บทที่ 10: อาวุธและโรงงานร้างที่จู่ ๆ ก็โผล่มา
พอพูดจบไอ้ซูเฟิงมันก็กระโดดขึ้นรถและสตาร์ทรถจะขับหนีไปทันที
เห็นแบบนั้นถังเจิ้นจึงรีบไปคว้าตัวมันเอาไว้ก่อน ใครจะไปปล่อยมันทั้ง ๆ ที่เรื่องยังไม่เคลียร์กันเล่า “เฮ่ยมึงจะไปไหนวะ กูเองก็เป็นผู้ใหญ่พอ ยอมรับความจริงได้เว่ย เอาจริง ๆ คือกูจะไปหาของเก่าในหุบเขาเร็ว ๆ นี้ แต่กูไม่รู้ที่รู้ทางอย่างน้อย ๆ ก็จะเอาไว้ป้องกันตัวไม่ก็ขู่คนอื่นเว่ย”
“อมพระมาพูดกูก็ไม่เชื่อมึงหรอก!”
“ไอ้ชิบหาย! มึงพี่น้องกูจริงมั้ยหนิ? ช่วยกูซักครั้งเถอะหน่า อย่าบอกว่ามึงทำไม่ได้เชียว แบบนั้นต่อให้อมพระมาพูดกูก็ไม่เชื่อมึงเหมือนกันแหละ!”
ซูเฟิงหยุดดิ้นแล้วนวด ๆ ร่างกายตัวเองก่อนจะมองหน้าถังเจิ้นขึ้น ๆ ลง ๆ และเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะอารมณ์เสียก็เลยยอม “อะ ๆ ยังไงมึงก็พี่น้องกู กูเตือนแล้วมึงไม่ฟังงั้นก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อมึงขอมางี้งั้นรอแป๊บ กูมีปืนพกกระบอกนึงกะกระสุนหมื่นนัด แค่นี้แหละเอาไม่เอา?”
“ดี ๆ ๆ ให้จ่ายเงินเด๋วนี้เลยก็ได้”
ถังเจิ้นมีความสุขมากเมื่อได้ยินแบบนั้นและรีบพยักหน้าหงึก ๆ เหมือนไก่จิกข้าวสารพร้อมกับเสนอว่าจะจ่ายเงินเลย
อันที่จริงถังเจิ้นอยากได้ปืนลูกซอง ทว่ามันเด่นเกินไปหน่อยจึงยังไม่ได้ขอตอนนี้
“ว่าแต่ของจะได้เมื่อไหร่อะ คือฉันต้องการอย่างด่วนว่ะเพื่อน ยิ่งเร็วยิ่งดี” เขาถาม
“เด๋วโทสับแป๊บ”
ซูเฟิงมองถังเจิ้นด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกแล้วพึมพำอะไรเบา ๆ นิดหน่อยก่อนจะวางสาย
จากนั้นอีกไม่ถึงสิบนาทีได้มีรถฮอนด้าสีดำมาจอดเทียบและมีชายบึกบึนสูงร้อยเก้าสิบลงมาจากรถแล้วโค้งให้ซูเฟิงพร้อมกับทักทาย “พี่เฟิง”
ซูเฟิงมันเอียงคอมายักคิ้วยึก ๆ ให้ถังเจิ้น ไอ้คนตัวสูงมันก็หันมามองเขาด้วยเหมือนกัน จากนั้นมันก็กวักมือเรียกถังเจิ้นไปนั่งที่เบาะหลังรถส่วนตัวมันไปหยิบถุงพลาสติกสีดำจากที่นั่งข้างคนขับ
ถังเจิ้นเข้าไปในรถและเปิดถุงพลาสติกออกดู ข้างในเป็นปืนพกสีดำเมี่ยมใหม่เอี่ยมอ่องดูวิบวับ นอกจากปืนแล้วยีงมีแมกกาซีนกับกระสุนอีกเพียบ
เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของถังเจิ้นที่เล่นปืนพกซูเฟิงก็ยิ้มเยาะ แต่แววตาของมันก็ยังคงดูสงสัยทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
“เจ๋งเป้ง เอานี่แหล่ะ!”
ถังเจิ้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แม้ว่าจะไม่รู้วิธีทดสอบปืนก็ตาม แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีกับซูเฟิงแล้วเขาไม่มีความสงสัยในเพื่อนของตน
เขาหยิบแบงก์เงินสดสีแดงเป็นฟ่อน ๆ ยื่นให้ซูเฟิงส่ง ๆ แต่อีกฝ่ายไม่รับ เป็นชายร่างใหญ่ที่รับมาแล้วลองทดสอบดู เมื่อรู้ว่าเป็นเงินจริงมันก็เอาใส่กระเป๋าตัวเองทันที
เมื่อก้าวลงจากรถถังเจิ้นก็รู้สึกถึงความปลอดภัยที่มากกว่าเดิมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ทันทีที่สัมผัสกับน้ำหนักในกระเป๋าเป้
ซูเฟิงสูบบุหรี่อยู่พักหนึ่งก่อนจะโยนก้นบุหรี่ทิ้งจากนั้นก็ชี้ที่หน้าอกของถังเจิ้น “ฉันน่ะนะเพื่อนตายอยู่แล้ว เพราะงั้นถ้านายมีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้เลย ฉันพอจะมีเส้นสายในเมืองนี้กับในอำเภอรอบ ๆ อยู่นิดหน่อย แต่ถ้านายไปหาที่ตายล่ะก็ฉันไม่ไปตามเก็บศพให้หรอกนะเว่ยเพื่อน!
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
ถังเจิ้นหัวเราะ “ไอ้กระหม่อมไม่กล้ารบกวนเวลาหื่น ๆ ขององค์ชายซูหรอกพะยะค่า~ ฉันรู้หน่าว่านายไม่มีเวลาว่างเพราะต้องรีบไปเข้าซอย แต่ก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเทอะ! ถ้าไปโดยสูบจนแห้งตายล่ะก็ฉันเองก็ไม่ไปเก็บศพให้นายหรอกนะเว่ยเพื่อน!”
ซูเฟิงได้ยินก็ทำหน้าเหยเก “ปากมึงนี่นะตดเหม็นชิบหาย”
หลังจากพูดจบซูเฟิงก็ขึ้นรถไปอีกรอบแล้วโบกมือบ๊ายบายให้แล้วออกรถไปทันที
เมื่อซูเฟิงไปแล้วถังเจิ้ยก็เรียกแท็กซี่กลับบ้าน
หลังจากลงจากรถและเลี้ยวเข้าซอยหน้าบ้านไปก็เห็นว่ามีรถ BMW สีดำขับแซงเขาแล้วไปจอดอยู่ริมถนนหน้าบ้านห่างออกไปจากตัวเขาตอนนี้ประมาณสามสิบเมตร
ประตูรถถูกเปิดออกอย่างเบามือ หญิงสาวร่างสูงและสวยในชุดกระโปรงสั้นผ้าไหมสีดำได้ก้าวลงมาจากที่นั่งข้างคนขับพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างบอบบางเล็กน้อยในชุดเสื้อผ้าแบรนด์เนม
ขอบตาของถังเจิ้นกระตุกเล็กน้อย และเขายืนอยู่เฉย ๆ รอให้คนทั้งคู่เดินผ่านไปก่อน
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นถังเจิ้นก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ตอนนี้สีหน้าของเธอมีแต่ความสับสน
ถังเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็โบกมือทักทายด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญจังนะ นี่แฟนเหรอ”
ถังเจิ้นพยักหน้าให้ชายคนนั้นด้วยสายตาและรอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติ
“อืม” ฟางอวี่เจี๋ยเองก็ปั้นยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติตอบ
ไม่เค็มไม่จืดเหมือนเพื่อน ๆ ที่พบหน้ากัน
ถังเจิ้นชำเลืองมองฝ่ายชายและพยักหน้าให้เบา ๆ
ชายหนุ่มเองก็ยิ้มอย่างมีมารยาทเช่นกันจากนั้นก็หันไปมองแฟนสาวตัวเอง
หลังจากทักทายกันแล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป ทว่าในความธรรมดานี้กลับแฝงความไม่ธรรมดาเอาไว้
เพราะไม่รู้ด้วยเหตุอันใด หญิงสาวกลับมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยายเกิดขึ้นในใจ ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญในชีวิตมาก ๆ ไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาของแฟนสาวเหมือนจะผิดปกติไปชายหนุ่มคนนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง “เจี๋ย ๆ เป็นไรรึเปล่า ไปโรงบาลมั้ย?”
ฟางอวี่เจี๋ยยิ้มตอบพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นหางตาก็แอบมองถังเจิ้นที่หายลับตาไปแล้วและลองเอาเขามาเปรียบเทียบกับชายหนุ่มข้าง ๆ นี้ดู
และสุดท้ายผลลัพธ์จากการเปรียบเทียบก็ยังคงเหมือนเดิม ในความคิดของเธอแม้ว่าถังเจิ้นจะจริงใจและซื่อตรง สูงโปร่ง แถมหน้าตายังดีกว่าหนุ่ม ๆ โดยทั่วไปมาก รวมไปถึงอารมณ์ก็มีความเป็นผู้ใหญ่พึ่งพาได้ก็ตาม ทว่าครอบครัวของเขามันก็...
‘ช่างมัน ๆ จะคิดให้ปวดหัวไปทำไม เรากับเขาถูกกับหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเส้นขนานที่ไม่อาจมาบรรจบกันได้!’
เมื่อคิดได้แบบนั้นเธอก็หันไปยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มคนใกล้ชิดควงแขนเขาไปที่บ้านตัวเอง และเมื่อก้าวเข้าบ้าน จังหวะที่หันกลับมาปิดประตูเธอก็แอบกวาดตามองไปยังทิศที่ถังเจิ้นเดินหายไปโดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ จากนั้นก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
ทางด้านถังเจิ้นนั้นพอเจอฟางอวี่เจี๋ยเข้าก็อารมณ์บูด ยิ่งอีกฝ่ายมากับผู้ชายคนอื่นด้วยแล้วยิ่งบูดหนักเข้าไปใหญ่
ถังเจิ้นที่บอกว่าตัวเองยอมแพ้เรื่องเธอไปแล้วตอนนี้กำลังคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว และถ้าฟางอวี่เจี๋ยรู้ว่าเขาจะรวยล่ะก็เธอจะเปลี่ยนใจมั้ย?
แต่ถ้าเธอยอมตกลงเป็นแฟนกับเขาเพราะเหตุนี้จริง ๆ ล่ะก็เขาจะยังรักเธอเหมือนที่เป็นอยู่ตลอดห้าปีมานี้หรือไม่?
จิตใจของถังเจิ้นยุ่งเหยิงอยู่พักหนึ่งดังนั้นเขาจึงนั่งลงที่ขอบทางแล้วเอาบุหรี่มาจุดสูบ
เช้าวันต่อมา
หลังจากที่อาบน้ำกินข้าวอิ่มแล้วถังเจิ้นก็นั่งรถไปที่ตลาดขายของเก่าใกล้ ๆ บ้าน หลังจากที่เดินซื้อของไปเรื่อยก็มาถึงแผงขายแผงหนึ่ง เขาหยิบแหนบรถยนต์เก่า ๆ โบร้านโบราณอันหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ไปหยิบเอาท่อเหล็กกับแผ่นเหล็กอีกอย่างละชิ้นแล้วไปจ่ายเงิน จากนั้นก็ช้อปต่อ
ถังเจิ้นกลับบ้านมาพร้อมกับของเก่ามากมายหลายชิ้น หลังจากที่พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้วก็ต่อไฟเริ่มลงมือทำงาน เขามีงานอดิเรกคือการสร้างอาวุธและเครื่องป้องกัน ดังนั้นกระบวนการจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อถึงเที่ยงคืนในที่สุดถังเจิ้นก็ทำงานเสร็จ เขามองผลงานที่ได้ จากนั้นก็บิดขี้เกียจและดื่มน้ำแก้วหนึ่งก่อนจะเอาของมาแต่งตัวปรับขนาดให้พอดี
ชุดเกราะนั้นดูเรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง ทำจากหนังและแผ่นเหล็กบาง ๆ การสวมใส่มันบนร่างกายไม่ยุ่งยากและดูไม่เกะกะด้วย
ดาบยาวเล่มหนึ่งที่ตีและหลอมจากแหนบรถยนต์ น้ำหนักพอเหมาะ จุดศูนย์ถ่วงปานกลาง เป็นอาวุธสังหารที่แท้ทรู คันธนูปีกโค้งกลับพร้อมด้วยลูกธนูที่ลำทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์หัวแหลมไว้ยิงสัตว์ที่ซื้อมาจากร้านทั้งชุด และหอกอันคมกริบอีกด้าม
หากเอาของทั้งหมดนี่มาประดับไว้บนร่างกายล่ะก็คงเกะกะจนเดินไม่ได้อย่างแน่นอน ทว่าถังเจิ้นไม่จำเป็นต้องถืออยู่แล้ว เขามีช่องเก็บของที่สามารถเอาของทั้งหมดนี้ใส่ลงไปได้โดยไม่ต้องแบกให้มันหนัก
หลังจากเตรียมตัวอีก 2 วันถังเจิ้นก็ได้ปรับความคิดจิตใจของตนให้สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้ว และทำการเทเลพอร์ต
เมื่อภาพหมุน ๆ ม้วน ๆ หายไปสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขาไม่ใช้กอหญ้าที่สูงท่วมหัวเหมือนก่อนที่เขาจะกลับบ้าน แต่เป็นอาคารที่ทรุดโทรม!
หัวใจของถังเจิ้นถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ เขารีบชักปืนพกออกจากเอวพร้อมปลดเซฟตี้ทันที
พอมีปืนแล้วความมั่นใจก็มาเต็ม เขาเริ่มสังเกตสาภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระแวดระวัง
ดูจากลักษณะอาคารนี้แล้วน่าจะเป็นอาคารโรงงาน ส่วนเขาในตอนนี้อยู่ตรงกลางของพื้นที่โรงงาน โดยพื้นที่ของโรงงานมีขนาดใหญ่มากและดูเหมือนว่าจะถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บางแห่งได้พังทลายลงไปแล้ว ถังเจิ้นสรุปว่าอาคารป่านี่น่าจะพึ่งโผล่มาแหงม ๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงได้ไม่เห็นมอนสเตอร์เลย?
บริเวณลานกว้างของโรงงานมีหญ้าสูงประมาณเมตรกว่า อีกทั้งยังมีพืชแปลก ๆ ที่มีหนามแข็ง ๆ เป็นจำนวนมากอยู่ด้วย โชคยังดีที่ถังเจิ้นใส่กางเกงหนา ๆ มา ไม่อย่างนั้นคงมีการเลือดตกยากออกกันตั้งแต่พริบตาที่มาถึง
เขากลั้นหายใจและก้าวเดินออกไปอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็เปิดแอปแผนที่เพื่อเช็กดูสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วย เผื่อว่าจู่ ๆ ไอ้พวกมอนสเตอร์มันโผล่มาจะได้รู้ทัน
เมื่อเขาพยายามจะสังเกตสถานการณ์ในอาคารโรงงานจากทางหน้าต่างอยู่นั้นเองเสียงกรีดร้องแหลม ๆ ก็ดังออกมาจากซากปรักหักพัง
ถังเจิ้นสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงกรี๊ด และเขารู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงคน ดูท่าจะเป็นเด็กผู้หญิงด้วย ถังเจิ้นล็อคเป้าตามทิศทางของเสียงและวิ่งตรงไปอย่างระมัดระวัง
หลังจากวิ่งไปได้ประมาณ 300 เมตร เลี้ยวหลบอาคารโรงงานไปสุดท้ายก็มาเจอเข้ากับจุดที่เป็นทุ่งที่มีวัชพืชขึ้นอยู่ประปราย และยังเห็นเจ้าของเสียงที่กำลังกรี๊ดอยู่ด้วย
เป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดแต่งกายด้วยเสื้อผ้าซอมซ่อ มือน้อย ๆ นั่นกวัดแกว่งมีดเล็ก ๆ ที่ทำจากเหล็กด้วยสีหน้าอันสิ้นหวังเพื่อปกป้องเด็กหญิงตัวน้อย ๆ อีกคนที่สวมกระสอบและมีสีหน้าหวาดกลัวในอ้อมแขน
ในเวลานี้ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความสำนึกผิด และดวงตากลมโตของเธอตอนนี้มีน้ำตาไหลอาบหน้า ปากก็กรีดร้องคำรามปานสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ ชุดที่สวมอยู่เหมือนเอาถุงมาปะ ๆ ติดกัน แขนขาที่ไม่มีอะไรปกปิดตอนนี้เปื้อนไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่ถูกหญ้าบาด
หญิงสาวนั้นถังเจิ้นเพียงแค่ชำเลืองมอง แต่โฟกัสจริง ๆ ของเขาอยู่ที่สาเหตุที่ทำให้เธอกรีดร้อง ซึ่งมันคือสิ่งมีชีวิตประหลาด 5 ตัวที่ตีกรอบล้อมเธอพลางส่งเสียงประหลาด ๆ
มอนสเตอร์ทั้ง 5 สูงเพียง 112 เซนฯ หัวโต ๆ เหมือนหมากับหนูผสมกัน ลำตัวงองุ้ม ในมือไม่ถือไม้ก็สิ่วเหล็ก ส่วนกลิ่นของพวกมันนี่คือปลาตายแท้ ๆ
และตอนนี้พวกมันทั้งห้าต่างอ้าปากกว้างซะจนใหญ่พอที่จะกลืนหัวคนทั้งหัวลงคอได้เลยทีเดียว ซึ่งไอ้กลิ่นปลาตายดังกล่าวก็กลิ่นปากพวกเวรนี่นี่แหล่ะ มันเหมือนจงใจปล่อยกลิ่งปากใส่อย่างต่อเนื่องเลย แถมปากของพวกมันยังจะมีน้ำลายที่เหม็นยิ่งกว่าหยดแหมะ ๆ ปานเจออาหารอันโอชะอีกต่างหาก มันจับจ้องมองเหยื่อทั้งสองอย่างไม่วางตา แม้แต่ถังเจิ้นที่จู่ ๆ ก็โผล่มายังไม่อาจที่จะดึงความสนใจไปจากเธอทั้งสองนั่นได้เลย
นัยน์ตาของเขาบีบรัดตัว ‘พวกห่านี่มันมอนไรวะ?’
ขณะที่ตั้งคำถามจู่ ๆ แผงข้อมูลของพวกมันที่มีตัวหนังสือสีแดงกำกับไว้ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า!
[ตัวกินขยะ เลเวล 1 โคตรโสโครก สายตาแย่ แรงกัดมหาศาล]
‘อ้อ ตกลงว่ามันชื่อตัวกินขยะนี่เอง เรื่องพลังอยู่ที่เลเวลหนึ่ง ถ้าไม่ประมาทล่ะก็ฆ่าได้เกลี้ยงอยู่แหล่ะหน่า’
เมื่อประเมินเสร็จแล้วถังเจิ้นก็วิ่งเข้าไปบวกกับพวกมันทันที!