บทที่ 6: การเก็บเกี่ยวและการค้า
อาวุธเหล่านี้ทำขึ้นอย่างดี เป็นมีดดาบที่มีการหลอมการตีขึ้นมาใหม่จากแร่เหล็กชนิดพิเศษซึ่งเมื่อเทียบกับของก็อปทีวางแบกะดินข้าถนนแล้วเรียกได้ว่าคนละเรื่อง! ดูจากวัสดุและฝีมืออันประณีตแล้วต้องเป็นของระดับพรีเมี่ยมที่ราคาไม่ใช้น้อย ๆ และดูแล้วต้องเป็นของสะสมของเจ้าของเดิมไม่ผิดแน่นอน
ถังเจิ้นตรวจสอบและหยิบฉางเตา (ดาบจีนสองมือ) ออกมาสองเล่มแยกไว้ต่างหาก แล้วเอาผ้าห่มขาด ๆ ห่อส่วนที่เหลือเอาไว้และวางลงก่อน มีดดาบพวกนี้อาจจะสำคัญต่อเหล่าผู้พเนจร แต่ไม่ได้สำคัญกับเขา เพราะของเหล่านี้เมื่อกลับไปโลกเดิมแล้วเอาเงินซื้อได้ชิล ๆ
ดังนั้นจึงเอาของพวกนี้วางไว้ก่อนแล้วไปหาอย่างอื่นต่อ
และที่ได้คือแบงก์ เครื่องประดับเงิน ๆ ทอง ๆ อีกแล้ว และเพิ่มเติมด้วยบุหรี่และเหล้าจำนวนมากด้วย น่าจะเป็นเพราะว่าค่าโชคที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านั่นแหล่ะ
เมื่อเช็คดูแล้วว่าไม่พลาดอะไรตรงไหนแล้วถังเจิ้นก็เริ่มรวบรวมสิ่งของที่หามาได้ใส่กระเป๋า และตอนที่เขาแงะเอาลูกปัดสมองของซอมบี้ที่พึ่งฆ่าไปออกมาเขาก็เห็นว่ามันใส่สร้อยคอทองคำเส้นเบ้อเริ่มอยู่ด้วย ดูแล้วน่าจะหนักเกือบร้อยกรัม!
ซึ่งของดี ๆ แบบนี้ถังเจิ้นย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน
และเมื่อเดินออกจากห้องเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก
คือตามที่เฉียนหลงกล่าวก่อนหน้านี้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีห้องหรือชั้นใต้ดินซ่อนอยู่ในอาคารป่าประเภทนี้ด้วย โดยที่นั่นจะมีมอนสเตอร์ที่ทรงพลังอย่างน้อย 1 ตัวตัวคอยเฝ้า พวกมันจะคอยปกป้องศิลาเสาเอก ซึ่งหากเอาศิลาเสาเอกดังกล่าวนั่นมาได้และผ่านกรรมวิธีอะไรบางอย่างแล้วก็จะสามารถสร้างโหลวเฉิงอันเป็นอาณาจักรของตนเองได้!
ถังเจิ้นอยากได้ศิลาเสาเอกดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ฝีมือเขายังไม่ถึง จะไปล่าก็คงจะโดนล่าเอาเองมากกว่า
เฉียนหลงยังเล่าให้ฟังอีกว่ามอนสเตอร์ที่เฝ้าศิลาเสาเอกไม่เพียงทรงพลังเท่านั้น ยังมีมอนสเตอร์บางตัวที่มีพลังเวทมนตร์แปลก ๆ อย่างมากด้วย คนธรรมดาไม่ทางเป็นคู่ต่อสู้กับพวกมันได้เลย หากเสนอหน้าไปแหยมกับพวกมันล่ะก็รับรองตาย
มอนสเตอร์ดังกล่าวนั้นจะทรงพลังเพียงใดเฉียนหลงเองก็ตอบไม่ได้ แต่บอกได้แค่ว่ามันทรงพลังมาก ๆ เท่านั้น!
และแม้ว่าจะยอมลงทุนอย่างมากมายอย่างไม่เสียดายฆ่ามันแล้วแย่งเอาศิลาเสาเอกมาได้สำเร็จก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถสร้างโหลวเฉิงได้สำเร็จจริง ๆ
ว่ากันว่าหลังจากสร้างโหลวเฉิงแล้วจะต้องมีการรับมือกับการโจมตีของเหล่ามอนสเตอร์ด้วย หลังจากที่ยืนหยัดได้นานพอหรือเคลียร์เงื่อนไขอะไรบางอย่างได้สำเร็จก่อนจึงจะได้รับการยอมรับจากเทพเจ้าของโลกใบนี้ จากนั้นโหลวเฉิงถึงจะเสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ
ดังนั้นแม้ว่าผู้พเนจรคนไร้บ้านที่อ่อนแอทั้งหลายจะรู้ถึงการมีอยู่ของศิลาเสาเอกก็ตาม แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะให้ความสนใจกับสิ่งที่เกินความสามารถของตนแบบนี้ แม้มันจะราคาสูงก็ตามแต่จะให้ไปล่ามาขายก็ไม่มีใครสนอยู่ดี
โดยปกติแล้วอาคารป่านี่มันก็จะตั้งอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ แม้จะถูกสำรวจไปแล้วก็ตาม แต่ว่าหากถูกชิงศิลาเสาเอกไปล่ะก็มันจะค่อย ๆ ทรุดโทรมพังทลายลงไปเรื่อย ๆ
สำหรับถังเจิ้นผู้มุ่งมั่นที่จะแสวงหาความมั่งคั่งในโลกนี้ศิลาเสาเอกคือของสำคัญ มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสามารถสร้างเมืองของตนเองขึ้นมาได้ และจากนั้นก็จะเป็นแหล่งจัดหาคนมาเป็นผู้อาศัยเพื่อเป็นแรงงานให้เขาได้
นี่จะเป็นวิธีเดียวที่เขาจะได้รับความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่องจากโลกนี้โดยไม่ต้องทำเอง
****************
ในพื้นที่เปิดโล่งด้านหน้าอาคารป่า ผู้พเนจรที่สำรวจเสร็จแล้วกำลังมารวมตัวกัน และมีผู้พเนจรบางคนกำลังจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ไร้ประโยชน์กับตัวเองที่หามาได้ เมื่อการแลกเปลี่ยนดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วคนทั้งหมดก็จะออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เพราะพวกเขาเกรงว่าจะมีโจรและกองทหารจากโหลวเฉิงที่ทราบข่าวเรื่องอาคารป่านี้เหมือนกันเลยมาปล้น
ถังเจิ้นพบว่ามีผู้พเนจรหายไปอีก 2 คน ซึ่งน่าจะเจอกับเพราะอุบัติเหตุขณะค้นห้อง
หลังจากตรวจสอบร้านค้าทีละร้าน ๆ และแยกแยะสินค้าที่ผู้พเนจรซื้อขายกันแล้ว เขาก็พบว่าผู้พเนจรไม่ได้สนใจทรัพย์สินเงินทองมากนัก คือพวกเขาไม่ได้หยิบสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ ต่อให้เจอก็ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะแบงก์สำหรับโลกนี้ก็คือกระดาษเลอะหมึกเฉย ๆ เป็นแค่เศษขยะที่เอามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่ได้อยู่ในสายตาเลย
มี 3 สิ่งที่แพงที่สุดและขายดีที่สุดในตลาดคือ เสื้อผ้า อาหาร และอาวุธ!
เมื่อออกสำรวจอาคารป่าแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่ง เพราะอาคารป่ามันใช่สถานที่ไว้เดินเล่นซะที่ไหน ดังนั้นเสื้อผ้าจึงสำคัญ แต่ราคาก็ถือว่ากลาง ๆ ไม่สูงไม่ต่ำ
ส่วนอาหาร ดูจากพฤติกรรมการกินของคนเหล่านี้แล้วรู้เลยว่าอาหารนี่โคตรจะมีสถานะสูงส่ง ส่วนใหญ่ของที่คนเหล่านี้หานั้นมักจะเป็นอาหารเป็นหลัก แม้นอกตัวอาคารจะสามารถหาอาหารได้ก็ตาม ทว่ามันก็โคตรจะกันดาร ของที่เอามากินเป็นอาหารได้ก็ช่างน้อยนิดไม่อาจที่เติมกระเพาะของเหล่าผู้พเนจรแต่ละคนให้เต็มได้เลย ดังนั้นราคาของมันย่อมสูง อาหารจากอาคารป่าจึงมีราคาสูงในหมู่ผู้พเนจร
แต่สินค้าที่ขายดีและราคาสูงที่สุดย่อมเป็นอาวุธ!
เพราะโอกาสที่จะพบอาวุธเมื่อสำรวจอาคารป่านั้นต่ำมาก แม้ว่าจะมีคนหาเจออยู่บ้างก็ตาม ทว่าส่วนใหญ่แล้วก็ไม่พ้นมีดทำครัวกับท่อนเหล็ก ดังนั้นอาวุธของผู้พเนจรส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นของง่าย ๆ หยาบ ๆ และการสำรวจนั้นอันตรายถึงชีวิต อาวุธจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตเป็นที่สุด จึงไม่แปลกที่เมื่อมีอาวุธดี ๆ มาวางขายเหล่าผู้พเนจรก็จะทุ่มกำลังซื้อชนิดที่ว่าต่อให้หมดตัวก็ยอม!
ถังเจิ้นจึงถือว่าโชคดีมากที่สามารถหามีดดาบคุณภาพดี ๆ ได้เป็นจำนวนมากในคราวเดียว นี่คงเป็นฝีมือไพ่นำโชคสองเท่า!
เมื่อได้ข้อสรุปแล้วถังเจิ้นจึงเดินไปยังพื้นที่โล่ง ๆ ข้าง ๆ เฉียนหลงแล้วเอาของทุกอย่างที่หาได้ยกเว้นของมีค่าทั้งหลายวางแบกะดิน ซึ่งรวมถึงมีดดาบทั้งหลายเหล่านั้นด้วย
และทันทีที่มีดเหล่านี้เผยโฉมมันก็ดึงดูดสายตาคนผู้พเนจรทั้งหมดทันที เกือบทุกคนต่างส่งสายตาละโมบใส่มีดดาบเหล่านี้ บางคนมัวแต่แอบอิจฉาความโชคดีของถังเจิ้นแต่บางคนล้ำกว่านั้นคือเดินไปถามราคาอย่างเร็ว
เฉียนหลงเองก็ส่งสายตารักใคร่ใส่มีดดาบกองนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ในไม่ช้าก็ได้สติและหันมองถังเจิ้นที่จู่ ๆ ก็ถูกถามราคาและรีบบอกราคาแทนไปเลยว่า “อันนี้ลูกปัดสมองเวลหนึ่งห้าสิบเม็ด อันนี้แปดสิบ อันนี้ร้อยนึง…!”
ถังเจิ้นยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วยกับกับราคาที่เฉียนหลงว่า โดยในใจก็ถึงกับอึ้งไปเลยเพราะไม่นึกว่าอาวุธพวกนี้จะราคาแพงยับขนาดนี้ ดูท่าคงต้องไปหาซื้อมีดดาบดี ๆ มาขายที่นี่ซักชุดนึงแล้วล่ะมั้ง!
แต่จริง ๆ แล้วคือราคาที่เฉียนหลงว่านั้นไม่ถือว่าแพงเลย เพราะเมื่อได้ยินราคาปุ๊บเหล่าผู้พเนจรก็กรูกันเข้ามาพร้อมควักกระเป๋าแย่งซื้อทันที ลูกปัดสมองมากมมายจึงหลั่งไหลเข้าสู่มือของถังเจิ้นอย่างกับเปิดน้ำก๊อกล้างมือ
ผู่พเนจรที่มีลูกปัดสมองมากพอรีบซื้อแล้วเอาไปเล่นเพื่อทำความคุ้นเคยทันที ส่วนพวกที่ลูกปัดสมองไม่พอถังเจิ้นก็บอกว่าให้เอาทอง เงิน และแบงก์มาแลกเอาได้ ซึ่งมีหลายคนหัวเราะเยาะที่เขาทำแบบนั้น แต่ก็ยังยินดีที่จะซื้อขายอยู่ดี
เฉียนหลงดูเหมือนจะงงงวยกับพฤติกรรมของถังเจิ้นแต่เขาไม่ได้ถามอะไรมาก
การซื้อขายครั้งนี้ถือว่าครึกครื้นมาก มีดดาบทั้งหลายถูกซื้อถูกแลกไปจนหมดอย่างรวดเร็ว เขาได้ลูกปัดสมองมาเพียบ รวม ๆ แล้วอย่างน้อย ๆ ก็ 1,000 เม็ดเห็นจะได้
หลังจากจบเรื่องการซื้อขายแล้วเขาก็เรียกเฉียนหลงมาคุยส่วนตัว และยื่นฉางเตาที่เขาแยกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วให้ไป
ลักษณะของดาบมีความเรียวยาว น่าจะเรียกดาบชนิดนี้ว่าเหมียวเตา ดูจากความประณีตแล้วคงถูกตีขึ้นมาโดยการพับทบสลับกับตีไปเรื่อย ๆ และใช้ดินในการเผา ทำให้ใบดาบอันคมกริบนี้มีความยืดหยุ่นอยู่พอสมควร
เฉียนหลงไม่รอช้ารีบหยิบฉางเตาเล่มนั้นมาด้วยดวงตาที่สดใส เมื่อเชยชมมันอยู่พักหนึ่งแล้วเขาก็ยื่นถูงลูกปัดสมองให้ถังเจิ้น
“แค่นี้ไม่พอหรอก แต่ว่านี่ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันแล้วล่ะนะ”
เฉียนหลงรู้สึกผิดจริง ๆ
“ฉันไม่ได้อยากได้หรอก นายไม่ต้องจ่าย”
ถังเจิ้นผลักถุงที่เฉียนหลงมอบให้กลับไป เขาปฏิเสธที่จะรับลูกปัดสมองจากเฉียนหลงอย่างเด็ดขาด แต่ใครมันจะไปคิดล่ะว่าเฉียนหลงเองก็ใช่จะรับมือง่าย ๆ หมอนี่ถึงกับโยนดาบคืนถังเจิ้นโดยบอกว่าถ้านายไม่เอาฉันก็ไม่เอาดาบนี่เหมือนกันซะอย่างนั้น
ถังเจิ้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรับลูกปัดสมองมา
เมื่อข้อตกลงเสร็จสิ้นและชำระค่าธรรมเนียมให้กับผู้จัดการเดินทางแล้วผู้พเนจรส่วนใหญ่ก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
มีบางทีอาจถูกสิ่งที่ถังเจิ้นหามาได้กระตุ้นความโลภขึ้นมาเลยเลือกที่จะอยู่ต่อและเข้าไปในอาคารป่าอีกรอบเผื่อว่าจะมีอะไรที่คลาดสายตาจากคนอื่น ๆ ซึ่งครั้งนี้คนเหล่านั้นจะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบแล้ว สามารถเข้าสำรวจทุกซอกทุกมุมแล้วแต่ที่สบายใจ
ซึ่งก็แน่นอนว่าถังเจิ้นเองก็ไม่ยอมพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ เขาเห็นแล้วว่าเฉียนหลงเป็นคนที่ไว้ใจได้ ดังนั้นรอบนี้เขาจึงจับคู่กับเฉียนหลงออกสำรวจส่วนที่ตัวเองไม่ได้ไปอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมโดยไม่ปล่อยให้ของมีค่าทั้งหลายหลุดมือเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เมื่อพวกเขาออกจากห้องสุดท้ายกระเป๋าของถังเจิ้นตอนนี้อัดแน่นไปด้วยเครื่องประดับ แบงก์และวัตถุโบราณอีกนิด ๆ หน่อย ๆ
งวดนี้เรียกได้ว่าได้รวย! แค่แบงก์อย่างเดียวเอามานับ ๆ รวมกันก็สี่ซ้าห้าแสนแล้ว ของอื่น ๆ เมื่อลองเอามากะ ๆ ดูคงได้ไม่ต่ำกว่า 2 แสน
ถังเจิ้นอดถอนหายใจไม่ได้เลย เพราะคราวนี้เขาได้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน!
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีของมีประโยชน์ใด ๆ เหลือในอาคารป่าแล้วถังเจิ้นกับเฉียนหลงจึงออกจากที่นี่อย่างรวดเร็วและเข้าไปในแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยกอหญ้าที่ขึ้นสูง
อาคารป่าไม่อาจใช้เป็นที่พักแรมได้ในตอนกลางคืน เพราะว่าในตอนกลางคืนบริเวณแถวนี้มันจะกลายเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่ามอนสเตอร์ คือพวกมันจะเข้ายึดที่นี่เพื่อทำรัง อีกทั้งยังมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นที่นี่ด้วย ดังนั้นผู้พเนจรที่ได้ใช้เวลาในยามค่ำคืนในอาคารป่าจึงมักจะไม่มีโอกาสได้อยู่ต่อจนได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า คนที่รอดมาได้ก็น้อยแสนน้อย
ดังนั้นการอยู่ในอาคารป่าตอนกลางคืนจึงกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้พเนจร แม้ว่าถังเจิ้นจะอยากรู้อยากเห็นมากขนาดไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่กล้าอยู่
เฉียนหลงพอใจกับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้มาก ๆ ระหว่างทางก็พูดคุยกันมากขึ้นด้วย
จากข้อมูลที่เฉียนหลงว่ามานั้นคือมีผู้พเนจรจำนวนมากไม่มีโอกาสสำรวจอาคารป่า สาเหตุคือหนึ่งโอกาสที่อาคารป่าจะปรากฏขึ้นมีน้อยมาก สองเมื่อมีการค้นพบอาคารป่ากองกำลังติดอาวุธในบริเวณใกล้เคียงจะส่งเจ้าหน้าที่ติดอาวุธเข้ายึดครองสถานที่นั้นโดยเร็วที่สุดและห้ามผู้พเนจรเข้าใกล้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี
เฉียนหลงพเนจรอยู่ในที่ทุรกันดารมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยในช่วงเวลานั้นเขาได้สำรวจอาคารป่าเพียงสามแห่งเท่านั้นเอง
เมื่อถึงเวลากล่าวคำอำลาเฉียนหลงถามถังเจิ้นว่าเขายินดีที่จะร่วมออกเดินทางสำรวจด้วยกันมั้ย จะได้ช่วยดูแลสนับสนุนกันและกันได้
หมอนี่พูดออกมาตรง ๆ เลยว่าตัวเองคิดว่าถังเจิ้นเป็นคนดี ให้ความรู้สึกไม่เหมือนผู้พเนจรโดยทั่วไป การประพฤติตัวก็ดี ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ล่ะก็คนที่ออกพเนจรอย่างโดดเดี่ยวมาตลอดหลายปีอย่างตัวเองคงไม่เปิดปากพูดมากกับเขาถึงขนาดนี้
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจของถังเจิ้นก็รู้สึกสะเทือน เพราะสำหรับเขาแล้วอีกฝ่ายคือคนดีมาก ๆ เช่นกัน ทั้งตรงไปตรงมามีความยุติธรรม ช่วงเวลาที่ถังเจิ้นยากลำบากที่สุดก็ได้หมอนี่ดูแลตลอด และที่สำคัญคือเขาต้องการคนน่าเชื่อถือแบบนี้ในการสร้างโหลวเฉิง เฉียนหลงถือว่าผ่านเกณฑ์ฉลุย
ถังเจิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและได้ข้อสรุปว่าการมีงูเจ้าถิ่นคอยดูแลมันก็ดีเหมือนกัน ดังนั้นจึงพยักหนาตอบรับคำเชิญชวนให้ออกสำรวจที่กันดารอันไร้สิ้นสุดนี้ด้วยกัน