อไป ในการสู้รบระยะยาวนี้ในจำนวนคนมากมาย มารสัมฤทธิ์ฟ้าถึงกับหัวเราะได้ในที่สุด พวกเขาได้เปรียบจากจำนวนคน ดาหน้าเข้าต่อสู้กับฟลามิงโกและฉีฟง ทั้งยังกีดกันพวกเขาไม่ให้ฟื้นตัว ตอนนี้อย่าว่าแต่สมาชิกวังมารและแดนนรกเลย จักรพรรดิใต้พิภพ, จักรพรรดิมังกร นักสู้จากหอทงเทียน พันธมิตรปราณก่อกำเนิด และแม้แต่สี่ตระกูลใหญ่จากทวีปมังกรทะยาน รวมทั้งขุนพลหมื่นกระดูกฟงขวง อาจารย์ตาเหยี่ยวเซี่ยโหวเว่ยเจี๋ย ฯลฯ ที่เพิ่งจะยกระดับจากนักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าสู่ขอบเขตปราณก่อกำเนิดก็มาร่วมสมทบด้วย
แม้ว่าพลังของพวกเขาสำหรับฟลามิงโกดูจะห่างไกลกันสุดกู่ ไม่มีอะไรที่ต่างกับมด แต่จำนวนขนาดนี้เพียงพอต่อการส่งผลถึงการรบ เมื่อใดก็ตามที่ฟลามิงโกและฉีฟงสู้กับมารสัมฤทธิ์ฟ้าและคนอื่นจนหมดแรงพวกเขาจะรวมพลังกันโจมตี
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและองครักษ์พิทักษ์ฟ้าเกือบจะถูกฟลามิงโกและฉีฟงฆ่า
มีแค่มารสัมฤทธิ์ฟ้าเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการสูญเสียสองเป้าหมายการฝึกฝนที่ดีที่สุด ผู้อาวุโสวิหารทั้งสองเพื่อความอยู่รอดจึงไม่ยอมตาย
เมื่อเย่ว์หยางปรากฏตัว เยี่ยเสี่ยวผู้รับผิดชอบช่วยให้นักรบเผ่ามนุษย์ฝึก และหย่งฮุยที่ยืนกอดอกเฝ้าดูอยู่ด้านข้างรู้สึกตกใจ ในบรรดาพวกเขาหย่งฮุยบินเข้ามาหาและพูดกับเย่ว์หยาง “ข้าทำข้อตกลงรับงานจากพวกเขา รวมทั้งหย่งฮุยด้วย”
เนื่องจากหย่งฮุยเชี่ยวชาญเรื่องจับอสูรที่มีพลังสร้างความเสียหายได้สูง
เรื่องนี้ทำให้เย่ว์หยางค่อนข้างกังวล
เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับข้อตกลง เขารู้ว่าผู้ปกครองหอทงเทียนที่แท้จริงนั้นไม่ใช่มารสัมฤทธิ์ฟ้า แต่เป็นคุณชายสามตระกูลเย่ว์
“พวกท่านซ้อมมือกันต่อไป อีกไม่กี่วันข้าจะหาเป้าหมายสองสามคนมาให้พวกท่าน” ทันใดนั้นเย่ว์หยางรู้สึกว่ามีคนเกือบพันรุมล้อมคนสองคน การแข่งขันท้าทายดูเหมือนจะยากขึ้นทุกที
“ไม่ต้องแล้วเจ้าบ้า, ผู้อาวุโสตำหนักกลางทั้งสองที่โยนมาให้ก็มากพอแล้ว!” จอมปีศาจบารุธตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าหวังว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ระดับเจ้าตำหนักนะ” จักรพรรดิมังกรพูดโดยไม่คัดค้าน
“……”
ผู้อาวุโสฉีฟงและฟลามิงโกยังคงมีเรี่ยวแรงบ้างเล็กน้อย ที่สำคัญพวกเขายังคงมีความหวังว่าถ้าพวกเขาไม่ตาย และมีโอกาสฟื้นฟูพลังถึงปราณฟ้าระดับห้าได้ จากนั้นจะทำลายความหวังของมดแมลงเหล่านี้และกลับไปแดนสวรรค์ ยกเว้นมารสัมฤทธิ์ฟ้าที่ค่อนข้างเป็นตัวยุ่งยาก พวกเขาไม่คิดว่าคนอื่นจะเป็นภัยคุกคาม ตอนนี้พอเห็นเย่ว์หยางเจ้าเด็กผู้นี้กลับมาอีกครั้ง พวกเขารู้สึกใจตกวูบทันที
สิ่งที่ทำให้พวกเขาหมดหวังที่สุดก็คือเจ้าเด็กผู้นี้ ไม่พบกันกว่าหนึ่งเดือนกลับมีความก้าวหน้าระดับใหม่
ถ้าเป็นแต่ก่อน เขายังคงพอกดศีรษะเขาได้
แต่ตอนนี้เล่า?
ทันใดนั้นพวกเขาพบด้วยความสยดสยองว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นระดับพลังหรือความรู้ พวกเขามีการมองหาที่ดี การผจญภัยแบบไหนที่ทำให้เด็กผู้นี้มีความก้าวหน้ามากมายขนาดนี้? ด้วยความก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนั้น ตำหนักกลางแดนสวรรค์อาจถูกโค่นได้ นั่นเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
“ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว” ฟลามิงโกรู้สึกไม่มีหวังจะดิ้นรนต่อไป แค่ยอมแพ้เหมือนเยี่ยเสี่ยวหรือหย่งฮุยที่ก่อนนี้ก็น่ากลัวและดูถูกดูแคลนฝ่ายตรงข้ามมาก่อน แต่ตอนนี้ต่อให้เป็นชีวิตที่น่าสงสารก็ยังสำคัญ นี่ไม่ใช่แดนสวรรค์ ที่นี่คือหอทงเทียน ที่นี่คือบันไดสวรรค์ เป็นถิ่นของเจ้าเด็กเย่ว์หยางนั่น ทำอะไรลงไปก็ไม่มีผล ถ้าพวกเขาพลาดพลั้งลงมือกับญาติหรือสหายของเย่ว์หยาง อย่างนั้นเจ้าเด็กนี่คงสำเร็จโทษพวกเขา ผู้อาวุโสตำหนักไม่สามารถทำอะไรได้ และชีวิตของเขาก็ไม่ได้ใหญ่โตอยู่แล้ว
“ข้าให้พวกเจ้าคุยกันเมื่อไหร่? สู้ต่อไป!” มารสัมฤทธิ์ฟ้าแค่นเสียง
กฎใหม่ของหอทงเทียนถูกเย่ว์หยางเปลี่ยน สำหรับศัตรูถ้าจะยอมแพ้ก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เช่นกัน
เยี่ยเสี่ยวและหย่งฮุยคือตัวอย่าง
เอาแต่พูดยอมแพ้ แล้วก็ยอมแพ้แล้วจะมีเรื่องดีๆ ได้อย่างไร?
นอกจากนี้ เป้าหมายการฝึกฝนที่ดีจะไปหาได้จากไหน?
ก่อนนี้จอมปีศาจบารุธเกือบจะถูกผู้อาวุโสฟลามิงโกฆ่าไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาพูดด้วยความโมโห “ไม่ได้, ห้ามยอมแพ้, มารสัมฤทธิ์ฟ้าเจ้านั่นก็เลื่อนระดับไปแล้ว จักรพรรดิมังกรและจักรพรรดิใต้พิภพก็บรรลุระดับใหม่ไปแล้ว เราผู้เป็นจ้าวปีศาจยังไม่ก้าวหน้า! มาสู้กันต่อ ห้ามยอมแพ้!” ผู้อาวุโสฟลามิงโกและผู้อาวุโสฉีฟงแทบเป็นลม ใครให้กำเนิดหอทงเทียนกันนะ?
มีอย่างที่ไหน ไม่อนุญาตให้ยอมแพ้?
ทุกคนในแดนสวรรค์พูดกันว่าพวกตำหนักกลางนั้นยโสโอหัง แต่พอเทียบกับพวกหอทงเทียนเหล่านี้ ชาวตำหนักกลางกลายเป็นสุภาพบุรุษผู้นอบน้อมไปได้ทันที
ตอนนี้เย่ว์หยางพบว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้า พวกเขาจะมีระดับความก้าวหน้าที่รวดเร็วเมื่อถูกความตายคุกคามบีบคั้น ในกรอบแนวคิดที่มืดมนพวกเขายังคงได้รับผลจากการใช้วิธีของตนเอง มิฉะนั้นพวกเขาก็ต้องอาศัยพวกเขามาช่วยฝึก เขาใช้เข็มทิศสามภพกลับไปยังดินแดนฝึกฝน เพียงแต่ตอนนี้นักรบของสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ กลุ่มทุ่งหิมะ กลุ่มเขตรกร้างที่แปดและกลุ่มเพลงสงครามล้วนแต่ตายอยู่นอกดินแดนฝึกฝน
ผู้นำของพวกนั้นถูกแขวนคอกับเชือกทีละคนๆ
ผู้นำที่ถอนตัวไปก่อนนั้นไม่สามารถหลีกพ้นความตายที่น่าสยดสยองได้
ความสามารถของตำหนักกลางไม่ธรรมดา เมื่อมาถึงก็ลงมือกับสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของแดนสวรรค์ตะวันตก
นอกจากราชาหลิงหวินทั้งหกคนแล้ว
ที่เหลือทั้งหมดถูกทำลายราบคาบ
“อะไรนะ?” ราชาหลิงหวินที่ซ่อนตัวอยู่ในซากวิหารปีศาจดินตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวจากเย่ว์หยาง
“นักรบมรณะตำหนักกลางแดนสวรรค์” เถี่ยว่านกัดฟันกรอด นักรบแดนสวรรค์ที่เพิ่งแยกจากไปนั้นคือสหายของเขา แม้แต่ลูกหลานของพวกเขาก็มี
“ข้าจะพาเย่คงและคนอื่นไปหาประสบการณ์ที่เมืองเจิ้งฝูก่อน พวกท่านก็ควรไปด้วย! ในเมืองเจิ้งฝูมีทหารผ่านศึกของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีที่ยังหลงเหลืออยู่ พวกตำหนักกลางยังไม่กล้าไปท้ารบที่นั่น และตอนนี้นั่นเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในแดนสวรรค์ตะวันตกแล้ว” เย่ว์หยางไม่สามารถปลอบใจพวกเขาได้ ได้แต่ให้คำแนะนำกับพวกเขาเท่านั้น
เย่คง เจ้าอ้วนไห่ เสวี่ยทันหลางสู้กับพฤกษาปีศาจอสูรปราณฟ้าระดับห้าจนแทบไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ พวกเขาใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน
แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแทบตายจนขยับไม่ได้หลายวัน แต่ทุกคนได้เลื่อนระดับอย่างมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสวี่ยทันหลาง ก้าวหน้าถึงสองขั้น
พลังของเขาใกล้จะถึงระดับปราณฟ้าเต็มที่
แน่นอนว่าระหว่างปราณฟ้าและปราณราชันย์ยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก ไม่ต้องพูดถึงพวกเขา แม้แต่เสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็ยังไปไม่ถึงระดับนั้น
ต่อให้เป็นปราณฟ้าระดับห้า เมื่ออยู่ต่อหน้านักสู้ปราณราชันย์ ก็เป็นได้เพียงขยะ
เสวี่ยทันหลางฝึกฝนมาอย่างยาวนาน เรื่องนี้ไม่อาจกังวลได้ แต่เขายังอายุน้อยไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป เย่ว์หยางคิดอยู่ตลอดเวลาที่จะเอาพวกเขาไปฝึกกับพวกทหารผ่านศึกในเมืองเจิ้งฝู ที่สำคัญที่สุดก็คือที่นั่นปลอดภัย และมีทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์โชกโชนผ่านสมรภูมิเลือดมามากมาย นั่นจะช่วยให้การฝึกฝนพลังปราณราชันย์ก้าวหน้าได้มาก
พวกเสวี่ยทันหลางไม่มีความเห็นอะไรมาก และพวกเขาปฏิเสธราชาหลิงหวินที่จะใช้อสูรปราณฟ้าพาพวกเขาไปส่ง
พวกเขาไม่ต้องการพึ่งพาอสูรศึกมากเกินไป แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความก้าวหน้าส่วนตัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นเส้นทางที่จำเป็นให้พวกเขาได้เติบโตได้ดีที่สุด
เมื่อไม่มีน้ำตานางเงือกไปให้แม่เฒ่าซา ภารกิจก็ยังนับว่าไม่สำเร็จ เย่ว์หยางยังไม่ไปพบกับแม่เฒ่าซาหลังจากส่งเจ้าอ้วนไห่และพวกไปที่เมืองเจิ้งฝูโดยตรงแล้ว และกลับมาที่หอทงเทียน นางนวลสายลมของเจ้าอ้วนไห่กลายเป็นระดับเตรียมอสูรศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญก็จะเปลี่ยนเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ทันที เย่ว์หยางสามารถเห็นได้ แต่เขาไม่พูดถึง เพียงแต่ลอบให้ความสนใจเจ้าอ้วนไห่และเห็นว่าถ้ามีสมบัติที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้มันได้ยกระดับ.... ถ้านางนวลสายลมกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ เจ้าอ้วนไห่คงดีใจจนจักรวาลแตกแน่นอน!
หอทงเทียน ทวีปมังกรทะยาน วังเทียนหลัว
การกลับมาอย่างกะทันหันของเย่ว์หยางทำให้แม่สี่ประหลาดใจมาก ซวงเอ๋อร้องไห้จ้ากระโดดกอดพี่ชาย
“ซานเอ๋อ! เจ้าฝึกอยู่ที่บันไดสวรรค์ไม่ใช่หรือ? กลับมาได้ยังไง?” แม่สี่ไม่รู้ว่าเย่ว์หยางอยู่ที่บันไดสวรรค์และมีความสัมพันธ์ร่วมมือกันอย่างดีกับจักรพรรดินีราตรีและจื้อจุน อย่างไรก็ตามนางสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของเย่ว์หยาง นางเอามือปิดปากด้วยความประหลาดใจ “เป็นเวลานานแล้วที่เจ้าเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย หรือว่าเจ้าไปได้ประกายเทพมาจากการผจญภัยเร็วๆ หรือ” เมื่อเป็นเช่นนี้ เย่ว์หยางได้แต่เก็บความคิดเอาไว้ เขาไม่พูดถึงเรื่องจื้อจุนบอกเขาว่าจะรอเขาอยู่ที่ขั้นหนึ่งล้าน เขาตั้งใจจะบอกแม่สี่ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าประกายเทพก่อน แต่เห็นว่านางไม่ประหลาดใจเลยจากที่เห็น เขารู้ความลับมากมายแต่ไม่พูด
“ดี ดีมาก ข้าโล่งใจที่ทุกคนช่วยข้าได้” แม่สี่รู้สึกโล่งใจ และซานเอ๋อที่อยู่ต่อหน้านางก็เติบโตแล้ว
“ข้ากลับมาครั้งนี้ ความจริงเรื่องหลักๆ ก็คือต้องการพบแม่สี่เพื่อถามถึงสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์เทพ” เย่ว์หยางกล่าว แม่สี่ถึงกับโบกมือพัลวัล “เจ้าไม่เข้าใจคัมภีร์เทพเลย ใครบอกให้เจ้ามาถามข้า อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้?” เย่ว์หยางรู้สึกว่าแม่สี่ยืนยันว่ารู้ และนางต้องการสนทนาเรื่องลับที่ได้คุยกับจักรพรรดินีราตรีคงไม่เอาเรื่องนี้ขึ้นมาโกหก
“เป็นไปได้ยังไงที่ข้าจะรู้จักคัมภีร์เทพ นั่นเป็นสุดยอดคัมภีร์” เห็นได้ชัดว่าแม่สี่ไม่ต้องคุยหัวข้อนี้มากเกินไป
นางมองดูเย่ว์หยางและเล่นกับซวงเอ๋อ นางเข้าครัวเพื่อเตรียมทำอาหาร
เมื่อเย่ว์หยางกำลังกินกำลังดื่ม จู่ๆ นางก็เม้มปากและดูเหมือนจะตัดสินใจ “ซานเอ๋อ, เกี่ยวกับคัมภีร์เทพที่ฝ่าบาทและจักรพรรดินีราตรีพูด เจ้าควรจะไปดูด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่คิดว่าจะมีทางอื่น...”
เย่ว์หยางรู้ว่านางจะไม่พาใครไปกับนางเพื่อหาคัมภีร์เทพง่ายๆ อย่าว่าแต่นางไม่ได้ถูกบังคับ
พยักหน้า
ซวงเอ๋อผู้เกิดมากินอ้าปากกินขาไก่ชิ้นแรกและตามด้วยอีกหนึ่งขาต่อเนื่องไม่มีใครเร็วกว่า
แม่สี่มีความลำบากใจอย่างแน่นอน เย่ว์หยางไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เข้าใจว่าต้องเป็นเรื่องทำให้นางอึดอัด ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้เขาไม่ต้องการบังคับนางแน่นอน
คัมภีร์เทพสำคัญก็จริง แต่แม่มีความสำคัญต่อเขามากกว่า!
นอกจากนี้คัมภีร์เทพมีพลังวิเศษลึกลับ ถ้ามันยอมรับเจ้านายแล้ว ก็จะไม่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก
เย่ว์หยางสะดุ้งตกใจ..แม่สี่ปฏิเสธจะไปเอาคัมภีร์เทพพร้อมกับเขา และกังวลว่าคัมภีร์เทพจะไม่ยอมรับเขาหรือไม่?
ประกายความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของเย่ว์หยาง เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่สามารถกำจัดความคิดนี้ได้ แม้จะคิดว่าดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจกำจัดความคิดนี้ออกไปได้อย่างสิ้นเชิง แม่สี่มีความลับมากมายเหลือเกิน ทำให้เย่ว์หยางสับสนมากกว่าที่คาดเสียอีก!