ตอนที่ 804 ข้อสังเกตที่ฉลาด
พื้นน้ำแข็งวิหารปีศาจดิน
เย่ว์หยางจ้องมองมนุษย์ผมงูที่จู่ๆก็โผล่ออกมาอยู่นาน แต่เขากับเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนสองสาวไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ ไม่ได้เรียกคัมภีร์อัญเชิญ ในตัวของบุรุษผมงูผู้นี้ไม่มีรังสีฆ่าฟันมีแต่ความรู้สึกที่ประหลาดและลึกลับ
“ท่านคือ...” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนนั่งอยู่บนไหล่ของเย่ว์หยาง ประสานมือคารวะ
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไรทั้งไม่ได้เป็นพันธมิตรกับพวกตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์” บุรุษผมงูตอบด้วยมารยาทสุภาพพร้อมทั้งยกมือข้างหนึ่ง “ข้าแค่สงสัยเล็กน้อยเพราะในตัวพวกเจ้าเด็กสาวกับหนุ่มน้อย ข้ารู้สึกได้กลิ่นอายของสหายเก่า บอกตามตรงทั้งสองคือสหายเก่าข้าจักรพรรดิอวี้และเฟ่ยเหวินหลี”
“ท่านรู้จักจักรพรรดิอวี้และนางพญาเฟ่ยเหวินหลีด้วยหรือ?” เสวี่ยอู๋เสียถาม
“แน่นอนว่าข้าเคยสู้กับจักพรรดิอวี้แต่เวลานั้นเขามีพลังเทพและอาวุธเทพ ซึ่งก็คือดาบเทพของคุณหนูผู้นี้แต่ยังไม่เข้าใจถึงประกายเทพ ข้าไม่เต็มใจจะสู้กับเขาเท่าใดนั้นนอกจากนี้ยังมีศัตรูจับตามองดูอยู่ด้านหลังของเขาไม่วางตา” บุรุษผมงูยิ้มดวงตาของเขาฉายแววรำลึกถึงความทรงจำเก่า “ข้ายังได้สู้กับเฟ่ยเหวินหลีครั้งหนึ่ง นางพญาผู้พิชิตร้ายกาจจริงๆ ข้าต้องยอมรับว่าครั้งนั้นข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง งูที่เจ้าเห็นนี้มาจากคำสาปของนาง”
“นางพญาเฟ่ยเหวินหลีรู้วิธีสาปด้วยหรือ?” เย่ว์หยางประหลาดใจ
“นางไม่เพียงแต่เข้าใจแต่ยังจัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้” บุรุษผมงูฝืนยิ้มส่ายหน้า “ถ้าข้าไม่มีกระจกทนทุกข์ ที่สามารถลดอาการบาดเจ็บและทักษะสะท้อนทุกข์บางทีตอนนี้คงเป็นก้อนหินไปแล้ว แต่ไม่ใช่มีแค่งูตัวเดียวจึงไม่ง่ายที่จะเป็นอิสระ เจ้าคงจะเป็นศิษย์ของนางพญาผู้พิชิตสินะ วางใจได้ แม้ว่าข้ากับนางพญาผู้พิชิตจะสู้กัน แต่เกี่ยวกับเจ้าเรื่องนี้ยังไม่เริ่มขึ้น ตรงกันข้ามเมื่อเห็นชาวหอทงเทียนรุ่นหลังอย่างเจ้าร่างกายครึ่งหนึ่งของข้ามีสายเลือดของนักรบชาวหอทงเทียน ข้ารู้สึกมีความสุขนัก”
“ใครบอกว่าเราเป็นคนรุ่นหลังของหอทงเทียน?” เย่ว์หยางถามเย็นชา
“เจ้าไม่ใช่หรือ?” มนุษย์ผมงูไม่อยากจะเชื่อ
“พวกเจ้าอาคันตุกะทั้งสี่ผู้มีเกียรติมาเยือนบ้านซอมซ่อของเรา พวกเจ้าสามารถมายืนอยู่หน้าประตูได้เป็นเวลานาน นี่นับเป็นเกียรตินักที่ข้าได้มาต้อนรับอาคันตุกะด้วยตัวเอง เชิญเข้ามาเถอะ!” ข้างในนั้นบุรุษผู้มีน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนบัณฑิตผู้คงแก่เรียนเขาเปิดประตูวิหารน้ำแข็งที่มีวงเวทอักษรรูนช้าๆ
อากาศที่เย็นกว่าไหลเข้ามาข้างใน
เย่ว์หยางยื่นมือป้องกันเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนด้วยพลังหยางบริสุทธิ์
สองสาวปลอดภัยไร้อันตราย แต่มือขวาของเย่ว์หยางที่เหยียดออกเต็มไปด้วยน้ำแข็ง
ภายใต้เท้าแม้ว่าเย่ว์หยางจะใช้พลังหยางมากมายเพื่อต่อต้านแต่เขายังอดถอยหลังกลับไปสามก้าวไม่ได้ขาของเขาถูกพลังบังคับจนต้องเหยียบพื้นหิมะกว่าจะยืนหยัดได้มั่นคง
บุรุษผมงูลอยผ่านเย่ว์หยางขณะที่เขาก้าวเดินไปบนพื้นน้ำแข็งอย่างเยือกเย็น เท้าของเขาจมลงไปในน้ำแข็งไม่ได้จมไปเท่าเข่าเหมือนเย่ว์หยาง ความเย็นลามมาถึงต้นขาของเขา ความเย็นด้านในอ่อนลง และบุรุษผมงูก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้รับอิทธิพล ยกเว้นแต่งูเหล่านั้น เมื่องูสีแดงพ่นหมอกขาวในเวลาอื่น พวกมันเหมือนสงบตามปกติ
แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่พูดอะไร แต่เขาต้องยอมรับว่าบุรุษผมงูผู้นี้แข็งแกร่งมากกว่าตัวเขา
นอกจากปีศาจมังกรแล้วเย่ว์หยางยังไม่เคยพบคนอื่นที่ทรงพลังขนาดนั้น
แม้แต่ราชาใจสิงห์ผู้มีพลังแฝงเร้นระดับจักรพรรดิก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่า
เย่ว์หยางลอบตัดสินบุรุษผมงูผู้นี้ แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียง ไม่ได้พูดถึงที่มาแต่อย่างน้อยเขาต้องเป็นนักสู้ระดับจักรพรรดิและอาจเป็นระดับผู้ยิ่งใหญ่ด้วย
จักษุญาณทิพย์สามารถมองเห็นความจริงได้ทั้งหมดคัมภีร์แห่งสัจจะระดับต่ำกว่าสมบัติเทพสามารถแสดงถึงความจริงได้แต่ทั้งจักษุญาณทิพย์ของเย่ว์หยางและคัมภีร์แห่งสัจจะของเสวี่ยอู๋เสียไม่สามารถมองเห็นข้อมูลใดๆของบุรุษผมงูผู้นี้ได้ บุรุษผมงูผู้นี้เหมือนกับไม่มีตัวตน ไม่มีข้อมูลแม้แต่น้อยความสามารถในการซ่อนเร้นของเขาง่าย ไม่มีใดเทียม
ที่แน่ๆก็คือคนผู้นี้ไม่มีความตั้งใจฆ่า
รอให้ความเย็นจางหายไป
เย่ว์หยางแบกเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก้าวไปบนบันไดน้ำแข็งตามหลังบุรุษผมงูไปติดๆ
เดินไปได้หลายสิบก้าวผ่านเข้าประตูผ่านเฉลียงและห้องที่งดงามจนกระทั่งไปถึงห้องโถงใหญ่ที่สง่างาม
ที่นี่โอ่โถงสง่างามมากกว่าปราสาทใดๆในโลก
ขนสีขาวของหมีดินปราณฟ้าถูกปูอยู่บนพื้นด้านบนขนไม่ค่อยมีสีสัน เครื่องเรือนโต๊ะเก้าอี้สร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์นอกจากนี้ยังมีโคมไฟระย้างดงามฝังด้วยเพชรแม้แต่ชุดภาชนะอาหารบนโต๊ะก็ทำมาจากแพลตตินัม (ทองคำขาว) ภาชนะบรรจุอาหารชั้นเลิศอย่างซุปหางหัวมีไอคุกรุ่นผักกาดหยกสีสดใส น้ำปลาสีราวกับไข่มุกดำ ตับมังกรทอด ปีกมังกรทอดกรอบ ปลาเทวดาทอด กล้วยหวานและเหล้าเลือดไตตันทุกจานเป็นอาหารชั้นดีที่สุด อย่าว่าแต่นักรบธรรมดาเลย แม้แต่นักสู้ระดับราชาในแดนสวรรค์ก็ยังไม่มีโอกาสได้กิน
ถ้าเหล้านี้ให้นักรบแดนสวรรค์ธรรมดาดื่มสักแก้วหนึ่ง
คาดว่าเขาอาจจะตายคาที่ก็เป็นได้
แน่นอนว่าถ้าท่านสามารถดูดซับได้ทั้งหมดอย่างนั้นนักรบที่ระดับต่ำกว่าปราณฟ้าระดับสามจะต้องมีการพัฒนาแน่นอน
คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าภาพเป็นชายชราผมสีขาวสวมแว่นตาเลนส์เดียวคล้องด้วยสายคล้องคอผมของเขาหวีเรียบเป็นมันเงามองดูเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาไม่มีใดเปรียบ ถ้ามองดูนัยน์ตาของเขาจะพบว่าลึกล้ำดั่งทะเลไม่ว่าจะเป็นความรู้ ภูมิปัญญาหรือประสบการณ์และทัศนคติชีวิตเจ้าภาพผู้นี้ดูเหมือนแทบจะมีความรู้ทุกอย่างในใจ
มือทั้งสองของเขาถือหนังสือสีดำเล่มหนึ่งดูแปลกประหลาดรูปแบบของอักษรรูนสวรรค์บนหนังสือนั้นซับซ้อนราวกับดาราจักรทางช้างเผือก
เมื่อเขาเห็นบุรุษผมงูและเย่ว์หยางและสตรีสองคนเข้ามาบุรุษผมขาวปิดหนังสืออย่างแผ่วเบา
เขามีโซ่น้ำแข็งล่ามอยู่ที่เข่า เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่ผายมืออย่างสุภาพต่างจากนักโทษตรงที่เขามองดูเหมือนบันฑิตผู้ทรงภูมิรู้ผู้ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาแสดงความยินดีอย่างจริงใจต่อคนทั้งสี่ และเชื้อเชิญทั้งบุรุษผมงูและเย่ว์หยางให้นั่งและกินเลี้ยงด้วยกัน “อาคันตุกะผู้มีเกียรติทั้งสี่ เรามาพบกันในวันนี้ไม่ต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่มาพบกัน ถือว่ามีความผูกพันกันพวกท่านก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีอาคันตุกะมาเยี่ยมเยือนนานมากแล้ว หลายปีมานี้ผ่านไปอย่างว่างเปล่าเดียวดายนัก วันนี้มีอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติมาถึงขอให้ข้าได้ทำหน้าที่เจ้าภาพก่อน มิฉะนั้นยากจะสบายใจได้”
“ไม่ต้องมากมารยาทก็ได้” บุรุษผมงูเดินเข้าไปคนแรก“ฉางฟงน้อมพบผู้อาวุโส”
“ชื่อสกุลของเจ้าห้วนไปหรือเปล่า?” สุภาพบุรุษผมหงอกถาม
“ไม่, ข้ามีชื่อสกุลชื่อสกุลในแดนสวรรค์ข้ามีทั้งชื่อสกุลและชื่อตัว” บุรุษผมงูพูดโต้ตอบชายชราผมหงอกทันที“แน่นอนว่านอกจากตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งสี่ ข้าเคยได้ยินตำนานมาเรื่องหนึ่งในยุคที่มีสี่นักรบโดดเด่นสี่คนได้รับรางวัลจากเทพมังกรและมอบชื่อสกุลให้กับคนทั้งสี่หลังจากนั้นมาแดนสวรรค์จึงมีสี่ตระกูลใหญ่ และตระกูลตู๋กูเป็นหนึ่งในนั้นเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบเห็นลูกหลานพวกเขาในวันนี้”
“อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสฉางฟงมิบังอาจอวดอ้างความรุ่งเรืองในอดีตเพื่อตีเสมอบรรพบุรุษเทียบกับบรรพบุรุษแล้ว ฉางฟงเป็นเพียงเยาวชนรุ่นหลังที่เพิ่งข้ามแม่น้ำได้ ฉางฟงยังมีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่าหนุ่มสาวจากหอทงเทียนนี้” บุรุษผมงูถ่อมตัว
“ความจริงแม้ว่าทั้งสามคนจะยังอายุน้อยแต่พวกเขาก็ฉลาดมีปัญญาอย่างหาคนเทียบได้ยาก สิ่งที่เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าก็คือ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของสหายน้อยหรือสาวน้อยทั้งสอง ทั้งคู่มีความคิดที่ลึกซึ้งและฝีมือที่ลึกล้ำถ้าหากว่าท่านติดตามความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกนางเทียบกับนักสู้ปราณราชันย์อาจยังจะด้อยกว่า แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายกย่อง มองดูแล้วคนมีฝีมือที่กระจายอยู่ทั่วโลกมีอยู่นับไม่ถ้วนไม่มีใครรู้ว่าใครจะมีความโดดเด่นถึงเพียงนั้น” เมื่อชายชราผมเงินมองดูเย่ว์หยาง ในใจของเย่ว์หยางมองเห็นภาพลวงตาที่เขาสามารถมองผ่านได้เขาต้องเข้มแข็งและลอบบอกกับตนเองให้ใจเย็นด้วยทักษะอำพรางของเขาบวกกับสองพี่น้องหงส์เพลิงและสาวกิเลนปิงหวินอสูรอมตะช่วยคุ้มครองต่อให้ฝ่ายตรงข้างเป็นจอมปีศาจลี่ตี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นพลังที่แท้จริงของเขา
ถ้าฝ่ายตรงข้ามมองเห็นจะไม่พูดอย่างแน่นอน
นี่เป็นเพราะในใจมีข้อสงสัยจึงเอ่ยปากเพื่อสอบสวนเช่นนี้
เย่ว์หยางผู้ผ่านประตูเป็นตายได้สำเร็จและได้บรรลุปณิธานราชันย์แม้แต่ชายชราแห่งสี่ตระกูลเก่าที่มีชื่อเสียงและบุรุษผมงู ก็ยังอดมีแววละอายมิได้ได้แต่สงบจิตใจปลอบโยนตนเอง
เย่ว์หยางไม่เพียงแต่ยังรักษาความกระจ่างในใจ แต่เขายังคงใช้ใจของเขาเชื่อมกับเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนทำให้พวกนางดูเหมือนจะสงบไปด้วย
การสนองตอบอย่างสงบของทั้งสามคนนั้นทำให้แววตาของบุรุษผมขาวมีความชื่นชมเป็นพิเศษ
“สหายน้อย!เจ้าพอจะแจ้งชื่อตระกูลเหมือนเด็กสุภาพโดยทั่วไปเพื่อให้เราเจ้าบ้านได้รู้สึกอิจฉาบ้างได้หรือไม่?” ชายชราผมขาวผายมือถามเย่ว์หยาง
“ข้าเองก็มาจากสี่ตระกูลใหญ่เหมือนกัน” เย่ว์หยางพูดจนบุรุษผมงูตะลึงและประหลาดใจกับเย่ว์หยางเล็กน้อยเหมือนกับว่าเขาต้องการทำความรู้จักเขาใหม่
“อา, หลังจากเจ้าที่เป็นสหายจากสี่ตระกูลใหญ่ข้าไม่รู้ว่าได้เปิดประตูต้อนรับตระกูลใหญ่ใดอีก?” ชายชราผมขาวถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ตระกูลเย่ว์” คำตอบของเย่ว์หยางทำให้เสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงมึนงง ตระกูลเย่ว์ในสี่ตระกูลใหญ่นี้ถ้าไม่ใช่เย่ว์หยางปรากฏรุ่งเรืองขึ้นมาในหอทงเทียน ก็เป็นแค่ตระกูลที่มีชื่อในทวีปมังกรทะยานเท่านั้น ตอนนี้มาถึงแดนสวรรค์แล้วเขายังเอามาใช้อวดอ้างกับตัวประหลาดเฒ่าที่อายุหลายหมื่นปีอีกหรือช่างทำให้ผู้คนคลั่งใจจริงๆ!
“มีตระกูลเย่ว์จากสี่ตระกูลใหญ่ด้วยหรือ?” บุรุษผมงูงงงวยไม่อยากจะทำใจเชื่อเท่าใดนัก
“ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของข้าจะแตกต่างจากตระกูลของเจ้าบ้างเจ้ามาจากสี่ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ ส่วนข้ามาจากสี่ตระกูลใหญ่ในหอทงเทียน”เย่ว์หยางยังคงตอบยืนยัน
“เจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าเจ้าเป็นคนรุ่นหลังของหอทงเทียนใช่ไหม?” บุรุษผมงูงง ประโยคคำพูดไหนจริงกันแน่?
“ดีมาก, นักสู้จากสี่ตระกูลใหญ่ในหอทงเทียนล้วนมีชื่อเสียงทุกคน แม้ว่าหอทงเทียนจะเล็กไปบ้างแต่เทียบกับแดนสวรรค์ก็อาจจะแตกต่างเพียงเล็กน้อยกระมัง หอทงเทียนมียอดฝีมือเหมือนเมฆบนท้องฟ้ามีนักสู้รุ่นหลังเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ตลอดเวลามักจะเป็นนักสู้จากหอทงเทียนที่เข้ามาฝึกฝนอยู่ในแดนสวรรค์และครอบครองดินแดนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ความจริงแล้วมีนักสู้จากแดนสวรรค์น้อยกว่าน้อยที่ไปยังหอทงเทียนได้ ดังนั้นจากที่เห็นหอทงเทียนยังล้ำหน้าแดนสวรรค์อยู่หนึ่งก้าวและยังนับว่าชนะได้ สหายน้อยคือนักสู้ที่โดดเด่นรุ่นหลังของหอทงเทียนจากสี่ตระกูลใหญ่ มีทั้งรูปที่งดงามและพรสวรรค์ที่ดีน่าชื่นชม นับเป็นเกียรติยิ่งนัก มิทราบว่าแม่นางทั้งสองพอจะแจ้งชื่อบอกกล่าวได้ไหม...อ้อ..ข้าแทบจะลืมเชิญอาคันตุกะให้นั่ง เชิญนั่งก่อน!” ชายชราผมขาวเชิญเย่ว์หยางและพวกให้นั่งลงขณะที่ถามชื่ออย่างเป็นกันเอง
“ผู้เยาว์รุ่นหลังเสวี่ยอู๋เสียน้อมพบผู้อาวุโส” เสวี่ยอู๋เสียก้าวลงจากไหล่ของเย่ว์หยางและนั่งบนเก้าอี้ทองและนางพบว่าไม่มีความเย็นกัดกร่อน
“ผู้เยาว์จุนหยวน น้อมพบผู้อาวุโส” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยังคงนั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของเย่ว์หยาง
“สหายน้อยเล่า?”ชายชราผมขาวพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยนราวกับอาจารย์ผู้เฒ่ามองดูหลานสาวภาพและฉากที่เห็นนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะรู้ว่าบางทีทั้งสองฝ่ายอาจต้องระเบิดพลังสู้เสี่ยงชีวิตกัน กลับดูเหมือนอากาศที่สงบก่อนพายุรุนแรงจะมา บางทีการต่อสู้อาจโหดร้ายรุนแรง
“ข้า, ไตตันแห่งสกุลเย่ว์พาสหายพวกพ้องมาเที่ยวแดนสวรรค์เพื่อเก็บเกี่ยวหาประสบการณ์ต้องทราบกันว่าเทียบกับสถานที่ยิ่งใหญ่อย่างแดนสวรรค์แล้วหอทงเทียนของเราเป็นเหมือนบ้านนอกชนบทเท่านั้น ชาวชนบทอย่างเรานี้ไม่สามารถเข้ามาในเมืองได้หลายพันปี แน่นอนว่าก็ต้องมีความอดทนแข็งแรงเป็นพิเศษ ขืนไม่มีความอดทนคงทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองต้องหัวเราะเยาะเสียแล้ว”คำพูดของเย่ว์หยางแฝงไปด้วยความหมายเล็กน้อย
“สหายน้อยมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงนั่นต้องเป็นเพราะผู้อาวุโสของสหายน้อยและสาวน้อยทั้งสองคงช่วยกวดขันเป็นอย่างดีน่าทึ่งจริงๆ” ชายชราผมขาวเหมือนจะทราบความหมายแฝงในคำพูดของเย่ว์หยาง ไม่คิดเลยว่าหอทงเทียนไม่ค่อยมียอดฝีมือมากเท่าใดจริงๆ
อย่างน้อยตอนนี้นอกจากจื้อจุนและจักรพรรดินีราตรีแล้วคนอื่นมิอาจนับได้
บุรุษผมงูนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่นานทันทีจู่ๆ เขาถามด้วยความตกใจ “เสี่ยวเย่ว์มีข่าวลือมาว่าจักรพรรดิอวี้ล่วงลับไปแล้วจริงหรือไม่?” !