บทที่ 2: ขายแตงโมจากเกม!
โดยปกติแล้วอำเภอโหยวเฉิงจะมีสองช่องทางในการซื้อขายแตงโม
หนึ่งคือไปตลาดค้าส่งผักผลไม้ซึ่งอยู่ในสวนรับส่งของอีกปลายด้านหนึ่งของอำเภอซึ่งมีระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควร
สองคือไปหาซื้อกับชาวสวนใกล้บ้าน
ดังนั้นแม้ว่าจะเขาจะขายราคาส่งเท่ากันคือจินละหนึ่งจุดห้าหยวน แต่ถ้าเป็นแตงโมที่อร่อยกว่าและยังส่งตรงถึงหน้าบ้านล่ะก็ ใครบ้างล่ะที่จะไม่เอา
ทันทีที่ฉินหลินส่งข้อความปุ๊บก็มีสามคนตอบปั๊บ
“เสี่ยวฉินนี่นา!”
“เสี่ยวฉินเปลี่ยนไปขายส่งแล้วเหรอ!”
“ขอร่วมด้วยคนได้ป่าว?”
ฉินหลินรู้จักทั้งสามคนที่ตอบกลับมา พวกเขาเปิดร้านใกล้ ๆ ตลาด
และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบอีกฉินหลินจึงนัดทั้งสามมาพบที่ร้านตอนนี้เลย
เขาเห็นว่าจู่ ๆ ก็มีกล่องข้อความปรากฏขึ้นในใจบอกว่าได้เวลารดน้ำแล้ว
เขาจึงสั่งตัวละครในเกมให้เข้าไปในห้องเก็บเครื่องมือหยิบบัวรดน้ำไปตักน้ำจากริมแม่น้ำแล้วเอามารด
ครู่ต่อมาทั้งสามคนในกลุ่มวีแชทก็นั่นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามาถึง
สองคนเป็นชายวัยกลางคนคือหลิวต้าเชิ่งกับเฉินต้าเหอ อีกคนเป็นผู้หญิงชื่ออ้ายชูนี
ทันทีที่หลิวต้าเชิ่งเข้ามาก็รีบพูดเลยว่า “เสี่ยวฉิน ๆ แตงโมที่เธอว่าอยู่ไหนเอามาดูหน่อยเร็ว!”
ฉินหลินชี้ไปที่กองแตงโมบนพื้น “พี่หลิว พี่เฉิน พี่อ้าย ดูแตงโมพวกนี้สิ”
ทั้งสามคนไปดู
พวกเขาอยู่ในวงการนี้มานานดังนั้นจึงสามารถบอกได้เลยว่าที่เห็นอยู่นี้ของดีหรือไม่ดี
ลายเส้นชัดเจนและเข้ม...
ผิวยังเขียวและสีสดมาก
รายละเอียดทั้งหมดสามารถมองเห็นได้เด่นชัด
แตงโมเหล่านี้เป็นของดีแน่นอนไม่มั่วนิ่ม!
“ของดีจริง ๆ นะเนี่ย” หลิวต้าเชิ่งยิ้ม
เฉินต้าเหอกับอ้ายชือนีพยักหน้าเห็นด้วย
ถึงจะเป็นของดีก็จริง แต่ในยุคสมัยนี้มันมีชาวสวนกับพ่อค้าส่งที่ไร้ยางอายอยู่เยอะเกินไป เพราะงั้นยังไงมันก็ต้องทดสอบกันหน่อย
ซึ่งฉินหลินเองก็เข้าใจเรื่องนี้จึงต้องการให้ทั้งสามลองเทสต์ดูอยู่แล้ว
“ลองเลือกมาเลยลูกนึง” ฉินหลินบอกกับทั้งสามคน
“งั้นก็... เอา... ลูกนิ!” หลิวต้าเชิ่งชี้ไปมั่ว ๆ เลย
ฉินหลินพยักหน้ารับคำและหยิบแตงโมลูกนั้นขึ้นมาผ่าครึ่งเผยให้เห็นเนื้อสด ๆ ดูน่าจกขึ้นมาใส่ปาก
จากนั้นเขาก็ผ่าเป็นชิ้นเล็ก ๆ แบ่งให้กับทั้งสามคน “พี่หลิว พี่เฉิน พี่อ้าย อะ ลองชิมดู!”
ทั้งสามไม่มากพิธีหยิบชิ้นแตงโมขึ้นมากินทันที
“โฮ่ง ๆ!”
ไอ้หมาดำมันเอาอีกและ ดูท่ามันที่หมอบอยู่หน้าประตูร้านจะเหลือบมาเห็นเขาแบ่งแตงโมพอดี
เหมือนมันจะตัดสินใจแล้วว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของมันจะเกาะติดอยู่กับเขานี่แหล่ะไม่ยอมปล่อยแน่นอน
เมื่อฉินหลินเห็นแบบนั้นก็ได้แต่โยนชิ้นแตงโมให้มันไปชิ้นหนึ่ง
ที่เขาให้มันก็เพราะรู้ว่าถ้าสุนัขกินแตงโมมากเกินไปมันจะท้องเสีย เขาเลยกะจะสั่งสอนให้มันได้รู้ซึ้งถึงจิตใจอันชั่วร้ายของเผ่ามนุษย์ ถึงตอนนั้นมันได้รู้บทเรียนว่าไอ้ที่มันชอบกินน่ะมันกินไม่ได้และมันก็จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ด้วย
ด้วยคุณสมบัติของ อร่อย +1 หวาน +1 รสสัมผัส +1 ทำให้พวกหลิวต้าเชิ่งทั้งสามที่กินเข้าไปต้องตาเบิกโพลง
“โคตร แตงโมนี่โคตรดีเลย อร่อยกว่าไอ้ที่เคย ๆ กินมาซะอีก”
“จริง ทั้งหวานทั้งฉ่ำ”
“เสี่ยวฉิน เธอจะส่งให้ถึงหน้าประตูเลยจริง ๆ ใช่มั้ย?”
ทั้งสามหันมามองฉินหลิน แตงโมดีขนาดนี้กลับขายราคาเดลิเวอรี่เท่ากับราคาส่งนี่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ซื้อ
“จัดส่งถึงบ้านแน่นอนอยู่แล้วครับ” ฉินหลินยืนยัน
ทั้งสามคนพยักหน้าและตัดสินใจเอาเลยคนละสามสิบลูกก่อน โดยทิ้งไว้ที่ร้านของฉินหลินก่อน
ร้านค้าของทั้งสามอยู่ไม่ไกล ฉินหลินไม่ได้รับเงินมัดจำและตกลงให้พวกเขาจ่ายหลังจากที่ส่งมอบแตงโมแล้ว
สาเหตุที่เขาจะทำการจัดส่งถึงบ้านนั้นก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการปิดบังที่มาของแตงโม แม้ในร้านตัวเองจะไม่มีกล้องวงจรปิด แต่ทุกมุมในตลาดกลับมี
วันนี้จู่ ๆ ร้านเขาก็มีแตงโมคุณภาพดีโผล่มาซึ่งแค่วันแรกคนยังไม่เห็นเยอะความจึงยังไม่แตก แต่ถ้าหากหลังจากนี้มีคนเห็นเยอะ ๆ เข้าล่ะก็ต้องมีคนจับพิรุธอะไรได้บ้างอยู่แล้ว
มีแตงโมล็อตใหญ่มาวางหน้าร้านทุกวันเลยเนี่ยนะ? ถ้าเกิดคนจับพิรุธได้ล่ะก็เป็นปัญหาใหญ่แน่
ดังนั้นเขาจึงวางแผนว่าในอนาคตต้องหารังลับไว้ซักที่แล้ว
....................
หลังจากที่ทั้งสามคนนั้นจากไปฉินหลินก็หันมาหาไอ้เจ้าหมาดำที่ตอนนี้ยังแทะแตงโมอยู่หน้าประตูร้านอยู่เลย จากนั้นก็เลิกสนใจมันแล้วปิดประตูร้านจากด้านนอก เสร็จแล้วเขาก็เดินไปยังลานจอดรถและตรงไปยังรถสามล้อบรรทุกที่สนิมเขรอะไปทั้งคันขนาดที่ขายแค่สองพันหยวนยังไม่มีใครเอา
กระนั้นเจ้ารถคันนี้ขอแค่ยางไม่แตกมันก็สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึงหนึ่งตันเลยทีเดียว
ฉินหลินขับรถสามล้อบรรทุกไปที่ร้านแล้วเอาแตงโมที่ทั้งสามสั่งไว้ขึ้นรถ จากนั้นก็ปิดประตูร้านอีกครั้งก่อนจะขับรถไปส่งแตงโมให้กับพวกหลิวต้าเชิ่ง
ร้านของหลิวต้าเชิ่งอยู่ใกล้ร้านของเขามากที่สุด โดยร้านตั้งอยู่บนถนนคนเดินซึ่งสามารถไปมาหาสู่กันได้ในเวลาไม่นาน
และแล้วเขาก็มาถึงซึ้งร้านที่ชื่อว่าร้านผลไม้ต้าต้าเชิ่ง
หลิวต้าเชิ่งตอนนี้กำลังคุยกับชายคนหนึ่งที่ในมือถือแตงโมลูกหนึ่งอยู่หน้าประตูร้าน เมื่อเห็นสามล้อของฉินหลินมาจอดเขาก็รีบลากชายคนนั้นมาหาฉินหลินทันที “นี่แหล่ะ ๆ เสี่ยวเฉิน นี่เป็นแตงโมที่พึ่งมาส่ง เป็นแตงโมสดคุณภาพเกินคุ้มชัวร์ ลองเลือกมาเลยลูกนึงเด๋วฉันผ่าให้ลอง”
“จัดไปพี่หลิว” เสี่ยวเฉินพยักหน้าและเดินไปที่ไปเลือกที่รถ
หลิวต้าเชิ่งหันมาบอกกับฉินหลินว่า “เถ้าแก่ฉิน เสี่ยวเฉินเป็นเพื่อนบ้านฉันเองแหล่ะแถมยังเป็นลูกค้าเก่าแก่กันด้วย หมอนี่ชอบแตงโมมาก ๆ มาซื้อทีก็เอาไปหลายลูกเลยแหล่ะ เรื่องเงินเด๋วค่อยคิดรวมไปเลยเนอะ”
“อืม” ฉินหลินพยักหน้า
เสี่ยวเฉินรีบหยิบแตงโมจากรถของฉินหลินให้หลิวต้าเฉิง
“เสี่ยวฉินเอ๊ย แตงโมลูกนี้หนักสิบเอ็ดจินเน่อ~” หลิวต้าเชิ่งได้ผ่าแบ่งเป็นชิ้น ๆ แล้วส่งชิ้นหนึ่งให้เสี่ยวเฉิน
ด้วยความที่เป็นคนกันเองเสี่ยวเฉินจึงเอามากินโดนไม่มากมารยาท
และในไม่ช้าเสี่ยวเฉินก็อุทานอย่างอึ้ง ๆ ว่า “โห! แตงโมนี่ทั้งหวานทั้งฉ่ำ ดีกว่าที่พี่ขายก่อนหน้านี้อีก! ราคาเท่าไหร่นะ?”
หลิวต้าเชิ่งยิ้มหน้าบานบอกราคาอย่างเป็นกันเอง “จินละสองหยวน จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา”
“เอาสี่ลูก พี่หลิวส่งให้ด้วยนะ” เสี่ยวเฉินพูดพลางเลือกแตงโมสี่ลูกจากรถของฉินหลินให้หลิวต้าเฉิงชั่งกิโล
แตงโมแต่ละลูกหนักประมาณสิบจิน รวมแล้วสี่สิบเจ็ดจิน
“สี่สิบเจ็ดจิน เก้าสิบสี่หยวน ทำเครื่องหมายไว้เลยเด๋วว่างเมื่อไหร่ฉันเอาไปส่งให้” หลิวต้าเชิ่งบอก
“ไม่ต้องทำเครื่องหมายร้อก ฉันเชื่อใจพี่หลิวอยู่แล้ว ส่วนเงินเด๋วโอนผ่านวีแชทนะ” เสี่ยวเฉินโบกมือและหยิบมือถือออกมาโอนเงินให้หลิวต้าเชิ่ง
หลังจากที่เสี่ยวเฉินจากไปหลิวต้าเชิ่งก็เรียกฉินหลิน “เสี่ยวฉิน ดูท่าแตงโมของญาตินายจะสุดยอดจริง ๆ นะ ก็เสี่ยวเฉินคนนั้นน่ะถ้าเรื่องแตงโมล่ะก็จู้จี้อย่าบอกใครเชียว”
ฉินหลินเองก็มีความสุขเช่นกัน เขาไปหยิบเข่งจากร้านของหลิวต้าเชิ่งมาขนแตงโม
หลิวต้าเชิ่งขายแตงโมได้สี่ลูกก็ทำเอาเขามีรายได้มาแล้วเจ็ดสิบกว่าหยวน
นอกจากห้าลูกก่อนหน้านี้ฉินหลินได้เอาอีกยี่สิบห้าลูกมาใส่เข่งชั่งกิโล ทั้งหมดคือสองร้อยแปดสิบเจ็ดจิน เมื่อบวกกับสี่สิบเจ็ดจินแล้วจะได้สามร้อยสามสิบสี่จิน ราคาส่งจินละหนึ่งจุดห้าหยวนจึงเป็นเงินห้าร้อยหนึ่งหยวน
หลิวต้าเชิ่งรีบส่งวีแชทให้ฉินหลิน
ฉินหลินก็ออกใบแจ้งหนี้ให้เขาเพื่อเอาไว้ดำเนินการในเรื่องของภาษี
“ถ้าพี่หลิวมีอะไรอีกก็ทักมาได้เลย เด๋วผมไปส่งแตงโมอีกสองเจ้าก่อน” ฉินหลินตอนนี้ยิ้มกรุ้มกริ่มหน้าชื่นตาบาน เพราะแค่เงินก้อนนี้ก้อนเดียวก็เยอะกว่าการขายผักผลไม้ทั้งวันไปแล้ว
ต่อไปฉินหลินก็ได้ส่งแตงโมให้กับเฉินต้าเหอและอ้ายชือนี
ของเฉินต้าเหอทั้งหมดสามร้อยหกสิบจินเป็นเงินห้าร้อยสี่สิบหยวน ของอ้ายชือนีอีกสามร้อยยี่สิบแปดจินเป็นเงินสี่ร้อยเก้าสิบสองหยวน
แปลว่าเมื่อรวมกับห้าร้อยหนึ่งหยวนจากหลิวต้าเชิ่งด้วยแล้ว แตงโมเก้าสิบลูกเขาขายได้เงินทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยสามสิบสามหยวน
พอกลับถึงร้านเขาก็เห็นเจ้าหมาดำยังคงนอนเฝ้าอยู่หน้าร้านอย่างสบายใจเฉิบโดยไม่มีอาการท้องเสียให้เห็นแต่อย่างใด
‘ไม่น่าเป็นงี้ดิ’
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วฉินหลินได้ขายแตงโมอีกสี่ลูกในร้าน รวมกับของในร้านที่ขายได้อีกนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นเงินอีกร้อยเจ็ดสิบสองหยวน
รวมแล้วแตงโมที่เขาเอาออกมาจากเกมขายได้ทั้งหมดที่หนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าหยวน
ฉินหลินกำหมัดแน่นทำท่า ‘เยสเซอร์!’ อย่างอดไม่ไหว เพราะเงินวันละพันเจ็ดร้อยห้าหยวนแปลว่าถ้าได้แบบนี้ทุกวันจะได้เงินเดือนละห้าหมื่นหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน ซึ่งในอำเภอห่วย ๆ อย่างอำเภอโหยวเฉิงนี้ถือได้ว่าเป็นรายได้ที่จัดว่าสูงเลยทีเดียว
ขณะที่กำลังเพ้อฝัน ในเกมได้มีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นมาให้ฉินหลินถอนหญ้าทันที ไม่งั้นต้นแตงโมที่ปลูกไว้จะเหี่ยวเฉาได้
เมื่อถอนหญ้าเสร็จฉินหลินก็มองดูเวลาเห็นว่ามืดแล้ว เขาลุกขึ้นไปหยิบผักที่เหลือเพื่อนำกลับบ้าน จากนั้นเขาก็ดึงประตูบานพับลงและขับสามล้อบรรทุกกลับไปลานจอดรถ
โดยปกติแล้วเขาจะต้องขับไอ้เจ้าบุโรทั่งคันนี้ไปหาของมาเติมร้านทุก ๆ เช้า ทว่าเขาได้เปลี่ยนแผนแล้ว นั่นคือพรุ่งนี้เขาจะขับมันไปส่งแตงโมเท่านั้น
รายได้วันละพันเจ็ดนี่ทำเอาเขาไม่ต้องพะวงรายได้จากร้านขายผักเลยด้วยซ้ำ อาจถึงขั้นจ่ายเงินที่ไปติดหนี้คนอื่นเขาไว้หลายแสนหยวนได้ในเวลาอันสั้นด้วยซ้ำ
ฉินหลินขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ากลับไปยังย่านเมืองเก่า หลังจากที่ครอบครัวของพวกเขาขายบ้านพวกเขาก็ได้เช่าอพาร์ทเมนต์สองห้องนอนราคาถูกในย่านแห่งนี้
เขาเดินเข้าไปในอพาร์ทเม้นและขึ้นไปยังชั้นสาม เมื่อเปิดเข้าไปในห้องก็เห็นว่าแม่ตัวเองกำลังทำข้าวเย็นให้กิน
แม้ว่าอพาร์ทเมนท์จะมีสองห้อง แต่มันก็ทั้งแคบและเล็กมาก มีห้องแยกกันสองห้องก็จริง แต่เมื่อเจอกับพวกข้าวของต่าง ๆ ในบ้านเข้าไปก็ทำเอาดูมืด ๆ ทึม ๆ น่าหดหู่อยู่เหมือนกัน
ด้วยสภาพครอบครัวและหนี้อีกหลายแสนทำให้มันไม่มีทางเลือกมากนัก
ฉินหลินเห็นภาพนั้นก็บอกว่า “แม่ก็ บอกแล้วไงว่าให้รอผมกลับมาทำให้”
“แม้แม่ร่างกายแบบนี้จะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ไม่ได้แปลว่าแม่จะขยับตัวไม่ได้ซักหน่อย มา ๆ ๆ มากินข้าว!” หลินเฟินมีสุขภาพไม่ดีดูอ่อนแรงอย่างยิ่ง แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้นก็ยังมีความดื้อรั้นไม่ยอมหาย
คนที่ขยันทำงานมาทั้งชีวิตจะให้จู่ ๆ มานั่งเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยมันอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว
“เฮ้อ~” ฉินหลินเอาผักที่เอากลับบ้านมาด้วยเข้าตู้เย็นพลางถอนหายใจ
หลินเฟินก็ตักข้าวให้ฉินหลินแล้วถามว่า “วันนี้เป็นไงบ้างลูก?”
“จริงสิ ดีกว่าเมื่อวานเยอะเลยครับแม่ แล้วก็จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วย” ฉินหลินนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ออกและตอบออกมาด้วยความมั่นใจสุดขีด
“เฮ่อ~”
เมื่อหลินเฟินได้ยินคำตอบของลูกชายก็ได้แต่ถอนหายใจ “พ่อกับแม่ทำให้ลูกผิดหวังแล้ว เพื่อน ๆ คนไหนของลูกบ้างที่ไม่มีพ่อแม่ช่วยเตรียมสินสอดทองหมั้นกับเงินดาวน์บ้านให้? แต่พ่อกับแม่สิเตรียมไว้ให้แต่หนีสินทั้งนั้นแถมยังมากมายหลายแสนด้วย”
“แม่พูดอะไรน่ะครับ? แม่กับพ่อเลี้ยงดูผมจนเรียนจบได้นี่ก็สุดยอดที่สุดแล้ว” ฉินหลินไม่เคยตำหนิพ่อแม่ของตัวเองเลย เพราะการที่เขามีสุขภาพแข็งแรงและเรียนจบได้ก็เพราะมีพ่อแม่คอยดูแลอย่างลำบาดตรากตรำนี่แหล่ะ พ่อกับแม่น่ะเจ๋งกว่าคนอื่น ๆ เยอะเลยนะจะบอกให้
ยิ่งได้ยินลูกชายพูดแบบนี้แล้วยิ่งแต่จะคิดว่าตัวเองนั้นไร้ประโยชน์ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเศร้า ๆ “ว่าแต่เสี่ยวหลิน ลูกกับโม่ชิงเป็นไงบ้างแล้ว? อย่าไปว่าพ่อแม่เค้าเลยนะลูก โม่ชิงน่ะเป็นเด็กดี พ่อแม่เค้าก็ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องการพวกของหมั้นหรือรถขับ ขอแค่มีบ้านหลังเล็ก ๆ พออยู่กันได้เท่านั้นเอง แต่ครอบครัวเรากับหาไม่ได้ซึ่งเป็นปัญหาของเราล้วน ๆ”
“ลูกคบกับโม่ชิงไปก่อน พอแม่ดีขึ้นก็จะไปดูแลร้านต่อเอง ตอนนั้นลูกก็จะไปหางานทำได้อีกครั้ง แล้วเราแม่ลูกก็จะได้ช่วยกันทำมาหากินเพื่อหาเงินผ่อนบ้าน แต่ถ้าสุดท้ายแล้วลูกกับโม่ชิงไม่ได้ครองรักกันล่ะก็ไม่ต้องเสียใจไปนะลูก!”
เมื่อฉินหลินได้ยินแบบนั้นก็หยุดกิน
โม่ชิงที่ว่าเป็นคนที่ดีมากจริง ๆ ทั้งสองเรียนห้องเดียวกันตอนม.ปลาย ทว่าตลอดสามปีเต็ม ๆ ในโรงเรียนทั้งคู่ไม่เคยแม้แต่จะทักทายกัน แต่ว่าพอเรียนจบทั้งคู่ดันไปเข้ามหาลัยเดียวกัน ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกันไปเรียนจึงได้เริ่มพูดคุยกันจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ค่อย ๆ พัฒนาสานต่อมาเรื่อย ๆ
โชคชะตาช่างเป็นอะไรที่แปลกประหลาดนัก
และก็อย่างที่แม่ว่านั่นแหล่ะ เขาไม่อาจตำหนิพ่อแม่ของโม่ชิงได้เลยจริง ๆ พ่อแม่คนไหนบ้างจะยอมอนุญาตให้ลูกสาวแต่งงานกับเขาที่ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน แถมยังมีแต่หนี้สิน?
ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ยังไม่ยอมเลย
พ่อแม่ของโม่ชิงไม่ต้องการอะไรมาก สินสอดหรือรถยนต์นี่ไม่เอา ขอแค่บ้านหลังเล็ก ๆ พออยู่ได้เท่านั้น เรียกว่ามีความอดทนสูงกว่าพ่อแม่ชาวจีนโดยทั่วไปมากมายนัก
ถ้ายังทำไม่ได้ก็เป็นปัญหาของฝ่ายเขาเองนั่นแหล่ะ
“แม่ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เราจะมีบ้านอยู่แน่นอน และแม่จะมีโม่ชิงเป็นลูกสะใภ้ด้วย ไม่มีทางเป็นคนอื่นหรอก” ฉินหลินรีบกินข้าวในชามให้เสร็จและกลับไปที่ห้อง
เขาเปิดลิ้นชักอันหนึ่งออกและข้างในมีทะเบียนสมรส!!!
ฝ่ายชายคือฉินหลิน และฝ่ายหญิงคือจ้าวโม่ชิง!!!
เจ้าหมอนี่ไม่ได้บอกแม่ตัวเองว่าเธอได้โม่ชิงมาเป็นลูกสะใภ้ไปแล้ว ไอ้ที่ว่าไม่มีทางเป็นคนอื่นหรอกไม่ใช่พูดเพื่อให้กำลังใจ แต่กลับเป็นเรื่องจริงไปแล้วซะอย่างนั้น เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ว่าจะแม่เขาหรือพ่อแม่ของโม่ชิงต่างไม่รู้
วันหนึ่งแฟนสาวของเขาขโมยทะเบียนบ้านของตัวเองมาแล้วบอกว่าจะจดทะเบียนสมรสกับเขา โดยบอกว่าเธอตัดสินใจเลือกเขาแล้วในชีวิตนี้ ความอบอุ่นที่ผุดขึ้นมาในหัวใจนี่มันสามารถละลายธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกได้ทั้งทวีปเลยทีเดียว
เขารู้ว่าโมชิงมีความกล้าหาญมากเพียงใด และรู้ว่าเขาในชีวิตนี้ได้ต้องไม่ทำให้เธอผิดหวัง
และยังรู้ด้วยว่ามันไม่ยุติธรรมต่อโม่ชิงที่จะลงทะเบียนสมรสกับเขาภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ และมันยังเป็นการโกหกตระกูลจ้าวของเธออีกด้วย กระนั้นสิ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าคือการสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป
ขณะที่กำลังคิด ๆ อยู่นั้นฉากเกมในใจของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลง เขาจึงค่อย ๆ วางทะเบียนสมรสและปิดล็อคลิ้นชักกลับไปอย่างเบามือ จากนั้นก็หันมาดูเกม
แตงโมในแปลงปลูกงอกเถาออกมาแล้ว และมันจะสุกในเช้าวันพรุ่งนี้ และศัตรูพืชทั้งหลายเองก็ปรากฏขึ้นมาเพื่อทำลายเถาแตงโมด้วยซึ่งต้องจัดการกับพวกมันให้เรียบร้อย ไม่งั้นมันจะส่งผลต่อความเร็วการเจริญเติบโตและผลผลิตของแตงโม
ฉินหลินจึงใช้ความคิดในการสั่งให้ตัวละครในเกมของเขาไปเอาตาข่ายเล็ก ๆ มากำจัดเหล่าศัตรูพืชทั้งหลาย