บทที่ 9: น้องสาวและพี่ชาย
โรงเรียนของถังหย่าเจี๋ยตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงซึ่งที่ดินทุกตารางนิ้วมีล้วนมีราคาและตามถนนเต็มไปด้วยร้านค้าที่ตกแต่งอย่างหรูหราและมีรถรับส่งบรรดาคุณหนูคุณชายจอดรออยู่
ระหว่างนั่งรถไปโรงเรียนเขาก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างอดไม่ได้กับภาพความจอกแจกจอแจและฝูงชนที่พลุกพล่าน เพราะหลังจากที่ได้ไปเห็นควาหฤโหดของอีกโลกมาแล้วมันก็ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป ความอึน ๆ มึน ๆ ลดลงไปหน่อยโดยมีความมั่นใจนิดหน่อยที่เพิ่มขึ้นมาแทน
และเมื่อถึงโรงเรียนแล้วถังเจิ้นก็เห็นถังหย่าเจี๋ยน้องสาวตนยืนรออยู่แล้วที่หน้าประตูโรงเรียน แถมยังยืนรอการมาถึงของพี่ชายด้วยความตื่นเต้นอีกด้วย!
เพราะตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้วในสายตาเธอพี่ชายเหมือนฮีโร่เลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ก็จะเข้มแข็งเสมอ
ยามที่เธอโดนรังแกพี่ก็จะเข้าไปช่วย ต่อให้ต้องโดนรุมทุบตีจนวูบเขาก็ยังดึงดันจนเอาชนะไอ้คนที่มันมารังแกเธอจนต้องเผ่นแนบได้ เมื่อเธอมีปัญหาเรื่องเรียนพี่ที่เรียนโคตรเก่งก็จะคอยช่วยติวไขข้อสงสัยให้ ทว่าเพราะครอบครัวมีปัญหาจึงทำให้เขาไม่อาจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ เขาต้องออกไปหางานทำเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวในทันทีที่เรียนจบม.ปลาย
ถังหย่าเจี๋ยรู้สึกมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจที่มีพี่ชายที่คอยปกป้องมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเธอจะรู้มานานแล้วว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ถังหย่าเจี๋ยกับถังเจิ้นก็ยังคงมีความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ลึกซึ้งกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดซะอีก โดยทั้งสองได้มองว่าอีกฝ่ายต่างก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของตนกันทั้งสิ้น
ถังหย่าเจี๋ยเป็นเด็กสาวสูง 172 สวมกางเกงยีนส์สีอ่อนรูปร่างหน้าตาดูเป็นสาวหวานและซื่อตรง เธอที่ยืนอยู่ข้างถนนแบบนี้ทำให้ดูเด่นสะดุดตาคนที่เดินไปเดินมาอย่างยิ่ง หุ่นดี หน้าตาดี เรียนดี บุคลิกร่าเริงดี จิตใจดี ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้คือองค์ประกอบอันเป็นที่สุดของแฟนที่โคตรเพอร์เฟกต์ที่บรรดาหนุ่ม ๆ มากมายต่างไฝ่ฝันถึง
ในเวลานี้เทพธิดาในใจของเด็กชายนับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้าไปหา โดยใบหน้าอันงดงามที่แต่เดิมนิ่งเงียบนั้นได้ปรากฏรอยยิ้มแสนหวานขึ้นมา
“เย่! พี่มาแล้ว!”
ถังหย่าเจี๋ยโบกมือหยอย ๆ พลางวิ่งกระโดดโลดเต้นไปหาถังเจิ้นและกอดแขนเขาอย่างซุกซนก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ “พี่ล่ะก็ หนูล่ะงงจริง ๆ เลยที่พี่ชายผู้เอาแต่ทำงานตัวเป็นเกลียวขนาดที่อยากจะแยกร่างมาช่วยทำได้ทำไมวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาเยี่ยมหนูได้ล่ะหืม?”
“หึ ๆ”
ถังเจิ้นหัวเราะเบา ๆ จ้องมองดวงตาที่สดใสของน้องสาวและพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “ก็พี่เป็นพี่มาเยี่ยมน้องน่ะเรื่องธรรมดา ไม่เหมือนเธอหรอกแม่จิ้งจอกน้อย จะทำอะไรก็ต้องมีอะไรแอบแฝงตลอด!”
ถังหย่าเจี๋ยหยิกเอวของถังเจิ้นและตะคอกด้วยความโกรธ “เป็นพี่ประสาอะไรมาว่าน้องเป็นนังจิ้งจอกน้อย! แบบนี้มันต้องโดนนนนน!”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ถังเจิ้นหัวเราะพลางแสร้งทำเป็นหลบมือไม้ของเธอด้วยความกลัว ก่อนจะประนมมือขึ้น ๆ ลง ๆ เหนือหัวร้องว่ายอมแล้วค้าบ ๆ
ตรงกันข้ามคือทางด้านถังหย่าเจี๋ยรู้กลับสึกประหลาดใจอย่างมากกับความแข็งแกร่งทางร่างกายของถังเจิ้น เพราะเธอรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อรอบ ๆ เอวของพี่ชายตนเหมือนจะแข็งแรงกว่าเดิมเยอะเลย
จากนั้นเธอก็หรี่ตาลงและคิดในใจว่าการที่เป็นแบบนี้ได้ต้องเป็นเพราะพี่เธอไปทำงานแบบใช้แรงงานอย่างหนักมาแน่ ๆ เลยคว้าแขนเขามาเช็คดูเพื่อความชัวร์ ซึ่งก็ตามคาด เพราะที่ฝ่ามือของเขามีหนังที่ด้านและแข็งอันเป็นเอกลักษณ์ของคนที่ใช้แรงงานอย่างหนัก
แน่นอนเรื่องนี้ถังหย่าเจี๋ยเข้าใจไปเอง อันที่จริงแล้วแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ทันสังเกตเลยว่าร่างกายของตัวเองมีการเปลี่ยนแปลง
ส่วนสาเหตุจริง ๆ ก็คงจะมาจากการฆ่ามอนสเตอร์นั่นแหละ จากแอปข้อมูลส่วนตัวมันก็ได้บอกไว้แล้วว่าถ้าเขาฆ่ามอนส์เตอร์ได้อีกซักไม่กี่ตัวเขาก็จะเลื่อนขึ้นเป็นเลเวล 1 ซึ่งมีพลังพอ ๆ กับผู้ใหญ่ 1 คนที่ออกแรงเต็มที่
ถังเจิ้นสังเกตเห็นความประหลาดใจของเธออย่างรวดเร็ว ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป จากนั้นทั้งคู่ก็พากันไปนั่งที่ม้านั่งแล้วเขาก็ยื่นบัตรธนาคารให้เธอใบหนึ่ง
“ใบนี้มีเงินอยู่สามแสนนะ รหัสคือวันเกิดเธอ”
ถังหย่าเจี๋ยมองดูบัตรธนาคารที่ถูกยัดใส่มือด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับถังเจิ้นเสียงเครียด “นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะพี่! เอาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมาซะ!”
เขารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวเจ้าเล่ห์ของตนต้องถามแบบนี้ และเขาก็ตอบแบบสบาย ๆ ไปว่า “ที่มาของเงินรับรองว่าสะอาดชัวร์ ๆ ไม่มั่วนิ่ม และฉันไม่ได้ทำเรื่องผิดกฎหมายหรือทำลายสังคมอย่างแน่นอน เพราะงั้นเธอไม่ต้องห่วง เลิกคิดเองเออเองแล้วไปเรียนอย่างสบายใจซะก็พอแล้ว”
ถังหย่าเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจด้วยความเสียใจ “พี่ไม่เห็นต้องเหนื่อยขนาดนี้เลย หนูเก็บเงินเรียนเองได้หน่า ตอนนี้ก็มีพอแล้วด้วย อีกไม่นานเว็บที่หนูทำก็จะสร้างรายได้มีกำไร ใช่แล้ว! ขอเวลาอีกนิดเดียว... หนูรู้ว่าพี่น่ะพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อ แต่พี่อย่าทำอะไรโง่ ๆ นะ ไม่งั้นล่ะก็หนูคง... เสียใจมาก ๆ แน่”
ถังหย่าเจี๋ยรู้ว่าถังเจิ้นทำงานอะไรอยู่ตอนนี้ แบกอิฐแบกปูนไง นอกจากจะหาเงินใช้หนี้แล้วยังเลี้ยงดูเธอด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายมันเกินกว่ารายได้ของเขาอย่างชัดเจน ดังนั้งความกังวลของเธอจึงใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลไปซะทีเดียว
และเธอยังรู้ดีว่าเขามีนิสัยที่เมื่อตัดสินใจทำอะไรไปแล้วก็จะยึดมั่นไม่ยอมเลิกจนกว่าจะสำเร็จ
ถังเจิ้นไม่เคยโกหกเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นเธอเลยไม่คิดจะสงสัยในคำพูดของเขาเลย
ทว่าถังหย่าเจี๋ยก็ยังคงมีความรู้สึกไม่สบายใจแถมยังหวาดกลัวอยู่นิด ๆ ด้วย ทำให้เธอไม่อาจสงบสติอารมณ์ลงได้
ส่วนผู้เป็นพี่เมื่อเห็นอารมณ์หมอง ๆ ของน้องสาวแล้วมันอดเศร้าใจไม่ได้เหมือนกัน คำสารภาพทั้งหมดเลื่อนมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่เขาก็ตั้งสติกลืนมันลงไปคืน ‘ไม่ เรื่องนี้พูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด!’
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปปาดผมเพื่อเปิดหน้าผากของเธอแล้วดีดเพี๊ยะเข้าไปดอกหนึ่งทำเอาเธอโกรธและโวยวายขึ้นมาแล้วหัวเราะสนุกสนาน
ถังหย่าเจี๋ยเม้มปากอย่างเจ็บปวดและเริ่มหยิกถังเจิ้นอย่างเอาจริงเอาจังพลางหางตาของเธอก็ได้มีน้ำตาหยดเล็ก ๆ ร่วงลงมา
สิบนาทีต่อมาถังเจิ้นก็ออกจากโรงเรียน ตอนที่แยกกันถังหย่าเจี๋ยก็ไม่ได้ถามว่าเอาเงินมาจากไหน แต่พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้พี่ระลึกไว้เสมอนะว่าพี่ยังมีน้องสาวที่ต้องให้พี่ดูแล มีน้องสาวที่อยากให้พี่ปลอดภัยและมีความสุขตลอดไปรออยู่...”
ถังเจิ้นแทบจะรั้งน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เขามองน้องสาวของตนด้วยหัวใจที่อบอุ่นก่อนจะโบกมือลา
การสำรวจโลกอื่นไม่ใช่แค่การเล่นเกม มีผลประโยชน์มากมาย พร้อมกับอันตรายถึงตายด้วย!
เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ไปโลกอื่นรอบนี้ทั้งสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกหรือไม่? เขาจะรอดชีวิตกลับมาได้หรือว่าต้องทอดกายกลายเป็นอาหารมอนสเตอร์ที่นั่น?
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรตอนนี้ในใจเขากลับสงบนิ่ง ด้วยความรักที่มีต่อครอบครัวอันแนบแน่นอยู่ในใจทำให้เขาไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ทำ...
หลังจากนั่งรถกลับถึงบ้านแล้วถังเจิ้นก็หยิบมือถือออกมา หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็โทรออก
โดยชื่อที่เขาโทรหาเม็มเอาไว้ว่า ‘ประธานหื่น’!
มีเสียงโทรติด แต่ก็มีเสียงวางสาย พอโทรไปอีกมันก็วางสายอีก!
ถังเจิ้นไม่ยอมแพ้และโทรรัว ๆ ไปเรื่อย ๆ ‘ดูซิว่ามึงจะรับไม่รับ!’
และสุดท้ายมันก็รับจนได้ โดยเสียงปลายสายมีเสียงครางของผู้หญิงดังเข้ามาด้วยพร้อมกับเสียงเจ้าของเบอร์ที่พูดกรอกหูด้วยเสียงแหบห้าวอย่างโมโห “ไอ่ถังเจิ้น ไอ่ห่าหนิ! รอกูแตกก่อนก็ไม่ได้จะรีบห่าไรนักหนาวะ! หรือมึงอยากร่วมวงด้วยฮะ!”
หลังจากได้ยินเสียงปลายสายดังเข้ามามีหรือถังเจิ้นจะไม่รู้ว่าไอ้ประทานมันทำอะไรอยู่ เขาเม้มปากทีหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า “มึงนั่นแหล่ะวัน ๆ ไม่ทำห่าไรเลยนอกจากไปหาจิ้มผู้หญิงที่มีผัวแล้ว แม่งหื่นสมชื่อจริง ๆ...”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นไอ้คนปลายสายมันก็พูดกลับมาด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า “มึงอิจฉากูก็ว่ามาตรง ๆ อย่าทำเป็นประชด!”
ถังเจิ้นหัวเราะเบา ๆ “กูว่ามึงมั่วละ เรียกมึงว่าไอ้ประธานหื่นนี่ดูจะสรรเสริญน้อยไป เปลี่ยนเป็นไอ้คุณชายหื่นให้เอาปะ?”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ปลายสายไม่ได้โกรธอะไรแถมยังหัวเราะชอบใจอีกต่างหาก จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “เฮ่อ~ ก็มีแต่เฒ่าถังนี่แล้ที่รู้จักฉัน เอาว่ามา มีปัญหาอะไรทำไมนายที่ไม่ได้โทรหาฉันมาตั้งหลายปีดีดักแล้วถึงได้โทรมา อย่าบอกน้าว่าตัวเองไม่มีปัญหา เพราะกูไม่เชื่อ!”
“ไม่มีปัญหาแล้วโทรหาไม่ได้เหรอวะ?”
“เอาล่ะพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่รู้ว่านา...”
“แฮก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
“อื้อ ๆ ๆ ๆ”
ทันทีที่ถังเจิ้นพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงหายใจถี่ ๆ จากปลายสายโทรศัพท์ตามด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความปีติยินดีของผู้หญิงทำเอาถังเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย และขณะที่กำลังจะตัดสายทิ้งอยู่นั้นเอาเสียงปลายสายก็ดังออกมาว่า “อีกชั่วโมงนึงไปเจอกันที่จัตุรัสเฉิงหนาน (ทางใต้) แค่นิ...”
“พ่อง!”
ถังเจิ้นด่ากรอกหูโทรศัพท์แล้วตัดสายทิ้งทันทีอย่างมีน้ำโหสุด ๆ
ไอ้คนที่ชื่อ ‘องค์ชายหื่น’ ที่ถังเจิ้นยกย่องให้คือซูเฟิง มันเองก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนเขาซึ่งเติบโตจากข้าวหม้อเดียวกัน เพราะว่าทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้าด้วยกันจึงเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ และความสัมพันธ์ก็ถือว่าสนิทสนมแน่นแฟ้น
ต่อมาถังเจิ้นเรียนจบม.ปลายก็ออกไปหางานทำ ส่วนซูเฟิงก็เดินเข้าสู่โลกของธุรกิจสีเทา ทั้งสองติดต่อกันน้อยลงเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยมานานหลายปีแล้ว
ตอนแรกถังเจิ้นคิดว่าตัวเองกับซูเฟิงคงเป็นคู่หูที่ไม่แยกจากกันไปชั่วชีวิต แต่ตอนนี้โลกได้แสดงให้เห็นถึงอนิจจังแล้ว ความคิดหลาย ๆ อย่างก็แค่ความเพ้อฝันหลอกตัวเองเท่านั้น
1 ชั่วโมงต่อมา
จัตุรัสเฉิงหนาน
ถังเจิ้นมาถึงก่อนเวลานัด 10 นาทีและมองไปรอบ ๆ อย่างเบื่อหน่ายกับทิวทัศน์โดยรอบ
จู่ ๆ รถออฟโรดก็พุ่งตัวมาหยุดลงตรงหน้าถังเจิ้นที่กำลังเหม่อ ๆ หน้าต่างรถลดระดับลงเผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามที่ย้อมผมเงินสวมแว่นกันแดดโผล่หน้าออกมาพร้อมกับโบกมือให้เบา ๆ แต่เมื่อเห็นถังเจิ้นยังนิ่งไม่ไหวติงมันก็หยิบขวดน้ำแร่ปาใส่เขาทันที
“เชี่ย!”
ถังเจิ้นโยกหลบแล้วมองไอ้หัวเงินด้วยสายตาจนใจ “เฮ่อ~ ไม่ได้เจอกันเป็นปี ๆ มึงไม่ตายเพราะไปทำผู้หญิงท้องไม่พอเสือกยังดูฟิตปั๋งกว่าเดิมอีก สวรรค์นี่ก็ช่างตาบอดโดยแท้!”
ไอ้หัวเงินเบ้ปากอย่างภาคภูมิใจแล้วกระโดดลงรถมาหาถังเจิ้นแล้วทักทายแบบหมา ๆ ว่า “ไอ้ยินมาว่าพ่อมึงหอบเงินก้อนใหญ่หนีไปนิ จ่ายหนี้ให้คนอื่นท่าจะเหนื่อยน่ะดูเนอะ!”
ถังเจิ้นถึงกับหน้าหมองและส่ายหัวเบา ๆ
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วซูเฟิงมันก็ชกไหล่เขาเบา ๆ พร้อมกับพูดอย่างโล่งใจว่า “เรื่องเล็กน้อยหน่าเพื่อน มากับฉันสิ รับรองเลยว่านายคืนหนี้ได้ภายในสามปีแน่ ๆ เผลอ ๆ ยังมีเงินเก็บด้วยนา!”
“ไม่ไหวอะ ทำงานกับนายฉันไม่น่าจะทำได้หรอก!”
“อีกแล้ว! งั้นเอางี้มะ เด๋วแนะนำแม่สาวแจ่ม ๆ สเปกสูง ๆ ให้ รับรองว่าสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วเธอจะทำให้นายไม่ต้องนึกถึงอีกะหรี่ฟางอวี่เจี๋ยอีกเลย”
ถังเจิ้นเบ้ปากขยะแขยง “ไม่เป็นไรอะ ขอบคุณ แล้วฉันไม่ได้เก่งเรื่องนั้นเหมือนนายด้วย ส่วนฟางอวี่เจี๋ยนั่น... ฉันก็ยอมแพ้ไปแล้วล่ะ”
ซูเฟิงยิ้มเยาะก่อนจะเอียงคอพูดว่า “นายคงไม่รู้ล่ะมั้ง ว่าจริง ๆ แล้วเพื่อน ๆ ฉันมันไม่ได้สนใจพวกแตงอ่อน ๆ พวกนั้นหรอก... เอาเถอะ ๆ พอ ๆ อย่ามัวพูดเรื่องเครียด ๆ เลยพี่น้อง อยากได้ไรก็ว่ามา”
ถังเจิ้นเปลี่ยนจากท่าทีเหลาะแหละก่อนหน้านี้เป็นจริงจัง เขาหันมองไปรอบ ๆ ตัว แม้จะเห็นว่าไม่มีใครมองอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ยังพูดเบา ๆ ว่า “เอาปืนพกกะกระสุน”
ซูเฟิงได้ยินก็อึ้งไป แววตาของเขามีแต่ความตกใจให้เห็น จากนั้นเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ดวงตาที่ตกใจนั่นก็เบิกกว้างขึ้นมา “มึงจะเอาของแบบนั้นไปทำไรวะ! อย่าบอกนะว่าจะไปฆ่าผัวอีฟางอวี่เจี๋ยน่ะเฮ่ย! กูบอกมึงเลยนะว่าเรื่องแบบนี้อย่าริอาจหยิบจับเชียว! เพราะโดนจับมากูช่วยห่าไรมึงไม่ได้แน่!”