ตอนที่ 814 ข้อมูลที่ทำให้สมองพองโต
“หนุ่มน้อยผู้น่าสนใจ ปากเจ้าดีนักมิน่าเล่าหญิงสาวทั้งสองถึงติดตามร่วมเป็นร่วมตายพร้อมกับเจ้า” แม่เฒ่าซามีความสุข
“ขอบคุณที่ชม” เย่ว์หยางตอบรับตามมารยาท
“หุบเขาทรายด้วยระดับพลังของเจ้าสามารถผ่านง่ายดายไม่มีปัญหา แต่แม่หนูทั้งสองยังมีปัญหาอยู่บ้าง” แม่เฒ่าซาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ต้องรู้ไว้ก่อนนะว่าสามหุบเขาที่พวกเจ้าเผชิญมามีแต่การฝึกฝนควบคุมร่างกายตนเองแทบจะเรียกว่าไม่มีอะไรยาก คนทดสอบที่แท้จริงก็คือคนที่อยู่ตามจุดพัก สามด่านแรกเป็นการฝึกทำตามคำสั่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม พวกเจ้าจะต้องควบคุมร่างกายของพวกเจ้าเองเป็นหลัก แต่ในจุดตรวจต่อไปนี้ในด่านหลังจากนี้ไปไม่มีความเป็นระเบียบและยุ่งเหยิงอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเจ้าแข็งแกร่งก็ตามแต่ถ้าเจ้ากระทำผิดกฎเจ้าจะต้องตาย ตัวอย่างเช่นในด่านที่สี่หุบเขาราคะที่นั่นเป็นด่านทดสอบจุดความปรารถนาในหัวใจของมนุษย์ ถ้าไม่สามารถเข้าใจได้เจ้าก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นหรือวิญญาณจะถูกกำจัดและสูญหายไปตลอดกาลในที่นั้นเจ้าจะต้องทำตัวให้สอดคล้องกับกฎที่นั่นจึงจะสามารถผ่านไปได้ถ้ายังไม่บรรลุระดับปราณราชันย์ข้าไม่แนะนำให้แม่หนูทั้งสองร่วมผ่านด่านที่สี่พร้อมกันอย่าว่าแต่การผ่านด่านจะมีความยากลำบากมากขึ้น”
“ข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสจริงๆ ที่ชี้แนะทางสว่างให้กับผู้เยาว์” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรีบขอบคุณนาง
“ท่านสามารถบอกเราถึงจุดทดสอบต่อๆไปได้หรือไม่ นั่นเกรงว่าเราจะไม่มีคุณสมบัติเพื่อเอาชนะอุปสรรคในด่านนั้นได้ชั่วคราวและต้องการทำความเข้าใจมากขึ้น เมื่อมีเป้าหมายที่จะเอาชนะอุปสรรคสักวันหนึ่งในอนาคตจะได้เตรียมการล่วงหน้าได้” เสวี่ยอู๋เสียคุยอย่างนอบน้อม
“หุบเขาราคะที่เพิ่งพูดมานี้ก็มีความยากมากทุกคนจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า ของธรรมชาติ สภาพแวดล้อมและกฎสวรรค์ที่นั่นยังคงส่งผลโดยสรุปก็คือเป็นจุดผ่านที่ยากมาก นักรบที่ผ่านไปได้มีเพียงไม่กี่คน หลังจากผ่านด่านที่สี่ได้แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือจะไม่ได้พบเจอผู้พิทักษ์แบบเราอีกแล้ว ทั้งหมดจะเป็นการทำงานของกฎสวรรค์อย่างสมบูรณ์แบบทั้งโหดเหี้ยมและอำมหิตนักรบที่ผ่านการป้องกันเข้าไปแล้วและพลาดท่าจะถูกทำลายอย่างเด็ดขาดไม่มีใครสามารถช่วยหรือสอนได้...หนุ่มน้อย เจ้าคิดอย่างจริงจังว่าเจ้าสามารถท้าทายความปรารถนาของเจ้าได้ ถ้าเจ้าไม่มั่นใจเด็ดขาดอย่างนั้นเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางไปแล้วไม่หวนกลับ!” แม่เฒ่าซาเตือนเย่ว์หยาง
“ขอบคุณ, ข้าจะรับไว้พิจารณา” สำหรับการเอาชนะอุปสรรคโหดอย่างนั้นเย่ว์หยางไม่ได้รีบร้อนเหมือนคนทั่วไป
ตอนนี้เขาไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
เบื้องหลังของเขายังมีแม่สี่ปิงเอ๋อ ซวงเอ๋อ โล่วฮัว มารกฎฟ้า เขายังแบกความหวังของทวีปมังกรทะยานและหอทงเทียน
เย่ว์หยางรู้ว่าเขาไม่สามารถผิดพลาดได้ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายที่สุดแสนลำบาก เขาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแต่ไม่หุนหันพลันแล่นท้าทาย ถ้าไม่เลื่อนระดับพลังปราณราชันย์ เย่ว์หยางจะไม่ท้าทายหุบเขาราคะที่แม่เฒ่าซาย้ำเตือน แต่ตอนนี้เขามีความมั่นใจเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น
เขาตัดสินใจกลับไปยังบันไดสวรรค์ก่อน
หลังจากปรึกษากับทุกคนแล้วเขาจึงค่อยกลับมาคนเดียวและท้าทายด้วยตนเอง
แม่เฒ่าซาไม่กดดันเขาอีกต่อไปจากนั้นนางเพิ่มเติมข้อมูลหลังจากนั้นอีก“ที่ยากกว่าหุบเขาราคะก็คือด่านที่ห้าหุบเขาอสูรจะเป็นที่ซึ่งนักรบทุกคนต้องไม่ใช้พลังของพวกเขาเองต้องใช้ฝึกอสูรทั้งหมดตั้งแต่พวกมันอ่อนแอจนกระทั่งแข็งแกร่ง ถ้าอสูรตายในการฝึกอย่างนั้นผู้ท้าทายจะถูกกฎสวรรค์ลงทัณฑ์ ถ้าอสูรพ่ายแพ้ถึงสามครั้งผู้ท้าทายจะถูกลงทัณฑ์เปลี่ยนไปเป็นอสูรโดยตรง... ถ้าเปลี่ยนร่างกับอสูร ผู้ท้าสู้ก็ยังต้องตาย และเป็นการถูกกำจัดถาวร เป็นที่น่าสังเกตว่าอสูรที่ฝึกฝนดีแล้วจึงจะออกจากหุบเขาอสูรได้ ผู้ท้าทายอาจต้องติดอยู่ในนั้นตลอดชีวิต หรือไม่ก็กลายเป็นสมาชิกของที่นั่นไปเลย” “ด่านที่หกยังคงเป็นด่านที่ยากโหดหินเช่นกันหุบเขาปีศาจ ผู้ท้าสู้จะต้องเลือกว่าจะเลือกตะโกนท้าค่ายแสงสว่างว่านม่อสามารถสังหารเทวทูตดำในค่ายดำก็ได้ ทั้งสองฝ่ายนั้นมีขีดจำกัดเวลาที่ต้องทำให้สำเร็จต้องบรรลุเป้าหมายของค่ายต่างๆสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของหุบเขาปีศาจก็คือผู้ท้าทายหลายคนที่เข้าไปแล้วมีแต่ผู้ชนะเท่านั้นที่รอดชีวิตได้ ผู้แพ้จะถูกขังอยู่ในหุบเขาปีศาจตลอดกาลจะไม่มีทางหลบหนีได้” เมื่อแม่เฒ่าซาพูดถึงหุบเขาปีศาจสีหน้านางฉายแววหวาดกลัวลึกๆ เห็นได้ชัดว่ามีบาดแผลที่ลบไม่ออกกับการท้าทายครั้งนั้น
“มีผู้ท้าทายและล้มเหลวหลายคนอยู่ในหุบเขาปีศาจหรือ?” เสวี่ยอู๋เสียคิดว่าพูดถูกจุด
“ถูกแล้ว” แม่เฒ่าซาชูนิ้วขึ้น “หนึ่งในสิบของคนในหุบเขาปีศาจ ก็คือผู้ท้าทาย”
“น่ากลัวจริงๆ” เย่ว์หยางหวั่นใจ
เขารู้สึกว่าหนังศีรษะคันเป็นระยะๆ
มีผู้ท้าทายมากมายติดอยู่ในหุบเขาปีศาจโดยไม่คาดคิด ก่อนอื่นเอาแค่ความแข็งแกร่งที่ผ่านด่านที่สี่หุบเขาราคะและด่านที่ห้าหุบเขาอสูร จำนวนหนึ่งในสิบก็นับว่ามากมายมหาศาลพอจะรู้ได้ว่าด่านที่หกนั้นไม่ธรรมดาขนาดไหน
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนตะลึงแต่ยังถามต่อ “ผู้อาวุโส!ท่านพอบอกเกี่ยวกับข้อมูลหลังจากผ่านด่านที่เจ็ดได้ไหม?”
แม่เฒ่าซาส่ายหน้า“ข้าไม่เคยเข้าด่านที่เจ็ด หุบเขาชีวิต กล่าวกันว่ายากยิ่งกว่าด่านที่หกหุบเขาปีศาจ ข้าไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะท้าทายได้ ในที่นั้นคิดว่าคนที่ผ่านเร็วที่สุดก็คือแม่หนูเฟ่ยเหวินหลี ใช้เวลาหกเดือนกว่าจะผ่านได้สมบูรณ์ นักสู้ที่ผ่านด่านที่เจ็ดหลายคน จะติดอยู่ในด่านที่เจ็ดไปตลอดชีวิตไม่มีทางออกมาได้ หนุ่มน้อย!เจ้าต้องใคร่ครวญให้ดี ต่อให้เจ้าผ่านด่านที่เจ็ดได้ก็ใช่ว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ มาถึงเจ็ดในเก้าด่านนี้ก็เกินขีดความรู้ข้าไปมากแล้ว..ต้องขออภัยที่ข้ามีข้อมูลสำหรับผ่านด่านที่เจ็ดไม่กี่อย่างไม่มากพอจะให้เจ้า เพราะข้ารู้ว่าไม่มีข้อมูลอะไรในด่านที่แปดและด่านที่เก้าปกติหลังจากผ่านด่านที่เจ็ด สำหรับเจ้าในตอนนี้ยังห่างไกลมากเจ้าควรคิดหาวิธีผ่านหุบเขาราคะและหุบเขาอสูรให้ได้ก่อน!” เย่ว์หยางพยักหน้าขอบคุณอีกครั้ง
สำหรับข้อมูลการผ่านด่านที่แปดและด่านที่เก้าเย่ว์หยางคาดว่าแม่ทูนหัวของเขาคงจะมีข่าวดีให้เขา
มีนางพญาเฟ่ยเหวินหลีผู้เคยผ่านด่านที่เก้ามาแล้วเย่ว์หยางเชื่อว่านางรู้ ชัดเจนมากกว่าแม่เฒ่าซาและบางทีในมุมมองวิธีการของนางอาจต่างจากเย่ว์หยางก็ได้
หลังจากกลับไปที่บันไดสวรรค์ ถ้าต้องการความรู้เขาคงต้องหาเวลาไปพบกับนางพญาเฟ่ยเหวินหลี
นางคือคนเดียวที่รู้ความลับทั้งหมด
เมื่อกล่าวอำลาแม่เฒ่าซาเย่ว์หยางบังเอิญนึกถึงเรื่องกระจกทนทุกข์ขึ้นมาได้ทันที
เขาหันไปขอแม่เฒ่าซาให้ช่วยดูแลแทนเขาว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง ใครจะรู้กันว่าแม่เฒ่าซามองดูแล้วส่ายศีรษะตอบว่าไม่รู้ความลับของสิ่งนี้
อย่างไรก็ตามการกระทำของเย่ว์หยางสร้างความประหลาดใจให้กับแม่เฒ่าซาจึงลองสอบถามเขา“เจ้าไปวิหารปีศาจดินมาหรือ? ข้าจำได้ว่ากระจกทนทุกข์นี้เป็นสมบัติของตู๋กูฉางฟงจากสี่ตระกูลใหญ่ในแดนสวรรค์...ในอดีตตู๋กูฉางฟงที่ยังอายุน้อย มุ่งมั่นจะท้าสู้กับจอมปีศาจลี่ตี้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย เขาตายหรือยัง?” เย่ว์หยางส่ายหน้า “เขายังไม่ตาย แค่กลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็งสิ่งนี้ข้าเก็บมาจากตำหนักปีศาจดิน”
เจ้าเด็กนี่พบว่าแม่เฒ่าซายังคงไม่รู้ว่าเขาฆ่าจอมปีศาจลี่ตี้ไปแล้วโดยไม่ได้บอกใครและเขาก็โกหก นี่ก็ถือว่าดีไม่ต้องเปลืองน้ำลายอธิบายถึงวิธีการฆ่าจอมปีศาจลี่ตี้ผู้ทรงพลังถ้าให้นางเห็นสิ่งที่ยังบกพร่องนั่นไม่ใช่เรื่องดี
แม่เฒ่าซาไม่คิดว่าเย่ว์หยางเพิ่งยกระดับเป็นนักสู้ปราณราชันย์ก็สามารถฆ่าจอมปีศาจลี่ตี้ได้
ในสายตาของนางคิดว่าเด็กหนุ่มนี้ไม่ธรรมดาเพียงพอแล้ว เป็นเหมือนต้นอ่อนน้อยๆของนักสู้ปราณราชันย์และจะกลายเป็นนักสู้ปราณราชันย์ที่ดีได้ มีความรู้แจ้งพลังปราณราชันย์ซึ่งเป็นสำนึกเทพอยู่ในระดับเริ่มต้นและจะกลายเป็นประกายเทพต่อไปในอนาคต แม้ว่าระดับปัจจุบันของเย่ว์หยางยังไม่สู้มากนัก แต่นางแม้เป็นผู้อาวุโสก็ยังไม่กล้าดูแคลน ด้วยศักยภาพระดับนี้เย่ว์หยางจะประสบความสำเร็จเหนือเทพราชันย์ในอนาคตนั่นเป็นเรื่องของศรัทธา...”
นางคาดไม่ถึงว่าเย่ว์หยางฆ่าจอมปีศาจลี่ตี้ไปแล้ว แต่คาดว่าเขาคงจะถอยออกมาหลังจากโดนจอมปีศาจลี่ตี้โจมตีอย่างหนักทำให้ได้ผลเก็บเกี่ยวมาบ้างเล็กน้อย เช่นกระจกทนทุกข์นี้เป็นสินสงครามของเขา
“สี่ตระกูลใหญ่แดนสวรรค์เกี่ยวข้องกับหอทงเทียนเราเล็กน้อย ลืมเสียเถอะ, ถ้าเขาไม่ตายเจ้าไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยเขาได้ปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นได้รับบทเรียนที่น่าภาคภูมิใจไปก่อนเถอะ ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย แค่รู้สึกแปลกๆ ดีที่สุดคืออย่าได้ใช้แค่มองเห็นแว่บแรกข้าก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง
“เราจะระมัดระวัง”เย่ว์หยางเก็บกระจกทนทุกข์กลับเข้าไปในเจดีย์ปราบปีศาจและเตรียมจะจากไป ทันใดนั้นแม่เฒ่าซาร้องเรียกทั้งสามคน
“ดูเหมือนพวกเจ้าเป็นคนดีไม่น้อยพวกเจ้าช่วยเอาน้ำตานางเงือกมาให้ข้าได้ไหม?ด้วยน้ำตานางเงือกนั้นข้าอาจป้องกันทัณฑ์สวรรค์ได้ในช่วงเวลาสั้นเผื่อว่าข้าจะได้อาบน้ำบ้างเสียที อย่างน้อยได้ล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก็ยังดี” แม่เฒ่าซาขอร้องเช่นนี้
“ข้าจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้”เย่ว์หยางเห็นว่านางอยู่สภาพที่น่าเวทนามาก นางยืนอยู่ใกล้น้ำแต่ไม่ได้อาบน้ำเป็นเวลานานนี่เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเช่นกัน
แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร
น้ำตานางเงือกนี้ไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆมิฉะนั้นแม่เฒ่าซาคงไม่ต้องยืนอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว
แม่เฒ่าซาไม่รู้จักความลับของกระจกทนทุกข์ บางทีนางพญาเฟ่ยเหวินหลีอาจรู้ก็ได้
เย่ว์หยางยิ่งกระตือรือร้นจะไปพบนางพญาเฟ่ยเหวินหลีในครั้งนี้
ก่อนที่จะออกจากดินแดนฝึกฝนนี้พร้อมกับเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนใช้เข็มทิศสามภพกลับไปที่บันไดสวรรค์ เย่ว์หยางเทเลพอร์ตกลับไปที่ด่านที่สองหุบเขาวายุ การต่อสู้ของราชาหลิงหวินและพวกจบสิ้นแล้ว
ถูไห่สีหน้าขมขื่นแขนของเขาหัก และขาขวาขาดถึงเข่าเหลือครึ่งเดียว
ราชาหลิงหวินไม่มีแผลบาดเจ็บตามร่างกาย เมื่อเย่ว์หยางกลับมาหาราชาหลิงหวินราชาหลิงหวินไม่ปิดอกของเขาเอาไว้... มีรูบาดแผลรอยเลือดถูกแทงทะลุถ้าไม่ใช่เพราะราชาหลิงหวินอดกลั้นเพียงพอ เขาคงตายไปแล้ว
เย่ว์หยางเข้าใจพวกเขาแม้ว่าจะมีกันหกคน แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะผู้อาวุโสของตำหนักกลางในสภาพแวดล้อมที่เสียเปรียบแบบนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือราชาหลิงหวินกลับเลือกจะไม่ฆ่าพวกเขา
เขาจับเป็นผู้อาวุโสฟลามิงโกและผู้อาวุโสฉีฟง
เพราะเหตุนี้เองพรสวรรค์ของทั้งหกจึงต้องแลกมาด้วยราคาที่หนักหนาสาหัส
เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บบอบช้ำของผู้อาวุโสฟลามิงโกและฉีฟงทั้งสองคนนี้เย่ว์หยางคาดว่าการต่อสู้คงต้องดุเดือดรุนแรง เย่ว์หยางจับสองผู้อาวุโสโยนใส่เจดีย์ปราบปีศาจและผนึกเอาไว้จากนั้นมอบยาเม็ดพลังยุทธคุณภาพสูงสุดให้ราชาหลิงหวินและทุกคน “ทำกันได้ดีมาก! อย่างไรก็ตามนี่แค่จุดเริ่มต้น เราต้องสั่นสะเทือนตำหนักกลางให้ได้ผู้อาวุโสตำหนักนี้เป็นแค่เพียงปลายยอดภูเขาน้ำแข็งตอนนี้อย่าเพิ่งออกไปก่อนชั่วคราวด่านที่สามเรียบง่ายไม่มีนักรบแดนทมิฬจะเข้าไปได้ ข้าคาดว่าพวกเขาคงออกไปข้างนอกหมดแล้ว
ราชาหลิงหวินได้ฟังแล้วมีสีหน้ากระอักกระอ่วน“แดนรกร้างที่แปด กลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามมองทุกอย่างในแง่ร้ายไม่มีสัญญาณในเชิงบวกเลย ความเป็นไปได้นี้พวกเขาคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว แต่พวกเขากลับเอาหัวมุดทรายไม่ยินยอมจะคิดล่วงหน้าไว้ก่อน
ตอนนี้พวกเขาได้ยินคำเตือนของเย่ว์หยาง
พวกเขารู้สึกเศร้าใจ
“ถ้าพวกเจ้ากังวลเรื่องนักรบมรณะ พวกเจ้าสามารถไปที่วิหารปีศาจดินได้แผนที่อยู่ในนี้ พวกเขาไม่มีทางคิดว่าพวกเจ้าจะไปที่อย่างนั้น” ถ้าเย่ว์หยางไม่พูดราชาหลิงหวินถึงกับตกใจร้องเตือน“อย่างนั้นท่านปราบปีศาจในวิหารปีศาจดินได้แล้วหรือ?”
“พวกท่านไปก็เห็นเอง!” เย่ว์หยางยิ้มและหันกายจากไป คนทั้งหกรวมทั้งราชาหลิงหวินประหลาดใจยืนงงเป็นไก่ตาแตก!-!