ตอนที่ 819 อย่าให้ข้ารอนานเกินไป
เมื่อเย่ว์หยางฟื้นขึ้น นางยังคงนอนอยู่บนพื้น
ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดแบบนั้นมาจากการปรับสภาพร่างกายภายในเร็วเกินไป และร่างกายไม่สามารถปรับสภาพได้อย่างเต็มที่
นี่เขานอนอยู่นานเท่าใดแล้ว? เย่ว์หยางคิดจะเคลื่อนไหว แค่ต้องการจะขยับลุกขึ้นนั่งเขาตกใจแทบสลบทันที จื้อจุนนอนพาดอยู่บนหน้าอกเขา กลิ่นสาวพรหมจรรย์เย้ายวนใจเกินจะบรรยาย ใบหน้านางหลับพาดอยู่ใกล้หน้าของเขา ดูเหมือนยังอยู่ในฝันร้าย เย่ว์หยางมักจะชินกับการเห็นความรุนแรงของจื้อจุน เขาเคยเห็นนางยิ้ม นางโกรธ แต่เขาไม่เคยเห็นนางใกล้ชิดอย่างนี้มาก่อน และไม่เคยเห็นสตรีหลับอย่างสำรวมมาก่อน แต่ครั้งนี้นางแตกต่างไปจากปกติ
ทันใดนั้น เย่ว์หยางลืมสถานะของนาง
เขาอยากเอื้อมมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของนางเบาๆ
ไม่อาจบอกได้ว่านี่เป็นความคิดใดๆ ความเคลื่อนไหวของเขามาจากส่วนลึกของหัวใจ บางทีอาจเป็นแรงดึงดูดทางวิญญาณก็ได้
เย่ว์หยางพยายามเคลื่อนไหวเบาๆ ตอนนี้เขาพบว่ามือขวาของเขาถูกแขนจื้อจุนกดทับอยู่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ถ้าเขาขยับแรงแม้แต่เล็กน้อย อาจจะทำให้จื้อจุนตื่นขึ้นก็ได้ ช่างเถอะยังไงก็ยังเหลือมือซ้าย เย่ว์หยางพยายามควบคุมมือซ้าย และเขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง มือซ้ายของเขาไม่รู้ว่าไปโอบอยู่ที่เอวบางตั้งแต่เมื่อไหร่
โอบเอวนางไว้ขณะที่หลับนี่น่ะหรือ?
เรื่องนี้ทำให้เย่ว์หยางกลัว
ถ้าขืนให้จื้อจุนรู้ นี่ยังจะเป็นเรื่องสถานเบาหรือเปล่า
เย่ว์หยางรู้ว่าเอาชนะจื้อจุนเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเอาชนะสามจอมภพแดนสวรรค์ หรือแม้แต่จะเจ้าตำหนักกลาง ตอนนี้เป็นเรื่องบ้าบิ่นถ้าจะไปยั่วให้นางไม่พอใจและเพิ่มความยากลำบาก แม้ว่าเย่ว์หยางจะถูกกำหนดตัวไว้ว่าจะต้องรับตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ทั้งหมดนี้ยังพูดเร็วเกินไป แม้ว่าความแข็งแกร่งจะเพียงพอ แต่ยังไม่ได้รับความยินยอมจากนาง ตอนนี้อย่าคิดจะโค่นหอทงเทียนในวันนี้ก่อน
นางยังหลับ นางคงไม่รู้
ถ้าแตะนิด แตะหน่อย..
เย่ว์หยางมีความคิดลามกที่คอยกระซิบบอกเขาในใจ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุด
เย่ว์หยางกลืนน้ำลายด้วยความกังวลใจ เขาปลุกปลอบใจตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าได้ ตายเป็นตาย แม้ว่านางจะตอบสนองด้วยการหักนิ้วเขา แต่โอกาสที่ยากจะหานี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
มือซ้ายของเขาค่อยเลื่อนลง
เพราะความกังวลมากเกินไปนำมาซึ่งความตื่นเต้นสุดบรรยาย มือซ้ายของเขาสั่นเล็กน้อย
เมื่อปณิธานใกล้เป็นจริง ขณะที่มือซ้ายของเย่ว์หยางสั่นเล็กน้อยขณะเลื่อนมือ ดวงตางามของจื้อจุนพลันลืมตาจ้องมองเย่ว์หยาง หัวใจของเขาแทบกระดอนออกมานอกตัว
“วันทั้งวันเจ้าคิดอะไรอยู่?” จื้อจุนไม่พูด แต่ความรู้สึกดุร้ายรุนแรงผ่านเข้ามาในใจของเขา
“ข้าไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” เย่ว์หยางทำตัวเหมือนเด็กน้อย โชคดีที่เขาไม่มีความคิดทำร้ายอยู่ในใจ มิฉะนั้นนางคงทำลายเขาแน่ ไม่ถูก เย่ว์หยางพบว่าเขาไม่ได้พูด แต่จื้อจุนก็ไม่ได้พูด นางจงใจส่งความรู้สึกทางใจให้เขาหรือ? ยิ่งกว่านี่ไม่ใช่การบุกรุกทางใจ แต่เป็นการสะท้อนตอบทางใจเหมือนกับคนสองคนคุยกันทางจิตได้ เกิดอะไรขึ้นกับเขา?
“เรื่องของใจเข้าใจได้ยาก ห้ามอ่านใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า” จื้อจุนยังอยู่ในท่าเดิม บางทีนางคงตื่นแต่เพียงวิญญาณ และการควบคุมกายหยาบกลับมายังต้องใช้เวลา
เย่ว์หยางเสียใจเล็กน้อย ที่เมื่อครู่นี้เขากระวนกระวายเกินไป เร่งรีบยื่นมือ
ข้าพลาดโอกาสทองผูกโบว์สายรุ้งเสียแล้ว
ต่อไปไม่รู้จะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่
ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาเหมือนกับฟ้าแล่บ ภายใต้การค้นดูของจื้อจุนเย่ว์หยางรีบสำรวมใจอย่างรวดเร็วกลับมาอยู่ในขอบเขตที่ลึกซึ้ง
เขาไม่รู้ว่าจื้อจุนขอให้หยุดโอกาสเช่นนี้หรือไม่และเขาจะไม่ยอมให้ตนเองเห็นภาพนางยามมิได้นุ่งห่มสิ่งใด หรือจะลงโทษตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้สัมผัสตามต้องการก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่เลวจริงๆ ถึงเขาอาจจะถูกลงโทษก็ตาม
มีความคิดสองสามอย่างผุดขึ้นและเย่ว์หยางค่อยๆ ปล่อยใจตกไปอยู่ในดินแดนละเอียดอ่อนและสงบใจได้อย่างสิ้นเชิง
พลังงานที่ยิ่งใหญ่ของจื้อจุนระเบิดออก
สนามพลังงานรอบตัวเย่ว์หยางกว้างใหญ่ราวกับแม่น้ำ พลังงานพุ่งเป็นลำแสงขึ้นไปถึงท้องฟ้า
เมื่อขึ้นไปสูงมากก็พลิกกลับทันที
ภาพฉายข้างบนเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ดูคล้ายกับจื้อจุนยิ่งสว่างเจิดจ้า ด้านหลังศีรษะเป็นรัศมีแสงสีรุ้งที่สง่างดงาม ในฝ่ามือของภาพมายาศักดิ์สิทธิ์ เกิดพลังงานสีทองนับไม่ถ้วน กลายเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปร่างแตกต่างแต่ดูลึกลับและไร้เทียมทานหมุนเป็นวงอยู่ภายในวงล้อแสงกลายเป็นวงล้อดาบ จากนั้นภาพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่คล้ายจื้อจุนก็ลืมตาทันที ทันใดนั้นโลกเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า แม้แต่สาวๆ ที่กำลังไต่บันไดสวรรค์ก็พากันตกใจเมื่อเห็นว่าทั่วทั้งโลกบันไดสวรรค์กลายเป็นโลกแห่งแสงสว่าง
จื้อจุนคว้ามือซ้ายของเย่ว์หยางและใช้นิ้วมือนางกรีดเบาๆ
ฝ่ามือเย่ว์หยางมีแผลเปิดออก
เลือดไหลทะลักทันที
จื้อจุนพลิกข้อมือหมุนครึ่งรอบ กลายเป็นรูปดวงจันทร์
เลือดที่กระเซ็นก่อตัวเป็นรูปดาวหกเหลี่ยมติดอยู่ที่หน้าผากของจื้อจุน
ขณะที่หน้าผากของจื้อจุนประทับตรารูปดาวหกเหลี่ยม หน้าของนางแนบกับหน้าผากเย่ว์หยางแน่น
เย่ว์หยางยังคงสติอยู่ในดินแดนที่ละเอียดอ่อนและตาของเขากระตุก และถูกพลังปณิธานของจื้อจุนดึงมาอยู่ในพื้นที่ดินแดนวิญญาณที่น่าทึ่ง ที่นั่นร่างวิญญาณของจื้อจุนและเย่ว์หยางหลอมรวมเป็นหนึ่ง ก่อนหน้านี้เย่ว์หยางเคยทำสัญญาวิญญาณกับนางพญาเฟ่ยเหวินหลีและสัญญาวิญญาณนี้ ในแดนสวรรค์ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า ตราสารเทพ!
ในกระบวนการทำสัญญาวิญญาณจนสำเร็จเย่ว์หยางรู้สึกถึงขอบเขตของจื้อจุน และความลับนี้นางไม่รู้
ในขณะเดียวกันจื้อจุนก็แบ่งปันความลับภายในกับเย่ว์หยาง
นอกจากความลับเทพธิดากระบี่ฟ้าและความลับที่ไม่สามารถแบ่งปันอย่างนางพญาเฟ่ยเหวินหลีได้ เรื่องอุปนิสัยและความลับในชีวิตของเย่ว์หยางหลายอย่าง จื้อจุนรู้อยู่เต็มหัวใจ
เพราะไม่มีความจำเป็นต้องกังวลใจว่าระดับของเย่ว์หยางจะไม่สูงพอรองรับได้ อีกทั้งไม่มีการสะท้อนกลับเมื่อจื้อจุนทำสัญญาวิญญาณ ทั้งเย่ว์หยางและจื้อจุนมีความลับส่วนตัวมากกว่าของเฟ่ยเหวินหลีและเย่ว์หยาง แม้แต่ความรู้ที่เย่ว์หยางได้รับตกทอดจากพี่สาวแม่สี่ จื้อจุนก็มีส่วนแบ่งความรู้นี้ได้ เพราะความรู้ที่ได้รับมีมากมายมหาศาลเกินไป ยิ่งกว่านั้นความรู้ในระดับสูงส่งอย่างมากยังถูกผนึกไว้ในใจของเย่ว์หยาง จื้อจุนคาดว่าความรู้ที่เย่ว์หยางได้รับมาใช้นั้นมีเพียงหนึ่งในสาม
เย่ว์หยางยิ่งได้รับจากจื้อจุนมากกว่า รวมทั้งข้อสงสัยต่างๆ ของนางและการรู้แจ้งในการฝึกฝนของนาง
กำหนดทักษะการต่อสู้ และต่อสู้เพื่อชีวิต
ถึงแม้เย่ว์หยางจะมีความเข้าใจสามด้านที่ยิ่งใหญ่ก็คือ ‘สิทธิเทพ’ ‘พลังเทพ’ และ ‘ประกายเทพ’ แต่จื้อจุนยังขาดปราณราชันย์ชั้นเทพ แต่นางมีความเข้าใจขอบเขตชั้นเทพของปราณราชันย์ชั้นเทพ นางจะช่วยให้เย่ว์หยางบรรลุผ่านขีดจำกัดได้
ในเส้นทางนี้ ถ้านางมีเวลาต่อ นางจะมีปราณราชันย์ชั้นเทพแน่นอน นางจะกลายเป็นเทพนารีเจิดจรัส
ในการได้ประกายเทพครั้งแรกของนาง องค์ประกอบทั้งสามด้านล้วนสุดยอด นั่นคือแสง แสงอย่างแน่นอน
ทำไมกัน?
เย่ว์หยางไม่เข้าใจจริงๆ
ทำไมจื้อจุนถึงทำอย่างนี้? นางได้ประกายเทพอยู่ก่อนแล้ว นางมีชะตาจะต้องเป็นเทพแน่ๆ ทำไมนางถึงทำสัญญาวิญญาณด้วยตัวนางเอง? นางทำแบบนี้แทบจะไม่มีอะไรดีต่อนาง เพราะนางจะไม่ได้รับประโยชน์ในส่วนนางเอง แต่นางจะต้องแบ่งปันความรู้สัมผัสของการฝึกฝน และความรู้แจ้งปราณราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ของนาง ถ้าตายในสมรภูมิ สัญญาวิญญาณก็จะตายไปด้วยกัน นางจะกลายเป็นเทพนารีเจิดจรัสในอนาคตแน่นอน นางมักจะอยู่ในระดับขอบเขตเทพแล้ว ทำไมจะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย?
คำถามนี้เย่ว์หยางยังคงไม่อาจเข้าใจได้หลังจากวิญญาณกลับคืนร่างและตื่นขึ้นอีกครั้ง
“รับไป”
จื้อจุนบินอยู่ท้องฟ้า
ภาพศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่หลอมรวมเข้าในร่างนางทันที
ทันใดนั้นภาคพื้นโลกพลันสว่างเจิดจ้า โลกบันไดสวรรค์ขาวโพลนจนมองไม่เห็นรูป
รูปดาวหกเหลี่ยมสีเลือดที่หน้าผากค่อยๆ เลือนหายไป อย่างไรก็ตาม แต่จื้อจุนยังติดต่อทางใจกับเย่ว์หยางได้ ภายใต้สัญญาวิญญาณทั้งสองไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก พวกเขาเหมือนกับคนที่มีใจดวงเดียวกัน จื้อจุนกัดนิ้วหยดเลือดลงบนศีรษะของของนางฟ้าหกปีกโลหิต แนบอีกนิ้วหนึ่งที่แผลบนฝ่ามือของเย่ว์หยางที่ใกล้จะสมานแล้ว ในไม่ช้าก็ดึงเลือดให้ซึมออกมาเช่นกัน และหยดบนศีรษะของนางฟ้าปีกโลหิต
สัญลักษณะดาวหกเหลี่ยมที่หน้าผากนางฟ้าปีกโลหิตเปล่งสีแดง แต่ไม่ใช่สัญญาวิญญาณ แต่เป็นการส่งเสริมที่ลึกลับแบบหนึ่ง
นางฟ้าหกปีกโลหิตเดิมภายใต้การกระตุ้นของผู้ที่มีเลือดเทพสองคนกรีดร้อง ร่างเดิมนางสยายปีกทั้งหกออกพร้อมกับระเบิดพลังออก นางกำลังเลื่อนระดับทะลุขีดจำกัดเดิม ปีกโลหิตสี่คู่สวยงามยิ่งกว่าเดิม...
พอจื้อจุนยกมือ นางฟ้าปีกโลหิตแปดปีกแปลงร่างเป็นดาบแห่งชีวิตทันที และจื้อจุนชูดาบขึ้นในอากาศ
โบกไปมาเบาๆ
ท้องฟ้ากลับถูกขีดลากเป็นรอยแยกได้อย่างน่าทึ่ง
รอยแยกคงอยู่นานโดยไม่สมานตัว
เย่ว์หยางยืนมองตะลึงอยู่บนพื้น นี่คือการผ่ามิติของแท้แน่นอน
หากบุรุษผู้โชคร้ายนั้นถูกฟันสักหนึ่งดาบน่ากลัวว่าคงจะตายอย่างทรมาน
หลังจากจื้อจุนรู้แจ้งพลังในขอบเขตเทพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วงจักรนิรันดรที่เป็นพลังรู้แจ้งของเย่ว์หยางปรากฏออกมา สัญลักษณ์ดาวหกเหลี่ยมเดิมของนางที่ปรากฏในความว่างเปล่าแตกกระจาย และกลายเป็นสัญลักษณ์ดาวหกแฉกที่เป็นนิรันดร สามารถส่องประกายระยิบระยับอยู่ในความว่างเปล่าตลอดไป..โชคดีที่ไม่มีอักษรรูนโบราณของวงจักรนิรันดรคอยสนับสนุน แต่ดาวหกแฉกนี้สามารถคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แม้จะไม่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างวงจักรนิรันดร์ นี่คือดาวหกเหลี่ยมที่จะเปล่งแสงนิรันดร์ในฐานะเป็นพลังเทพส่วนบุคคลของจื้อจุนโดยเฉพาะ และถ้านางไม่มีพลังเทพที่แท้จริง ดาวนิรันดรหกแฉกจะไม่สามารถดึงพลังเทพที่แท้จริงออกมาใช้ได้
“ดับสุริยา”
กลับกลายเป็นว่าเดิมทีจื้อจุนไม่ได้เรียกช่องว่างหลุมดำเล็กมากว่า จุดดับสุริยา แต่หลังจากนางทำสัญญาวิญญาณกับเย่ว์หยางแล้ว นางจึงเรียกชื่อนี้
นี่ก็หมายความว่าพลังทำลายล้างนี้จะถูกเรียกกว่า ‘ดับสุริยา’
ทันทีที่นางเอื้อมมือออก จุดดับสุริยาทั้งหกจะรวมตัวกันกลั่นเพิ่มพลังมากกว่าแต่ก่อนสองเท่าสามเท่า
เย่ว์หยางรู้สึกว่านางยังไม่ถึงขีดจำกัด.. เพียงแต่นางพยายามสงวนพลังและเสริมทักษะในการควบคุม พลังจุดดับในคราวนี้เมื่อเทียบกับครั้งก่อน (ตอนสู้กับจักรพรรดินีฟ้า) มีระดับพลังทำลายล้างมากกว่าก่อนชนิดที่เย่ว์หยางรู้สึกหนังศีรษะชา คาดว่าน่าจะมีความสามารถในการทำลายล้างเป็นรองวงจักรล้างโลกเพียงเล็กน้อย.. เย่ว์หยางยิ่งตื่นเต้นมาก วงจักรล้างโลกถือกำเนิด และระดับพลังทำลายล้างของพลังจุดดับสุริยาในมือของจื้อจุน พลังทำลายล้างของทั้งสองสะท้อนกันและกันเหมือนกับต้องการจะทำลายโลกได้ทั้งใบ
จักรพรรดินีราตรีที่จับตามองภาพนี้อยู่ไกลๆ เห็นฉากภาพที่น่ากลัวนี้แล้วรู้สึกหวาดวิตกกลัวว่าทั้งสองคนจะสู้กัน
เย่ว์หยางและจื้อจุนไม่ได้ทำสิ่งที่นางกลัว
แค่พวกเขาถอนส่วนที่ใช้ในการทำลายล้างออก และขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงเคล็ดความรู้ระดับใหม่ หลังจากทำสัญญาวิญญาณกันแล้ว ทั้งสองสามารถเข้าใจกันได้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่ขณะเดียวกันก็สามารถแบ่งปันความรู้ความสำเร็จของกันได้ ไม่ทราบว่าพวกเขาแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมาไม่รู้กี่เท่า
“พลังทำลายล้างสามเหลี่ยม!”
จื้อจุนกำลังเตรียมใช้แสงทำลายล้าง และตอนนี้จักรพรรดินีราตรีรีบออกมาแนะนำ
จื้อจุนตระหนักได้ทันทีว่าไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการทดลอง ทั้งเย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงกำลังเดินทางมา ถ้ามีการพลั้งพลาด พวกนางอาจได้รับอันตรายถูกทำลายล้างโดยตรงได้ นางเลิกความคิดที่จะทดลองพลังและลงจากท้องฟ้ามาอยู่หน้าเย่ว์หยาง นางไม่พูดนาน เย่ว์หยางทำกับนางเหมือนเด็กทารก นางจะไม่คิดบัญชีคืนบ้างได้อย่างไร?
ทำไมเมื่อครู่นี้ทำไมเขาต้องตื่นเต้นด้วย?
ตอนนี้ดูเหมือนความลำบากของเย่ว์หยางจะเพิ่มขึ้นอีกมาก เย่ว์หยางยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว
“ข้าจะไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระอีก หลังจากทำสัญญาวิญญาณกันแล้ว เจ้ารู้จักข้า ข้าเข้าใจเจ้า นอกจากนี้เจ้าเป็นใคร เจ้าไม่ได้เป็นใครที่นี่!” จื้อจุนยื่นหน้าเข้ามาใกล้เย่ว์หยาง ตานาง จมูกนางอยู่ใกล้เขาจนแทบจะสัมผัสกันได้ ริมฝีปากกลิ่นลมหายใจอยู่ใกล้จนแทบสัมผัสถึง กลิ่นอายลมหายใจของทั้งสองสนองถึงกัน จนเขากลัวแทบตายว่าจะประทับริมฝีปากนาง แต่เย่ว์หยางไม่กล้าผลีผลาม เขาไม่รู้ว่าจื้อจุนอาจจะโกรธในทันทีได้ หรืออาจจะยกโทษให้เขา ผลทั้งสองนี้เป็นไปได้ว่าอาจเกิดขึ้น จื้อจุนจ้องเย่ว์หยางอยู่นาน นางเม้มปากและพูดประโยคเดียวจนเย่ว์หยางแทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยิน “ข้าให้โอกาสเจ้า ข้าจะรออยู่ที่ขั้นที่ล้าน ตราบเท่าที่เจ้าไต่ระดับไปถึงขั้นที่ล้าน!”
“อ๊า...” เย่ว์หยางแทบสำลักเพราะความสุข สาวอกงามผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
“อย่าปล่อยให้ข้ารอนานเล่า!” จื้อจุนหมุนตัวและจากไปไม่เหลียวหลัง
นางผ่านตัวจักรพรรดินีราตรีไป
ไม่ต้องใช้ภาษาพูด แต่จักรพรรดินีราตรีดูเหมือนจะเข้าใจจิตใจของจื้อจุน นางไม่เพียงแต่หัวเราะมีเสียงเบาๆ ซึ่งทำให้ร่างที่อยู่ในสนามพลังดารารายเป็นประกายงดงาม แต่นางคงให้ความเคารพส่งจื้อจุนออกไป
จนกระทั่งกลิ่นจางของจักรพรรดินีราตรีอยู่ใกล้ตัว แต่เย่ว์หยางก็ยังไม่รู้สึกตัว
จักรพรรดินีราตรีดูเขาทำท่าโง่งม ได้แต่หัวเราะพลางกล่าว “เป็นยังไงบ้าง? นางตั้งเป้าหมายให้เจ้าแล้ว รู้สึกว่ามีความหวังในอนาคตบ้างไหม?”
เย่ว์หยางดูเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน รีบตบหลังศีรษะเรียกสติ “ขั้นที่ล้าน, จะทำให้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ารู้ว่านี่เป็นนางสนับสนุนให้กำลังใจข้า” จักรพรรดินีราตรีหัวเราะเสียงไพเราะ “นางสนับสนุนเจ้าอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว นางต้องการให้เจ้าแซงนางให้ได้.. ความจริงข้าเข้าใจนางชัด เด็กน้อย เจ้าต้องการให้ข้าให้กำลังใจเจ้าบ้างไหม ไม่ต้องตั้งเป้าให้เจ้าล้านขั้นก็ได้ มันยากไป เอาแค่สักห้าแสนขั้นก็พอ”
เย่ว์หยางเหงื่อตก
เย่ว์หยางรู้ว่าจักรพรรดินีราตรีกำลังหยอกล้อ แต่เขาอดเหงื่อตกมิได้
“น่าเสียดาย ข้าไม่อาจเป็นแบบนางได้ มิฉะนั้นข้าคงทำสัญญาวิญญาณกับเจ้าบ้าง” จักรพรรดินีราตรีหัวเราะและจากนั้นพูดขึ้น “สาเหตุที่นางทำสัญญาวิญญาณกับเจ้า ความจริงก็คือนางหวังว่าจะแบกรับความเป็นความตายร่วมกับเจ้า และช่วยให้เจ้าเข้าใจถึงความรับผิดชอบที่นางแบกรับอยู่ในขณะเดียวกัน และคอยให้การสนับสนุนที่ดีที่สุดแก่เจ้า สัญญาวิญญาณที่เจ้าครอบงำ จะทำให้เจ้าเติบโตได้เร็วขึ้น และในระดับสูง.... ทุกคนคาดหวังไว้กับเจ้า ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะลำบากเพียงไหน เจ้าต้องจำไว้ตลอดไปว่า เจ้าไม่เคยตัวคนเดียว เจ้าจะได้รับการสนับสนุนจากเราตลอดไป!”