บทที่ 7: เมืองผู้พเนจรและเทเลพอร์ต
ทั้งสองแบกของขึ้นหลังและเดินหน้าต่อในที่กันดารโดยใช้อาวุธในมือแหวกกอหญ้าสูงที่ขวางทางอยู่ออกไปเรื่อย ๆ ด้วย
เฉียนหลงผู้มากประสบการณ์นำหน้า เขาเดินไปเช็กเส้นทางไป มีการเปลี่ยนเส้นทางกันบ้างเป็นครั้งคราว
เมื่อเห็นความพยายามอย่างหนักแบบนั้นแล้วถังเจิ้นก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายเลือกทิศเอาเองแบบนี้เหรอ แล้วพวกแผนที่เข็มทิศอะไรพวกนี้ล่ะ?”
เฉียนหลงส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ “แผนที่มันไม่น่าเชื่อถือเลยน่ะสิ นอกจากจะไม่น่าเชื่อถือแล้วยังจะโคตรแพงอีก นอกจากจะโคตรแพงแล้วก็ยังหายากด้วย สถานที่ส่วนใหญ่มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาน่ะนะ ดูอย่างไอ้หญ้าพวกนี้ที่นายเหยียบอยู่ดิ ไอ้พวกนี้ต่อให้จุดไฟเผาจนราบเด๋วพรุ่งนี้มันก็กลับมาใหม่เหมือนไม่เคยโดนเผา แล้วเราก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจู่ ๆ มันจะมีอาคารป่าโผล่ตู้มออกมาซะเฉย ๆ เลยมั้ย ส่วนเข็มทิศเดิม ๆ ก็ไร้ประโยชน์อะ เอาออกมาปุ๊บมันก็หมุนติ้ว ๆ หาทิศเหนือให้เราไม่ได้ซักที”
สุดท้ายแล้วในสภาพแวดล้อมแบบนี้ก็มีแค่ประสบการณ์เท่านั้นที่น่าเชื่อถือที่สุด
ทั้งคู่เดินเดินไปจนสุดทางและนั่งลงพักเหนื่อยเมื่อเริ่มมืด ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงทางแคบ ๆ เส้นหนึ่ง
ทางเส้นนี้ดูเหมือนจะมีคนเดินบ่อยวัชพืชจึงขึ้นไม่ได้
เฉียนหลงบอกถังเจิ้นว่าถ้าตรงไปตามทางเส้นนี้ล่ะก็มันจะนำไปสู่โหลวเฉิง (เมืองอาคาร) แห่งหนึ่ง
โดยโหลวเฉิงแห่งนั้นชื่อว่าเมืองเฮยเหยียน (หินดำ) และเป็นโหลวเฉิงที่ทรงพลังอำนาจแห่งหนึ่ง อาคารหลักมี 20 ชั้น รอบ ๆ อาคารหลักมีอาคารเสริม 4 แห่งโดยแต่ละหลังเป็นอาคาร 5 ชั้นสูง 20 เมตรเป็นองค์ประกอบหลักที่คอยป้องกันรอบตัวอาคารหลัก
มีกองทัพที่ทรงพลังประจำการอยู่บนภาคพื้นดินโดยมีหน้าที่คือรักษาความปลอดภัยของอาคาร
ใกล้ ๆ กับชานเมืองเฮยเหยียนมีเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยผู้พเนจร โดยที่เมืองผู้พเนจรแห่งนั้นทำการจัดหาทรัพย์สมบัติให้กับโหลวเฉิงแลกกับสภาพที่ถูกโหลวเฉิงคุ้มครองทางอ้อม โดยที่นี่เหล่าผู้พเนจรต่างใช้ทำการแลกเปลี่ยนสิ่งของและข้อมูลระหว่างรอโอกาสที่จะได้เข้าร่วมเป็นผู้อยู่อาศัยในโหลวเฉิง
ทั้งสองเร่งความเร็วในการเดินทางขึ้นไปอีกเพราะมอนสเตอร์จะออกเดินเตร่กันในช่วงกลางคืนซึ่งก็ไม่รู้ว่าพวกมันโผล่หัวออกมาจากไหนยังไงตั้งเยอะแยะ หากดวงซวยหนัก ๆ ล่ะก็มันจะจู่ ๆ ก็โผล่มาจากกลางอากาศตรงหน้าเลยก็เป็นได้ และในที่สุดก็มาถึงที่หมายได้ก่อนค่ำ
ถังเจิ้นมองเมืองผู้พเนจรจากระยะไกลเห็นได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาและครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มาก พื้นที่บริเวณโดยรอบหลายสิบกิโลเมตรมีการกำจัดวัชพืชจนกลายเป็นลานกว้างที่ใหญ่สุดสายตา
มีกำแพงที่สร้างด้วยก้อนหินและท่อนซุงดูแข็งแรง ความสูงดูแล้วสูงกว่า 5 เมตรซะอีก ซึ่งมีผู้พเนจรติดอาวุธจำนวนมากคอยเดินตรวจตรา
ทั้งสองรีบเร่งรีบและในที่สุดก็เข้าไปในเมืองในวินาทีสุดท้ายก่อนประตูจะปิด หลังจากจ่ายลูกปัดสมองนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นค่าเข้าเมืองแล้วผู้คุมก็ให้ทั้งสองเข้าเมืองได้อย่างอิสระโดยมีเวลาจำกัดอยู่ที่ 1 เดือน
เมืองผู้พเนจรมีพื้นที่ขนาดใหญ่ครอบคลุมไปหลายเฮกเตอร์และมีสภาพคล้าย ๆ กับป้อมปราการหยาบ ๆ!
ซึ่งก็น่าเสียดายที่มันไม่ใช่โหลวเฉิงที่กฎของโลกใบนี้ให้การรับรอง ดังนั้นจึงไม่อาจมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างที่โหลวเฉิงมี ทว่าทุกสิ่งย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือเมื่อสร้างเมืองนี้ขึ้นมาแล้วหากไม่ให้เหล่าผู้พเนจรซึ่งไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้อยู่อาศัยเข้ามาได้ล่ะก็ เจ้าเมืองผู้พเนจรนี้คงเสียรายได้อย่างมหาศาลน่ะสิ
หากอยากรับผู้พเนจรทั้งหมดในนี้ไปเป็นผู้อยู่อาศัยล่ะก็ เลเวลของโหลวเฉิงต้องสูงมาก กระนั้นไม่ว่าจะเป็นโหลวเฉิงระดับไหนก็ตามสิ่งที่ต้องบริโภคคือทรัพยากรจำนวนมหาศาล อีกทั้งทุกครั้งที่มีการอัปเกรดเมืองจะมีมอนสเตอร์เข้าจู่โจมตลอด หากการป้องกันเมืองล้มเหลวก็เท่ากับความพยายามที่ทำมาก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า
ทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลงทุน แรงกายแรงใจที่จ่ายไปอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ในที่สุดกลับไม่เหลืออะไรเลยซะอย่างนั้น กลับกันคือการบริหารเมืองผู้พเนจรนั้นถือว่าสุขีกว่าเยอะ เพราะเมื่อโดยมอนส์เตอร์บุกล่ะก็เหล่านักพเนจรที่มีมากมายที่นี่สามารถร่วมมือกันสร้างแนวป้องกันด่านแรกขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
และยังถึงกับมีความเชื่อที่เล่าขานกันว่าเป็นเมืองเฮยเหยียนนี่แหล่ะที่เป็นผู้ก่อตั้งเมืองผู้พเนจรนี้ขึ้นมาใกล้ ๆ กับตนเองโดยคงจะกะเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมักจะมีมอนสเตอร์เข้าโจมตีที่นี่อยู่บ้างเรื่อย ๆ ทำให้ต้องมีคนทำงานเป็นทหารเฝ้ายามอยู่ตลอดในทุก ๆ คืนเหมือนเตรียมตัวต่อสู้ให้แบบฝ่ายรบและฝ่ายรับตลอดเวลา ถ้าเป็นฝูงมอนสเตอร์กาก ๆ ก็ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นไอ้พวกตัวเก่ง ๆ เลเวลสูง ๆ ล่ะก็ทั้งเมืองก็มีแนวโน้มว่าจะโดนกวาดเกลี้ยงไม่เหลือเหมือนกัน
แต่ก็เป็นผู้พเนจรนี่นะ ทางล่งทางเลือกอะไรมีกับเขาซะที่ไหน แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้มันโคตรแย่แต่ก็ทำได้แค่กัดฟันสู้ถ่ายเดียวเท่านั้น
นี่คือความจริงของการเอาชีวิตรอดในโลกใบนี้ ต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตและโชคชะตา เพื่อรับรองชีวิตและโชคชะตาของตน!
ผู้ควบคุมเมืองผู้พเนจรยังมีกลุ่มกองกำลังติดอาวุธอีกด้วย เป็นเหล่าทหารที่สวมชุดเกราะเรียบง่ายแสดงสีหน้าจริงจังเฉยเมยซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนบ้างเป็นครั้งคราวโดยจะคอยตรวจตราสอดส่องมองผู้พเนจรทุกคนด้วยสายตาทิ่มแทง
ถังเจิ้นสังเกตเห็นว่าอาวุธและอุปกรณ์ของทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่มีคุณภาพปานกลาง แถมชุดเกราะยังป้องกันแค่จุดสำคัญ ๆ เท่านั้น
แต่เมื่อเทียบกับผู้พเนจรที่พกเพียงมีดสั้นบิ่น ๆ และแท่งเหล็กกาก ๆ และมีแผ่นเหล็กง่อย ๆ กับเศษไม้เป็นเกราะแล้ว ทหารเหล่านี้ถือว่าของครบล่ะนะ
เวลาเย็นแบบนี้ที่เมืองยังมีผู้พเนจรอยู่มาก พวกเขาเข้า ๆ ออก ๆ จากบ้านที่ดูธรรมดา ๆ หรือไม่ก็ไปรวมตัวกันใกล้ ๆ กองไฟเพื่อคุย นอกจากนี้ยังมีผู้พเนจรบางคนพร้อมอาวุธกำลังรับการจ้างงานไปยืนเฝ้ากำแพงด้วยสีหน้าจริงจังเพื่อป้องกันมอนสเตอร์ที่อาจจะบุกมา
ไม่ไกลจากเมืองผู้พเนจรมีโหลวเฉิงขนาดมหึมาตั้งตระง่านค้ำฟ้าอยู่ ฉากหลังยามวิกาลทำให้มันดูราวกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์
เมื่อเหล่าผู้พเนจรเงยหน้าขึ้นมองจะเห็นได้ว่าตามหน้าต่างอาคารเหล่านั้นมีแสงไฟลอดออกมา ดวงตาของคนส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยความปรารถนาโดยฝันมาตลอดชีวิตว่าจะมีซักวันที่ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในที่แบบนั้นบ้าง ความเจ็บปวดของคนไร้บ้านนั้นยิ่งกว่าตาย คนมีบ้านไม่มีวันเข้าใจ
แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมา ถังเจิ้นมองตามเสียงไปก็เห็นว่าเป็นมอนสเตอร์กลุ่มหนึ่งพยายามมาบุก และอีกสิบนาทีต่อมาพวกมันก็พ่ายแพ้ทิ้งศพเกลื่อนพื้นโดยที่เหลือต่างเผ่นหนีไป
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้พวกมันทั้งหลายจะโดนควักลูกปัดสมองออกมา และผู้พเนจรที่มีหน้าที่เก็บกวาดขยะก็จะมาทำความสะอาดเศษซากร่างของพวกมัน
เมื่อมองดูดี ๆ แล้วจะเห็นว่านอกเมืองยังมีมอนสเตอร์เดินเตร่อยู่อีกเพียบ พวกมันยังคงพยายามที่จะโจมตีที่นี่อยู่ ทว่าเมื่อเห็นเปลวไฟกับของมีคมที่เหล่าผู้พเนจรถืออยู่พวกมันก็ได้แต่คำรามอย่างหงุดหงิด
ฉากแบบนี้เฉียนหลงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาได้นำถังเจิ้นไปยังอาคารอิฐ 2 ชั้นขนาดใหญ่
ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมราคาถูกในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ทั้งโลวคลาสและมืดทึบแถมยังมีกลิ่นตุ ๆ ด้วย
ด้านหลังเคาน์เตอร์ไม้หน้าเตาไฟมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดที่ค่อนข้างสะอาดหน้าตาค่อนข้างมีเสน่ห์นั่งอยู่โดยมีชายท่าทางแข็งแรงสุด ๆ นั่งดื่มเหล้าห่วย ๆ จากถ้วยไม้
หลังจากหันมาเห็นพวกถังเจิ้นแล้วทั้งสองก็มองหน้ากัน จากนั้นก็เลิกสนใจพวกเขา
“สองคนพักสามวัน”
“ลูกปัดสมองเวลหนึ่งคนละเม็ดครึ่งต่อวันพร้อมอาหารสองมื้อ สามวันก็คนละสามเม็ด จ่ายเลยนะจ๊ะสุดหล่อทั้งสอง!”
หญิงสาวบอกราคาพร้อมกับโน้มตัวลงมาอวดเนินอกขาว ๆ อวบ ๆ และร่องลึก ๆ ที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหนคู่นั้นซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นหอมจาง ๆ ที่โชยเข้ารูจมูก
ถังเจิ้นชำเลืองมองเฉียนหลงโดยไม่พูดอะไร ส่วนอีกฝ่ายก็ดูไม่ได้สนใจการขยิบตาวิ้ง ๆ หยอกเย้าของแม่สาวนี่เหมือนกันและพยักหน้ายอมรับกับราคานี้
หลังจากจ่ายลูกปัดสมองกันคนละสามเม็ดเป็นค่าที่พักเสร็จแล้วทั้งสองก็ได้แพนเค้กที่ดูหยาบกระด้างคนละชิ้นพร้อมกับซุปผักป่าเป็นมื้อเย็นซึ่งทางโรงแรมจัดให้เป็นบริการแก่ลูกค้าทุก ๆ คน เมื่อกินเสร็จทั้งสองก็แยกย้ายไปพักยังห้องของตน ซึ่งก็ทั้งเล็ก ทั้งมืด ทั้งเหม็น
ถังเจิ้นลงไปนอนที่พื้นซึ่งถูกปูด้วยหญ้าแห้งแล้วสงบสติอารมณ์ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ จากนั้นก็หยิบเอาถุงลูกปัดสมองออกมาค่อย ๆ เทมันลงในมือถือ และก็ตามคาดคือไอ้มือถือนี่ดูดวูบ ๆ จนลูกปัดเหล่านั้นไม่มีเหลือ
เมื่อมันกินเสร็จแล้วหน้าจอมือถือก็เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยมีหมายเลข ‘200+’ แสดงอยู่ใต้ไอคอนเทเลพอร์ต ซึ่งแปลว่าเขาสามารถใช้เทเลพอร์ตได้ถึง 200 ครั้ง!
ในไอคอนข้อมูลส่วนตัวเองก็มีเหรียญทองทั้งหมดกว่า 13,000 เหรียญซึ่งทำเอาตื่นเต้นไปหมด อยากจะโหลดแอปมาใช้มันซะเดี๋ยวนี้ แต่ก็เพื่อความปลอดภัยเขาเลยตัดสินใจว่าจะลองเทเลพอร์ตกลับบ้านดูก่อน
เอากระเป๋าใส่เงินและของมีค่ามาถือไว้ในมือ จากนั้นก็จิ้มที่ไอคอนเทเลพอร์ตในมือถือและเปิดใช้งาน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็พร่ามัวและรู้สึกราวกับว่าเขาได้ผ่านอุโมงค์อะไรบางอย่างเข้า จากนั้นภาพตรงหน้าก็ปรากฏว่าเป็นบ้านของเขาเอง ถังเจิ้นกลับถึงบ้านของตนได้อย่างราบรื่น
เมื่อมองดูรอบ ๆ อย่างละเอียดแล้วก็แน่ใจว่านี่แหล่ะบ้านเขาของแท้ ทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกสุด ๆ
การเดินทางครั้งนี้ทั้งตื่นเต้นและแปลกประหลาดมาก ๆ ถึงจะเอาไปเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ และแน่นอนว่าถังเจิ้นไม่มีวันบอกใคร เพราะนี่มันเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและชีวิตของเขาโดยตรง
และในเมื่อตอนนี้กลับถึงบ้านแล้วถังเจิ้นจึงสามารถใช้มือถือได้อย่างปลอดภัย โดยก่อนอื่นเลยคือเช็กดูไอคอนเทเลพอร์ตเพื่อดูว่าใช้แต่ละครั้งนี่เสียลูกปัดสมองเลเวลหนึ่ง 5 เม็ดนี่จริงมั้ย?
หากแปลงเป็นเหรียญทองก็คือ 50 เหรียญ แปลว่าการเทเลพอร์ตไปกลับหนึ่งรอบคือใช้เหรียญทอง 100 เหรียญ
จากนั้นก็เปิดร้ายขายแอปเพื่อเลือกซื้อแอปที่อยากได้
เขาอ่านคำแนะนำแล้ววิเคราะห์เปรียบเทียบดูแล้วก็พบว่ามี 4 แอปที่เหมาะสมกับตัวเขาในตอนนี้มากที่สุด คือ [แผนที่ระดับเริ่มต้น] ซึ่งจะสามารถแสดงแผนที่และมอนสเตอร์แบบเรียลไทม์ได้ในระยะ 100 เมตรได้
[ฉายภาพ] ซึ่งจะฉายภาพหน้าจอให้ตาเห็นและทำการควบคุมหน้าจอมือถือผ่านทางความคิดได้
[เครื่องตรวจจับมอนสเตอร์ระดับเริ่มต้น] ที่สามารถแสดงข้อมูลของมอนสเตอร์ที่ระดับสูงกว่าโฮสต์ไม่เกินสามระดับได้
[พื้นที่เก็บข้อมูลขนาดเล็ก] ที่สามารถเปิดพื้นที่มิติโดยมีปริมาตรการจัดเก็บ 1 ลูกบาศก์เมตรได้
ถ้าเขาดาวน์โหลดแอปพลิเคชันทั้ง 4 นี้เหรียญทองที่เขาพึ่งจะหามาได้จะถูกใช้เกลี้ยงทันที แต่เมื่อเทียบกับความร่ำรวยและความปลอดภัยในชีวิตที่มันจะนำพามาให้แล้วถือว่าการลงทุนครั้งนี้คุ้มค่ามาก ๆ
หลังจากคลิกเพื่อยืนยันการดาวน์โหลดเหรียญทองในแอคเคานต์ก็ถูกหักหายวับไปในทันที และหลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่อึดใจทั้ง 4 แอปก็ถูกติดตั้งจนเสร็จทำให้ถังเจิ้นโล่งใจไปอีกเปลาะหนึ่ง