ตอนที่ 1 ความบังเอิญในคราวซวย
ตอนที่ 1 ความบังเอิญในคราวซวย
เสียงฟ้าร้องดังก้องมา บรรยากาศในเดือนกรกฎาคมย่อมเป็นไปตามฤดูกาล
อาจมีฝนตกหนักได้ทุกเมื่อ เกาจิ้ง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ในถนน บนภูเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับ ความกังวลอยู่ในใจ
ถนนเส้นนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30-40 กิโลเมตร ไม่มีหมู่บ้านร้านค้าปั๊มน้ำมัน หรือแม้แต่ศาลาที่จะใช้หลบฝน และมีหวังที่เขาจะต้องเปียกซกอย่างแน่นอน
"รู้อย่างนี้ฉันควรจะเอาเสื้อกันฝนติดมาด้วยก็คงจะดี โดนพยากรณ์อากาศหลอกเขาให้อีกแล้ว"
ด้วยความสิ้นหวังเกาจิ้ง ทำได้เพียง บิดคันเร่งเพิ่มความเร็วเพื่อรีบไปข้างหน้า คิดในแง่ดีขับให้เร็วฝนอาจตามไม่ทัน
บึ้ม!
เสียงดังสนั่นขณะที่ล้อหน้าขับผ่านหลุมบนถนนจู่ๆรถเกิดสะบัดเขาเสียการทรงตัวและเกิดล้มลงกับพื้นอย่างแรง ในช่วงแว๊บแรกที่เขาเห็นเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ารถมอเตอร์ไซค์ที่เขาขี่จะพุ่งไถลเลยตัวเขาไปได้ไกลตั้งหลายสิบเมตรและในขณะที่ตัวเขาเองนั้นไถลไปกับพื้นศีรษะของก็ไถลติดพื้นเช่นกันมันเกิดขึ้นกะทันหันจนคิดอะไรไม่ทันมันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
โชคดีที่เขาสวมหมวกนิรภัย จึงช่วยป้องกันศีรษะที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดให้ปลอดภัยไม่อย่างนั้นได้เจ็บหนักหรือไม่ก็ตาย
นับว่าเป็นโชคดีในคราวเคราะห์
เกาจิ้งพยายามค่อยๆลุกขึ้นมาจากพื้นเพื่อเช็คดูตัวเองว่ามีส่วนไหนเป็นอะไรบ้าง เขารู้สึกเจ็บที่มือขวาและมีเลือดไหลออกมา ไม่รู้ว่ากระดูกหักหรือไม่
โชคดีที่ไม่บาดเจ็บร้ายแรง
เขายกมือที่มีบาดแผลเลือดไหลไว้ที่ปากของเขาและดูดเพื่อทำความสะอาดคราบทราย เกาจิ้งหันหน้าแล้วถ่มน้ำลายที่มีเลือดและดินทรายสกปรกออกมา
เมื่อเทียบอาการบาดเจ็บเล็กน้อยของเขาเองเขากลับให้ความสนใจรถมอเตอร์ไซค์เก่ามือสองของเขามากกว่า
ถ้าหากพังขึ้นมาก็คงต้องเสียเงินซื้อใหม่อีกหลายตังค์
สิ่งสำคัญบางอย่างที่เราควรรู้คือรถมอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำคัญที่สุดในการเดินทางและดำเนินธุรกิจทั้งหมดของเกาจิ้ง
ผลจากการตรวจดู เกาจิ้งถึงกับสลดใจ ยางหน้าของรถมอเตอร์ไซค์แตกและมีบางอย่างเจาะเป็นรูขนาดใหญ่ ไม่มีทางที่จะปะซ่อมได้นอกจากเปลี่ยน
คลื่น!~
เสียงฟ้าร้องดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สร้างความหวั่นใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเสียงคำรามของเจ้าของบ้านที่มาตะโกนเก็บค่าเช่า
"เยี่ยมมม!ให้มันได้อย่างนี้สิ"เขาพึมพำประชด
เกาจิ้งยิ้มออกมาเจื่อนๆส่ายหัวเล็กน้อยและไปนั่งลงข้างถนน หยิบบุหรี่ไฟแช็คออกมาจากกระเป๋ากางเกง จุดไฟสูบบุหรี่
โดยพื้นฐานแล้วตัวเขาเองไม่ค่อยสูบบุหรี่ในเวลาปกติ แต่ก็จำเป็นอยู่บ้างที่จะต้องพกติดตัวไปทำงาน แต่ตอนนี้เขารู้สึกต้องการมัน
เขาพ่นควันบุหรี่กระจายฟุ้งสีขาวขุ่นมัวอยู่ตรงหน้า สายตาของเขามองผ่านกลุ่มควันออกไปอย่างเหม่อลอย
ชีวิตของเขาในช่วง 26 ปีที่ผ่านมาเปรียบเสมือน โต๊ะกาแฟขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยถ้วยและช้อน แต่ไร้ซึ่งกาแฟ
เท่าที่เขาจับความได้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่ของเกาจิ้งนั้นแย่มาก พวกเขาทะเลาะเบาะแว้งกันมาโดยตลอดทุกวัน ไม่มีวันใดเลยที่จะสงบสุข
เมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบพ่อแม่ของเขาก็หย่าร้างกัน และในไม่ช้า ต่างคนก็ต่างไปมีครอบครัวใหม่และมีลูกใหม่
เกาจิ้งถูกโยนไปให้ปู่ของเขาเลี้ยงแม้นว่าเขาจะมีทั้งพ่อและแม่อยู่ แต่ก็เหมือนกับว่าเขาไม่มี
เมื่ออายุได้ 18 ปี ปู่ของเขาก็ล้มป่วยหนักต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดและขายบ้านหลังเดียวที่เขามี แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาชีวิตเขาไม่ได้
ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต คุณปู่ยังรู้สึกผิดอยู่มาก โดยคิดว่าเขามีส่วนที่ฉุดรั้งอนาคตของเกาจิ้งไว้
นี่คือความเจ็บปวดที่ปักแน่นในใจของเกาจิ้ง
ในปีเดียวกันนั้น เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไม่ผ่าน และพื้นฐานการคัดเกรดของมหาวิทยาลัยสำคัญเขาก็ผ่านเกณฑ์แค่ระดับ 2 เท่านั้น
เกาจิ้งเลือกที่จะไม่เรียนซ้ำ และจบมหาวิทยาลัยด้วยเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และทำงาน พาร์ทไทม์
หลังจากจบการศึกษา เขาทำงานบริษัทการตลาดในตัวเมืองของจังหวัดและทำงานอย่างขยันขันแข็งมาเป็นเวลาร่วม 4 ปี ในช่วงหลายปีนี้ เขาประสบความล้มเหลวหลายครั้ง ถูกเพื่อนหักหลัง หนำซ้ำยังต้องเลิกกับแฟนสาว..
เขายังคงทำงานเป็นพนักงานขาย ตัวเล็กๆระดับล่าง
วันนี้เกาจิ้งเดินทางมาที่โรงงานขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลที่นี่เพื่อทวงถามหนี้
อันเนื่องด้วยผู้ที่เป็นหนี้เสียชีวิตในช่วงระหว่างการผ่อนชำระหนี้ ทำให้เป็นผลไม่ได้รับเงินจากการผ่อนชำระ
เกาจิ้งอัดบุหรี่ครั้งสุดท้ายเข้าไปจนเต็มปอด แล้วค่อยๆพ่นควันออกมาก่อนที่จะดีดก้นบุหรี่ทิ้ง เขาเม้มริมฝีปากที่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดและลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ
เขาเดินตรงไปตรวจสอบล้อหน้าของรถมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง เพื่อพยายามหาทางแก้ไข
หือ! ?
เกาจิ้งสังเกตเห็นบางสิ่งคล้ายๆโลหะฝังลึกอยู่ในขอบยาง
เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางแตก
ด้วยความสงสัยอยากรู้และความขัดข้องใจเกาจิ้ง เอื้อมมือออกมาจับและพยายามดึงด้วยความยากลำบาก
"ฉันต้องการที่จะเห็นสิ่งที่ทำให้ฉันโชคร้ายนี่จริงๆ"เขาพึมพรำกับตัวเอง
"นี่มันคืออะไรวะ!"
มีขนาดพอๆกับฝ่ามือของเด็ก สีบรอนซ์ทองแดง มีก้านซ้ายขวา 2 ข้างโค้งงอ ปลายแหลม คล้ายสมอ ที่ปลายด้ามมีห่วงวงแหวนด้านบน ทำไว้อย่างดีและค่อนข้างมีน้ำหนัก
สิ่งที่น่าทึ่งคือที่ด้ามสมอมีลวดลายคล้ายๆกับงูหรือมังกรโดยอ้าปากกว้างคาบจับที่หัวสมอรายละเอียดเกล็ดบนตัวมังกรนั้นชัดเจนและมีการสะท้อนแสงแวววาว
ของใครทำหล่นหายไว?เขาคิดในใจ
เกาจิ้งอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจสิ่งนี้ดูเหมือนงานศิลปะและน่าจะมีมูลค่าอยู่บ้าง
เขาถือมันเล่นอยู่ในมือ เลยทำให้เลือดจากบาดแผลบังเอิญไปถูกกับสมอทองแดงนั้น
ปิ๊มๆ
เกาจิ้งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ด้วยเสียงแตรรถ เขารีบหันกลับไปมองในทันใด ได้เห็นรถ จี๊ป คันหนึ่ง แล่นมาข้างหลังเขา และหยุดอยู่ห่างเขาไม่กี่เมตร
"ขอโทษครับ"
เกาจิ้งรีบโบกมือขอโทษและเก็บสมอทองแดงใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่ตั้งใจ แล้วรีบไปพยุงรถมอเตอร์ไซค์ที่ล้มอยู่บนพื้น พร้อมเข็นเข้าข้างทาง
ทางบนภูเขาไม่กว้างมากเขาจึงหลบเข้าข้างทางเพื่อไม่ให้ขวางทางผู้อื่น
"เฮ้!เพื่อนเกิดอะไรขึ้นมีอะไรให้ช่วยไหม"
ชายร่างกายกำยำสวมหมวกคาวบอยลงมาจากรถจิ๊ป เอ่ยถามขึ้น
"รถยางแตกครับ"เกาจิ้งไม่มีทางเลือกจึงตอบไปตรงๆกับชายร่างกำยำนั้น
เกาจิ้งหันไปสบตาเขาแล้วพูดต่อไปว่า:"ยางมันระเบิดแตกเป็นรูใหญ่เลยปะไม่ได้ผมต้องเอาไปเปลี่ยนยาง" ชายคนนั้นยิ้มแล้วตอบกลับมาว่าฝนกำลังจะตกคุณจะไปที่ เมืองยุ่นเฉิงไหม?ผมจะไปส่ง"
"ขอบคุณครับพี่ชาย" เกาจิ้งพูดขึ้น แต่เมื่อคิดถึงรถมอเตอร์ไซค์ที่ต้องจอดทิ้งไว้ริมทางในป่าเขาก็อดรู้สึกจะเป็นห่วงไม่ได้
ชายคนนั้นมองมาที่เขาและพูดด้วยรอยยิ้ม:"เอารถมอเตอร์ไซค์ของคุณไปด้วยเดี๋ยวเอาขึ้นไว้ที่ท้ายรถ"
"ขอบคุณมากครับ" เกาจิ้งกล่าวขอบคุณจากใจจริง ชายคนนี้ช่างเป็นคนดี
แล้วชายคนนั้นก็ขยับรถจี๊ปเลื่อนไปหยุดอยู่ด้านหน้าแล้วเขาก็เดินลงมา ทั้งสองคนช่วยกันยกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปไว้บนท้ายรถจิ๊ป
แล้วทั้งสองก็ขึ้นไปประจำที่นั่ง ไม่ทันออกรถเม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วก็ตกลงมาจากท้องฟ้า กระทบกระจกหน้ารถเสียงดังเป๊าะแปะ
เกาจิ้งเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ:"พี่ชายผมขอบคุณมากจริงๆ เดี๋ยวยังไงซะผมขอเลี้ยงข้าวพี่สักมื้อนึงเพื่อเป็นการตอบแทน" "คุณไม่ต้องเกรงใจอะไรขนาดนั้นก็ได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง"ชายคนนั้นตอบ
เกาจิ้งเงียบไม่ได้ตอบอะไรออกมาได้แต่รู้สึกซาบซึ้งใจ
หลังจากก่อนหน้านี้เขาพบเจอแต่ความอ้างว้างของโลกใบนี้และความเย็นชาของเพื่อนมนุษย์ และแล้ว เกาจิ้ง จึงตระหนักได้ว่าความช่วยเหลือหรือคำพูดที่อบอุ่นจากคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันนั้นมีค่าเพียงใด ยังมีคนดีมีน้ำใจในโลกใบนี้เหลืออยู่
ชายคนนั้นเปิดกล่องเก็บของ แล้วหยิบชุดปฐมพยาบาลออกมาแล้วส่งให้เขา เกาจิ้งรับเอาไว้ที่ตัวเอ่ยปากขอบคุณแล้วเปิดออก ในนั้นมียาไอโอดีนล้างแผลและผ้าพันแผลอยู่ "คุณควรล้างแผลและปิดบาดแผลด้วยตัวเองไปก่อนเพื่อป้องกันติดเชื้อ"ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น เกาจิ้งจึงปฏิบัติตาม พอเขาทำแผลเสร็จสรรพ จึงถามต่อไปว่า
"พี่ชายชื่ออะไรครับ"
"จิงจือหยง ชื่อของผม" เขาตอบ
จิงจือหยง ปีนี้เขาอยู่ในวัย 30 เขาเป็นนักเดินทางสำรวจและขุดหาอุกกาบาตเป็นอาชีพ เขาท่องไปในทะเลทราย โกปี ตามภูเขาและทุ่งน้ำแข็งเพื่อค้นหาอุกกาบาตที่ตกจากนอกโลก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้ข่าวว่ามีดาวตกลงมาในบริเวณ เขาซือเฟิง จึงออกมาตามหาดาวตกหลังจากทราบข่าว มาจากในกลุ่มเพื่อน ตลอดจนวีดีโอและภาพถ่าย
เกาจิ้งฟังดูอย่างสนใจ: "แล้วคุณพบอุกกาบาตหรือไม่"
"ผมค้นหามา 5-6 วัน ไม่พบแม้แต่เศษอุกกาบาตแม้แต่ชิ้นเดียว" จิงจือหยงตอบ "อุกกาบาตตกบนภูเขานั้นหายากที่สุด"
ส่วน เกาจิ้ง ก็เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาเองให้จิงจือหยงฟังเช่นกัน ทั้งสองจึงได้รู้จักกัน เมื่อเขาทั้งสองมาถึงตัวเมืองของจังหวัด ฝนก็หยุดตกหนัก
จิงจือหยงไปส่งเกาจิ้งจนถึงร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ และช่วยยกรถมอเตอร์ไซค์ลงจากท้ายรถ จิงจือหยงก็เอ่ยขึ้นมาว่า"คุณคงไม่ว่างต้องอยู่ดูรถ ถ้ายังไงซะผมต้องขอตัวไปก่อน" เกาจิ้งรู้สึกประหลาดใจ: "เดี๋ยวพี่ชาย อยู่กินข้าวด้วยกันกับผมก่อนแล้วค่อยไป"
อีกฝ่ายช่วยเขาไว้มากถ้าเขาไม่แสดงความขอบคุณ เขาคงรู้สึกเสียใจ
"ไม่เป็นไรน้องชาย" จิงจือหยง ตอบกลับมาพร้อมกับยิ้ม แล้วเอ่ยอีกว่า" โอกาสหน้าไว้เจอกันใหม่" เขาตบไหล่เกาจิ้ง :"ไม่มีปัญหาใดในชีวิตที่จะขวางคุณได้ ตราบใดที่คุณยังมีความพยายามที่ดีและมีความหวังอยู่เสมอ" เกาจิ้งยิ้มพยักหน้าไร้ซึ่งคำพูด แม้ว่าจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ติดต่อกันแล้ว แต่ความเป็นไปได้ที่ทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้งนั้นน้อยมาก
เขาเฝ้าดูรถจิ๊ปของ จิงจือหยง ปนเปไปกับการจราจรที่แล่นอยู่ไปมา จนหายไปจากสายตา
เมื่อรถมอเตอร์ไซค์ของเกาจิ้งซ่อมแซมเสร็จ กว่าเขาจะกลับถึงบ้านเช่าก็มืดแล้ว
เขาทำได้เพียงต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับมือค่ำ อาบน้ำหลังรับประทานอาหาร และล้มตัวลงนอนบนที่นอนด้วยความเหนื่อยล้า
และไม่นานก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทารมณ์
จบตอน