ตอนที่ 812 การสู้รบที่น่าอัศจรรย์
แสงจากพลังระเบิดฉายไปทางซากหักพังของป้อมเป็นครั้งคราว
ทหารต่างขว้างสมบัติดวงดาวไปในการสู้รบ สมบัติดวงที่พวกเขารักและเก็บสะสมไว้ในวันธรรมดา ต่างระเบิดฉายแสงเจิดจ้าทั้งหมดใบหน้าเยาว์วัยที่น่ากลัวและคลั่งของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อและน้ำตา พวกเขาไม่ยินดีเลย
ในอดีต พวกเขาเป็นแค่กองทัพเล็กๆรับหน้าที่รักษาความปลอดภัย สมบัติวิญญาณใดๆ ก็เพียงพอจะซื้อพวกเขาได้ทั้งกองทัพ และเป็นเวลานานที่พวกเขายังเป็นถุงขยะที่ต่ำต้อย
ใครยังจะจำพวกเขาได้บ้างว่าพวกเขาเป็นถุงขยะ? ใครยังจะจำนางแอ่นปีกคู่เซี่ยอวี่อันได้
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ถูกซื้อ นายทหารวัยกลางคนที่อายุค่อนข้างน้อยและไม่มีใครรู้จักกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากธุรกิจในครั้งนั้น
พวกเขาไม่กล้าคาดหวังมากเกินไป พวกเขาไม่กล้าหวังอะไรมากนัก ในอดีตพวกเขาเป็นพวกเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย และเสียเวลาไปหลายปี
หูของเซี่ยอวี่อันไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรอื่นนอกจากเสียงระเบิดและการโจมตีขนาดที่เขาแทบจะหูหนวกอยู่แล้ว แต่เขาทุ่มสุดชีวิตโบกมือคำรามคำพูดที่แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเป็นการให้กำลังใจทหารหรือให้กำลังใจตนเอง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเขาเองแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้ยินเสียงของเขาก็ตาม
ภายใต้การระเบิดอย่างต่อเนื่อง และแสงรัศมีฉายในฉากภาพที่เงียบและสั่นสะท้าน เซี่ยอวี่อันที่มองดูเหมือนเป็นบ้ายังคงรู้สึกสงบมาก กระบวนความคิดของเขาล่องลอยและวันคืนเก่าก่อนผ่านไปอย่างเงียบงัน
‘เป็นเรื่องที่น่าเสียใจเล็กน้อยที่ไม่สามารถกลายเป็นแม่ทัพระดับทองได้’
‘นายท่านซื้อเรามาในราคาถูกขนาดนี้ เขาได้กำไรอย่างแท้จริง ข้าจะไปเทียบกับนายท่านในเรื่องทำธุรกิจได้ยังไง?’
‘แต่, ข้าไม่เสียใจแม้แต่น้อย’
……………
เปลือกตาของเซี่ยอวี่อันสั่นสะท้าน เขาค่อยๆ ลืมตา แสงอาทิตย์ฉายผ่านมาทางหน้าต่างส่องเต็มหน้าเขาเขารู้สึกอบอุ่น เหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วสำหรับช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขามีความฝันอย่างเดียว และทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นเขาจะมีความเศร้าอยู่เต็มอก
การสู้รบจบไปนานแล้ว แต่เขารู้ว่าเป็นการสู้รบที่เขาจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
เขาลุกขึ้นนั่งและสวมรองเท้ามองดูเตียงสนามรอบๆ คนที่นอนอยู่ล้วนเป็นทหารทั้งนั้นกองพลนางแอ่นได้รับความสูญเสียหนักยิ่งกว่านั้นการสู้รบทั้งหมดที่เขาเคยเผชิญมาก่อนนั้นทหารที่เหลืออยู่น้อยกว่าหนึ่งในห้าจากที่เคยมีและแม้แต่ผู้รอดชีวิตก็ไม่ได้กลับมาอย่างสมบูรณ์ปลอดอันตราย
เซี่ยอวี่อันเดินสำรวจรอบๆอย่างเงียบงันใบหน้าที่คุ้นเคยนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบการเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลมาก
หลังจากตรวจสอบทุกคนจนกระทั่งทหารคนสุดท้ายเขามองดูรอบๆ เนื่องจากมีเตียงว่างเปล่าหลายเตียง และใบหน้าที่คุ้นเคยกันทั้งหมดที่ต้องแยกกันตลอดกาล ปรากฏอยู่ในสายตาของเขา
เขาเดินออกมานอกห้องอย่างเงียบงัน
ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใต้แสงแดด เขาร้องไห้
การสู้รบที่ป้อมพิทักษ์สมุทรสั่นสะท้านไปทั้งโลก
เป็นการสู้รบยิ่งใหญ่พอจะทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์สงคราม ระดับความชอกช้ำสั่นสะท้านไปทั่วดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์จนพูดไม่ออก เรือรบล้อมโจมตีขนาดใหญ่ 22 ลำ นั่นเป็นแนวรบที่น่ากลัวพอจะทำให้แม่ทัพทหารรู้สึกสิ้นหวัง มากจนพวกเขาวางอาวุธยอมแพ้
ไม่มีป้อมรบใดจะต้านทานพลังโจมตีของเรือรบล้อมโจมตีขนาดใหญ่22 ลำได้
แต่สัมพันธมิตรใต้สร้างเรื่องอัศจรรย์ได้
การป้องกันของเซี่ยอวี่อันในป้อมพิทักษ์สมุทรคงอยู่ได้ตลอดหกชั่วโมงและทำลายเรือรบล้อมโจมตีขนาดใหญ่ไปถึงครึ่งหนึ่งขณะที่โกวเฉิงเวิ่นเต้าคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ จู่ๆ อาเฮ่อปรากฏตัวพร้อมกับกองทัพสมบัติดวงดาวของเขาและเข่นฆ่าทำทางเข้ามา
เรือรบล้อมโจมตีขนาดใหญ่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ทันทีและตกเป็นเป้าหมายเมื่อพวกเขาเคลื่อนใกล้เข้ามา
เรือรบล้อมโจมตีขนาดใหญ่ทั้งหมดตกอยู่ในเปลวไฟ และไม่เพียงเท่านั้น เรือรบล้อมโจมตีขนาดกลางทั้งหมดดูเหมือนจะถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน โกวเฉิงเวิ่นเต้าโกรธจัดจนต้องลงมือด้วยตนเอง แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือกองกำลังลึกลับนี้ไม่ยอมถอย แต่กลับอาศัยซากหักพังของเรือล้อมโจมตีสู้กับพวกเขาอย่างดุเดือด
การสู้รบอย่างเข้มข้นเกิดขึ้นในซากหักพัง
กองเรือรบล้อมโจมตีขนาดใหญ่ก็เป็นเหมือนป้อมรบขนาดใหญ่ ขณะที่เรือรบล้อมโจมตีขนาดกลางก็ยังมีขนาดเท่าเนินเขาซึ่งการสู้รบเกิดขึ้นในซากหักพังขนาดใหญ่ กองเรือของโกวเฉิงเวิ่นเต้าไม่สามารถขยับขยายออกไปได้ในสภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งใช้แนวซากหักพังสำหรับป้องกันและปล่อยคลื่นโจมตีใส่พวกเขา
สิ่งที่ทำให้โกวเฉิงเวิ่นเต้าแทบกระอักเลือดก็คือในกองทัพนี้ ทุกคนมีสมบัติดวงดาวเช่นกัน
ทหารธรรมดาของทวีปกวงหมิงเพียงแต่รู้ว่าทวีปซางโจวมีสมบัติวิญญาณ แต่โกวเฉิงเวิ่นเต้ารู้ว่าสมบัติวิญญาณของทวีปซางโจวเป็นสมบัติดวงดาวของสวรรค์วิถี!
กองเรือรบคืบหน้าได้เพียงเล็กน้อยแต่โกวเฉิงเวิ่นเต้ายังไม่เคลื่อนไหว แม้ว่าการทำลายล้างเรือรบล้อมตีขนาดใหญ่ทั้ง22 จะทำให้เขาหงุดหงิด เขาก็ยังได้เปรียบที่จำนวน
โกวเฉิงเวิ่นเต้าสั่งทุกคนให้ลงจากเรือเพื่อสู้รบทันที
สถานการณ์การสู้รบกลับทำให้โกวเฉิงเวิ่นเต้าต้องตกใจอีกครั้ง ศัตรูสามารถอยู่ในทะเลพลังงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันทหารของกวงหมิงได้เปรียบที่จำนวนคน แต่ต้องประสบความสูญเสียบาดเจ็บล้มตายไปมาก
โกวเฉิงเวิ่นเต้าขมวดจนคิ้วแทบชนกัน
เขาตระหนักได้ว่าประเมินสัมพันธมิตรใต้ต่ำเกินไป การสู้รบที่ถูกลากยาว กลายเป็นการปะทะกันกลับเป็นเรื่องลำบากอย่างเหลือเชื่อ และอีกฝ่ายมักจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงทำให้พวกเขาประหลาดใจ ช่างแตกต่างจากการสู้รบที่เคยมีมาในอดีต ศัตรูอีกฝ่ายจะมีบางอย่างที่เขากลัว แต่โกวเฉิงเวิ่นเต้าก็ยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าตีเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าตีข้าครั้งหนึ่ง ข้าตีเจ้าสองครั้งเจ้าก็ตีข้าสองครั้ง” เขาไม่เคยกลัว
เขาเป็นเหมือนดาบที่คมกล้าที่รุกโดยไม่ตั้งรับ เขาไม่สนใจว่าเขาจะโดนศัตรูฟันไปกี่ครั้งแต่ไม่มีใครสามารถหยุดดาบของเขาได้
แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกเหมือนว่าเขากำลังสับขวานใส่ปุยนุ่นหรือน้ำมันเฉื่อยชามาก
เขาเป็นคนบ้าระห่ำ แต่ก็ยังเป็นคนฉลาด
เขาไม่สะทกสะท้านกับการบาดเจ็บล้มตายในสนามรบ แต่เขาหรี่ตาและสังเกตดูสนามรบอย่างระมัดระวัง
ศัตรูเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสู้ในทะเลพลังงาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านการฝึกฝนพิเศษเพื่อการนี้ ทะเลพลังเป็นที่ๆเรือรบเป็นเจ้าปกครอง และไม่มีการปกป้องจากเรือรบ พลังงานกัดกร่อนไม่มีที่สิ้นสุดเพียงพอจะทำลายกองทัพได้ทั้งหมด แม้แต่โจรสลัดก็ไม่เคยฝึกในทะเลพลังงาน และสู้โดยไม่มีเรือ เทียบความแข็งแกร่งกับเรือรบแล้วไม่จำเป็นต้องพูดเลย
ใครจะรู้กันว่าพันธมิตรใต้จะมีการฝึกฝนในด้านนี้ ‘เป็นไปได้ว่าพวกเขาได้คาดถึงสถานการณ์ดังกล่าวไว้นานแล้วหรือ?’
โกวเฉิงเวิ่นเต้าส่ายศีรษะ การสู้รบข้างหน้าเขาเป็นแค่อุบัติเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะซากปรักหักพังเมื่อเผชิญหน้ากับเรือรบที่น่ากลัว กองทัพศัตรูจะต้องตายในพริบตา
ไม่มีที่ให้ปิดบังในทะเลพลังงานส่วนใหญ่ของทะเลพลังงานเป็นแค่กระแสพลังงานที่ไหลกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด
เรื่องที่ศัตรูมีความเชี่ยวชาญในการใช้สมบัติดวงดาว โกวเฉิงเวิ่นเต้าไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก ประวัติและพื้นฐานของถังเทียนถูกระดับสูงจากทวีปกวงหมิงแจงไว้อย่างละเอียด ความจัดเจนในสมบัติดวงดาวของสัมพันธมิตรใต้เป็นหนึ่งในเรื่องธรรมดาที่สุดอย่างแท้จริง
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือพลังสมบัติดวงดาวในทะเลพลังงาน
พวกมันสามารถคุกคามเรือรบได้!
โกวเฉิงเวิ่นเต้าเห็นกับตาว่าเรือรบสองสามลำถูกทำลายและเขามีลางสังหรณ์ไม่ดีทันที
เขาไม่รู้ว่ามาถูกเวลาหรือเปล่าและอีกด้านหนึ่งของสนามรบ อาเฮ่อยังคงนึกถึงสิ่งที่ปิงบอก
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการสู้รบมากเกินไปและเพราะว่ารูปแบบการสู้รบของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์มีชะตาต้องเปลี่ยนไปเพราะสมบัติดวงดาว อย่าคิดว่าข้าพูดเกินจริงในเรื่องการใช้สมบัติดวงดาว ในจุดนี้จงเชื่อว่าแม่ทัพผู้นี้ได้ผ่านสงครามที่โหดร้ายและอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์มาแล้ว สถานการณ์ในการสู้รบไม่ใช่สิ่งที่คงทนนิรันดร์แต่กลับจะมีการเปลี่ยน มีตัวแปรที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ทั้งหมด และสมบัติดวงดาวก็คือตัวแปรนั้น”
“ในสวรรค์วิถีเพราะความเข้มข้นของพลังงาน พลังสมบัติดวงดาวจะอ่อนลงมาก แต่ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังงานเข้มข้นไม่มีขีดคั่นเขตแดน พลังของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน”
“เจ้ารู้ไหมว่านั่นหมายถึงอะไร? หมายความว่ากองทหารติดอาวุธทรงพลังรูปแบบใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้น การปรากฏตัวขึ้นครั้งนี้มีแนวโน้มเป็นอย่างยิ่งกว่าจะทำลายรูปแบบกองทัพดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน สิ่งที่ข้าหมายถึงนี้ไม่ใช่ว่ากองทัพจะถูกผลักดันตกเวทีไป แต่หมายความว่ากองทัพในอนาคตจะมีความคล่องตัวมาก แปรเปลี่ยนได้มากและมุ่งเน้นความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล”
“ปัจจุบันนี้ไม่มีใครสังเกตเรื่องนี้ยกเว้นข้า การถ่ายทอดวิทยายุทธและประสบการณ์ที่เจ้ามีจากสวรรค์วิถี พวกเขาเองก็มีมาตรฐานบางอย่างในกลยุทธสงครามอยู่แล้ว เมื่อพลังส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นพวกเขาจะสร้างความสามารถในการรบของพวกเขาเองได้อย่างรวดเร็ว”
สถานการณ์ในสมรภูมิเป็นไปตามที่ปิงกล่าวไว้
นอกจากกลุ่มดาวแกะอีกสี่ตระกูลของห้าตระกูลใหญ่เกาะใต้อยู่ภายใต้บัญชาการของอาเฮ่อ อาเฮ่อไม่ได้ปกปิดอะไรไว้ ความรู้ที่ลึกซึ้งของเขามาจากการอ่าน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนในวิชาเหล่านั้น แต่เขารู้ทฤษฎีหลายอย่าง ที่แข็งแกร่งที่สุดยังเป็นกลุ่มดาวคนธนู เนื่องจากราชินีคือป้าของเขาเอง เขาถูกมองว่าเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมาสืบทอดกลุ่มดาวคนธนู
สี่ตระกูลใหญ่เติบโตในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อายุน้อยและโดดเด่นในการใช้กลยุทธ, กระบวนทัพ, และการร่วมประสานกลายเป็นสัญชาตญาณของพวกเขาและหลังจากพวกเขาเพิ่มพลังความแข็งแกร่งเฉพาะตัว อาเฮ่อประหลาดใจที่พบว่าเขาไม่จำเป็นต้องแนะนำพวกเขาและพวกเขาคิดแนวทางประสานงานได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ปลดปล่อยพลังได้ยิ่งใหญ่
กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาเริ่มคิดถึงปัญหาเกี่ยวกับกลยุทธของพวกเขาเอง
การฝึกเดินทางระยะไกลในทะเลพลังงานอย่างต่อเนื่องเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเขาอย่างมากมาย ขณะที่โจรสลัดที่พวกเขาเผชิญในระหว่างทางยังช่วยให้พวกเขาใช้ฝึกฝนอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อการสู้รบเริ่มขึ้นสี่ตระกูลใหญ่เกาะใต้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
เมื่อทุกคนติดอาวุธอย่างสมบูรณ์ก็ยิ่งเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้แต่ละคนและมีพลังคุกคามเรือรบได้ และพวกเขายังมีความยืดหยุ่นที่เรือรบไม่มี และเมื่อทหารร่วมสู้ ในการร่วมประสานงานไม่ใช่สู้เดี่ยว พลังพวกเขาอาจระเบิดออกมาได้ทันที
เรือลำแล้วลำเล่าระเบิดไฟลุกท่วม
เมื่อมองจากระยะไกล สมรภูมิมองดูเหมือนกับมีกองไฟลอยอยู่รอบๆ มันดูงามสง่ามาก
พื้นที่บริเวณเต็มไปด้วยซากหักพังและเปลวเพลิงที่ไม่เคยมอด กลายเป็นแดนมรณะ
การสู้รบรุนแรงและสั้นคงอยู่เพียงครึ่งชั่วโมง แต่ในครึ่งชั่วโมงนี้โกวเฉิงเวิ่นเต้าสูญเสียมากมาย เขาเสียเรือรบระดับเงินไป 30 ลำเรือรบระดับบรอนซ์ 123 ลำและกำลังพลที่เสียชีวิต หนึ่งหมื่นห้าพันนาย มีบางส่วนที่ถูกเผาทั้งเป็นในเรือรบที่ถูกไฟไหม้
แม้ว่าโกวเฉิงเวิ่นเต้าผู้เห็นชีวิตเหมือนผักปลา เมื่อเห็นรายงานหางตาของเขากระตุกอย่างช่วยไม่ได้
สิ่งที่ทำให้โกวเฉิงเวิ่นเต้ารู้สึกหม่นหมองก็คือไม่ใช่ว่ากองทัพศัตรูถอยหนี แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายถอยด้วยความคิดเขาเอง สิ่งที่ทำให้เขาอยากกระอักเลือดก็คือต้องถอยหนีไปที่ป้อมพิทักษ์สมุทร
มันคือซากหักพัง
แต่ป้อมที่พังทลายก็เหมือนกระดูกที่แข็ง เซี่ยอวี่อันสร้างป้อมพิทักษ์สมุทรใหม่ผ่านการคิดเป็นอย่างดีรวมทั้งภายในมีการบูรณะตกแต่งใหม่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปกลายเป็นคงทนกว่าเดิม ยกเว้นความจริงที่ว่าชั้นนอกของป้อมรบถูกทำลาย และตำแหน่งรบของพวกเขาทั้งหมดถูกทำลาย แต่ส่วนภายในยังคงสมบูรณ์
ถ้ามีเรือล้อมโจมตีขนาดใหญ่มากกว่านี้อาจจะโค่นพลังป้อมได้ง่าย แต่เรือรบล้อมโจมตีทั้งหมดถูกทำลาย
โกวเฉิงเวิ่นเต้าตระหนักได้ทันทีว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีทางรุกหรือถอยได้เลย
แต่เขาไม่เคยคาดว่าแรงกระเพื่อมจากการสู้รบเพิ่งเริ่มกระจายออกไป