ตอนที่ 802 วิหารปีศาจดิน
หุบเขาลม
เมื่อเย่ว์หยางไปถึงที่ท้ายหุบเขาลม เขาพบเห็นผู้เฒ่าฟงป๋อถูกจองจำไว้เช่นเดียวกับผู้เฒ่าอวี่ป๋อ
ต่างกันกับผู้เฒ่าอวี่ป๋อตรงที่ผู้เฒ่าฟงป๋อกลับหัวหกคะเมนและที่คล้ายๆ กันคือเขาจะถูกลงทัณฑ์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือจากคำบอกเล่าของฟงป๋อไม่ว่าจะเป็นกัปตันคุ้กและจีอู๋ลี่ต่างใช้ความสามารถของพวกเขาผ่านไปได้ และพวกเขาไม่ต้องผ่านตัวเขาโดยตรงก็ตรงไปที่ด่านที่สามหุบเขาทรายได้โดยตรง
“เด็กน้อย! เจ้าต้องระวังไว้ให้ดี เจ้าไม่อาจจะรับมือจีอู๋ลี่ได้แน่นอนปกติคาดได้เลยว่าเขาจะไม่สนใจเจ้า เจ้าไม่มีอะไรมากพอจะพูดได้ว่าคุกคามเขาได้แม้แต่น้อย เขาจะจัดการกับเจ้าโง่คุ้กเป็นหลัก”ต่างจากผู้เฒ่าอวี่ป๋อ ผู้เฒ่าฟงป๋อไม่ชอบกินเหล้า เขาอยากกินแต่อาหารดีๆ เย่ว์หยางจัดอาหารที่โอชะมากมายให้เขาได้กินและใช้กลยุทธเดียวกับที่ใช้กับผู้เฒ่าอวี่ป๋อสำหรับชายชราที่อมตะไม่รู้จักตายผู้นี้ ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลังชื่อเสียงไม่ดังให้ความเคารพยกย่องสักเล็กน้อยย่อมไม่เสียหลาย ด้วยการพูดยกยอเอาใจสักเล็กน้อยเพื่อผลของการฝึกฝนเสริมพลัง เย่ว์หยางปล่อยให้เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆออกมาทีละคนเพื่อคารวะนักสู้รุ่นอาวุโส
เมื่อถึงช่วงสุดท้ายเจ้าอ้วนไห่ได้โอกาสพูดยอทันที
เขาเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งแน่นอน
“ท่านผู้เฒ่า..สูงทั้งวัยวุฒิและคุณธรรมชื่อเสียงโดดเด่นระดับโลกเป็นที่รู้จักดี..” เจ้าอ้วนไห่สามารถพูดยกยอได้เป็นชั่วโมงโดยไม่ซ้ำคำ
“ดี ดีมาก”ผู้เฒ่าฟงป๋อไม่เคยได้ยินได้ฟังคำพูดที่ฟังแล้วสบายใจมาเป็นเวลานานภายใต้อารมณ์ที่สบายใจ เขาบอกความลับที่น่าตกใจกับเย่ว์หยาง “เมื่อพวกเจ้าเหล่าผู้เยาว์เป็นคนมีเหตุผลข้าจะบอกความลับแก่เจ้า ถ้าเป็นเจ้าเฒ่าอวี่ป๋อก็คงไม่บอกอะไรที่เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าแน่!”
“ท่านผู้เฒ่าเป็นคนดีที่หนึ่งเสมอ!” เจ้าอ้วนไห่ยกหัวแม่มือให้ผู้เฒ่าฟงป๋อ
“ผู้เฒ่าอวี่ป๋อยังไม่มีน้ำใจเท่ากับท่าน”เย่ว์หยางเมื่อได้ยินก็รู้ว่าผู้เฒ่าที่ไม่รู้จักตายนี้กับผู้เฒ่าอวี่ป๋อไม่ถูกกันและไม่พูดอะไรถึงผู้เฒ่าฟงป๋อ
“เขาไม่คู่ควรแม้แต่จะหิ้วรองเท้าให้เราผู้เฒ่า หากมิใช่เพราะซาลามานมีจิตใจอ่อนโยนกลัวว่าแต่งงานกับข้าจะทำให้เขาฆ่าตัวตาย เราคงจะแต่งงานไปนานแล้ว อวี่ป๋อ ไอ้เฒ่าเล่ห์ก่อกวนการแต่งงานของข้ากับซาลามานและสร้างศัตรูไว้นับไม่ถ้วน ถ้าไม่ใช่เพราะความงี่เง่าของเขา เราจะต้องมาอยู่ที่นี่หรือ? เขาทำร้ายข้าในหุบเขาลมแห่งนี้และยังทำร้ายซาลามานของข้า เมื่อพูดถึงเขาแล้ว ข้าอยากจะฆ่าเขาจริงๆ! ซาลามานของข้าข้าไม่ทราบข่าวคราวจากนางมานานแล้ว อย่าว่าแต่เห็นนางเลย พวกเจ้าเมื่อพบนางช่วยทักทายนางแทนข้าด้วย!” ซาลามานที่ผู้เฒ่าฟงป๋อพูดถึงก็คือแม่เฒ่าซาซึ่งปักหลักเฝ้าอยู่ในด่านที่สามหุบเขาทราย
“แน่นอน แน่นอน” เย่ว์หยางหัวเราะในใจและเขาเคยได้ยินเรื่องจากผู้เฒ่าอวี่ป๋อมาแล้ว แต่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
อย่างไรก็ตามเขาไม่สนใจความรักความแค้นของผู้อาวุโสทั้งสามเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว
ถ้าเขาฉวยประโยชน์ได้จากจุดนี้และสามารถควบคุมผู้เฒ่าเหล่านี้ได้หลังจากปล่อยออกมาจากผนึกได้แล้วอย่างน้อยน่าจะปล่อยให้พวกเขาได้พักอยู่ที่หอทงเทียนกลายเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลังของหอทงเทียน
ผู้เฒ่าฟงป๋อต้องการพูดมากกว่าผู้เฒ่าอวี่ป๋อและกลัวว่าเย่ว์หยางจะประทับใจยอมเชื่อคำของผู้เฒ่าอวี่ป๋อมากกว่าจึงเล่าเรื่องความรักและความประทับใจที่เขามีต่อแม่เฒ่าซาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสวี่ยทันหลางได้ยินแล้วแทบจะหลับไม่ลง
ใบหน้าขององค์ชายเทียนหลัวยังคงยิ้มสุภาพทั้งที่เป็นการฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
พี่น้องตระกูลหลี่พยายามไม่หาวและลอบใช้อาวุธจิ้มตัวเองกันเผลอหลับ
มีแต่เย่คงและเจ้าอ้วนไห่ยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอ้วนไห่บ่อยครั้งที่เขาถึงกับปรบให้กับความรักที่ซาบซึ้งตราตรึงใจของผู้เฒ่าฟงป๋อบางครั้งก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกเห็นใจ การที่สองคนนี้ฟังด้วยความตั้งใจทำให้ผู้เฒ่าฟ่งป๋อมีความรู้สึกเหมือนกับว่าทั้งสองคนเป็นสหายสนิทที่ยินยอมรับฟังความในใจของเขา ในที่สุดผ่านไปสามชั่วโมงหลังจากบรรยายเรื่องราวความรักความหลังของผู้เฒ่าจบเย่ว์หยางยืนพิงฮุยไท่หลางหลับๆ ตื่นๆ ถึงสามคราในที่สุดเขาจึงได้พูดถึงความลับสะท้านฟ้าและดินที่มีเขากับแม่เฒ่าซาสองอัจฉริยะเท่านั้นที่รู้“เจ้าต้องไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแน่ ก่อนที่สุดยอดนักสู้ของแดนสวรรค์จะกวาดไปทั่วแดนสวรรค์.. ไม่ไม่ใช่คุณหนูเฟ่ยเหวินหลี คุณหนูเฟ่ยเหวินหลีนั่นแม้ว่าจะก่อสงครามเล็กๆแต่ความร้ายกาจยังแตกต่างจากสุดยอดฝีมือผู้นั้นมากนัก จักรพรรดิอู่เซียง ไม่ อู่เซียงชั่วร้ายอู่เซียงแข็งแกร่งที่สุดแต่ก็เทียบได้กับข้า เอ่อ..ข้าเป็นรองเล็กน้อย เพราะเขามีอาวุธเทพในมือ แต่ข้าไม่มี!
เย่ว์หยางรีบถามผู้เฒ่าฟงป๋ออีกครั้ง“ท่านว่าสุดยอดนักสู้ผู้นั้นชื่ออะไรนะ?”
“คนผู้นี้มีชื่อเรียกเป็นพิเศษว่าไคเทียนหรือรู้กันในอีกชื่อว่าจอมปีศาจ นั่นผ่านมาราวหกหมื่นหรือเจ็ดหมื่นปี เขาเข่นฆ่าคนไปมากมาย เขาทำให้แดนสวรรค์เดือดร้อนลุกเป็นไฟ แน่นอนมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมากและไม่มีผลดีเช่นกัน คนผู้นี้ไม่มีผลรับที่ดีเช่นกันวันหนึ่งเขาถูกคนผู้หนึ่งผนึกไว้เงียบๆ” ผู้เฒ่าฟงป๋อ แนะนำ
“เขาถูกผนึกไว้ในหุบเขาวายุหรือ?” เย่ว์หยางถาม
“ไม่ ที่อย่างนี้จะผนึกจอมปีศาจไคเทียนไว้ได้ยังไง?นั่นเป็นไปไม่ได้! ในด่านที่หกข้ามหุบเขาทะเลทราย,หุบเขาอสูรร้ายและหุบเขาปีศาจ ก่อนออกจากหุบเขาปีศาจ เมื่อมีโองการปีศาจฟ้าเจ้าจะสามารถเปิดสถานที่ลับนามว่าวิหารปีศาจฟ้า’ซึ่งเป็นที่จอมปีศาจไคเทียนถูกผนึกไว้ ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถได้รับผนึกรางวัลนักสู้จากเขา!” ผู้เฒ่าฟงป๋อชี้ทางสว่างให้เย่ว์หยาง
“โองการปีศาจฟ้าอยู่ที่ท่านหรือเปล่า?” เย่ว์หยางถามอีกครั้ง
“เป็นไปได้อย่างไร? โองการปีศาจฟ้าเก็บไว้ที่วิหารปีศาจดินซึ่งเป็นกุญแจสำหรับเปิดวิหารปีศาจฟ้า เจ้าสามารถมอบให้ใครได้ไหม?ในอดีตคุณหนูเฟ่ยเหวินหลี เด็กสาวนั่นก็ต้องการเหมือนกันแต่เพราะเหตุผลที่หลากหลาย นางกลัวว่าคู่แข่งของนางจะชิงเอาไปต่อหน้าต่อตานางไม่ฆ่าปีศาจลี่ตี้แห่งวิหารปีศาจดิน ทั้งนางไม่ได้ท้าทายสู้ในด่านที่หก ท่านไคเทียนจะถูกเก็บไว้ทีหลังโดยตรง...น่าเสียดาย ต่อให้เป็นนางนางคงไม่สามารถผ่านได้ทุกด่าน” ผู้เฒ่าฟงป๋อพูดถึงอดีต และมีความเสียใจอยู่บ้าง ถ้านางพญาเฟ่ยเหวินหลีไปท้าทายบางทีอาจจะสำเร็จ
“วิหารปีศาจดินอยู่ที่ใด? ปีศาจลี่ตี้นั่นคือใคร?” เย่ว์หยางทำให้คนผู้นี้สับสนและไม่ใช่เรื่องดีที่พูดเรื่องนี้โดยตรง
“ที่ด่านที่สามหุบเขาทรายมีสถานที่ลับสุดยอดนั่นคือวิหารปีศาจดินภายในผนึกพญาปีศาจลี่ตี้เอาไว้ ที่นั่นคือที่ซึ่งปีศาจที่สมรู้ร่วมคิดกับพญาปีศาจลี่ตี้ก่อกรรมทำเข็นและเป็นหัวหน้าของพญาปีศาจ เขาเป็นรองแค่ไคเทียนเท่านั้น ถ้าเจ้าบอกว่าจอมปีศาจไคเทียนเป็นจักรพรรดิอย่างนั้นจอมปีศาจลี่ตี้ก็เป็นจอมพล เนื่องจากถูกลงทัณฑ์จอมปีศาจลี่ตี้ถูกผนึกไว้ที่วิหารปีศาจดิน เขาถูกทรมาน แม้ว่าเขาจะอยู่ในด่านที่สาม แต่เขายังไม่อาจเทียบกับทุกข์ที่เราได้รับโทษของเราเป็นโทษเล็กๆ น้อยๆ ส่วนของพวกเขาเป็นบทลงโทษที่แท้จริงทุกวันจะต้องอาบด้วยเหล็กหลอมเหลวหรือลาวาหลอมเหลว และจากนั้นถูกฟ้าผ่าทุกวันนั่นคือการลงทัณฑ์พื้นฐานและยังเป็นพลังแห่งกฎสวรรค์เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังต่อต้าน” ผู้เฒ่าฟงป๋อถูกลงโทษด้วยกฎสวรรค์ เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อยไม่เต็มใจจะบอกราวกับว่าเขาได้รับทุกข์ทรมาน
“จะเข้าไปในวิหารปีศาจดินของด่านที่สามนี้ได้ยังไง?” เย่ว์หยางคิดว่าเมื่อเขาพูดถึงวิหารปีศาจดินโดยตรงและชิงเอาโองการปีศาจฟ้าหรือ? เขาก็คงต้องไป
“ท่านสามารถทำได้ทุกอย่างแน่นอนชัดเจน!” เย่คงพูดประจบผู้เฒ่าฟงป๋อ
“เหลวไหล” เจ้าอ้วนไห่ร้อง โวยวาย “โลกจะรู้ความลับนี้ได้ยังไงนี่เป็นความลับของผู้อาวุโสฟงป๋อ ผู้อาวุโสฟงป๋อกับแม่เฒ่าซาคนรักของท่าน คนเดียวที่จะต้องรู้ความลับนี้ชัดเจนที่สุดก็คือแม่เฒ่าซา”
“ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก ซาลามานถ้านางไม่รู้ชัดเจนนางยังจะเป็นผู้พิทักษ์แห่งหุบเขาทรายได้หรือ? ปกติถ้าเจ้าจะไปวิหารปีศาจดิน เจ้าจะต้องผ่านการทดสอบจากนางก่อนจึงจะเข้าไปได้แต่นางเป็นคนที่มีความรู้สึกดี อ่อนโยนนางคงไม่เห็นด้วยกับการไปวิหารปีศาจดินของพวกเจ้าแน่ ข้าสามารถชี้แนะเส้นทางให้เจ้าได้แต่ข้าไม่รับรองว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะจอมปีศาจลี่ตี้ได้ เพราะด้วยพลังของเจ้าไม่ใช่ว่าเราผู้เฒ่าจะดูถูกพวกเจ้า เห็นแล้วไม่มีหวังเลยจริงๆ พวกเจ้าจดจำไว้ให้ดี รอให้พวกเจ้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ในอนาคตเจ้าจึงจะท้าทายเขาได้ แต่ถ้าพวกเจ้าอยากเห็นจริงๆ ก็ลองไปดูได้ ตราบใดที่มองดูจากที่ไกลๆ คาดว่าคงไม่มีอันตรายใดๆ” ผู้เฒ่าฟงป๋อถูกเจ้าอ้วนไห่และเย่คงประจบมากเข้าอดไม่ได้ที่วาดแผนที่วิหารปีศาจดินอย่างง่ายๆให้เย่ว์หยาง
“สบายใจได้ เราจะแค่เข้าไปดูข้างในและจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ใช่แล้ว, ถ้าแม่เฒ่าซาถามเรื่องนี้ เราจะไม่พูดถึง เราจะไม่พูดอย่างแน่นอน” หลังจากเย่ว์หยางและเสวี่ยทันหลางและพวกพ้องจดจำแผนที่ได้พวกเขาทำลายแผนที่ทันที
“จดจำแผนที่ซับซ้อนขนาดนั้นได้อย่างรวดเร็วหรือนี่?ไม่เลว แม้ว่ายังเทียบกับเราผู้เฒ่าไม่ได้แต่ความทรงจำของพวกนี้นับว่าดีจริง” ผู้เฒ่าฟ่งป๋อประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่แล้ว, เราจะเทียบกับท่านได้อย่างไร!” เจ้าอ้วนไห่พยักหน้าอีกครั้ง
กำหนดจดจำความหมายเล็กน้อยของแผนที่ยังง่ายกว่าต้องจำความหมายไม่รู้จบสิ้นของภาษารูนสวรรค์
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไห่และคนอื่นไม่เคยมีความทรงจำนี้มาก่อน แต่กับความทรงจำที่ไม่ธรรมดาของเย่ว์หยางนั้นน่าตื่นเต้นอย่าว่าแต่แผนที่นี่เลย
หลังจากออกจากด่านที่สองหุบเขาวายุ
เย่ว์หยางพาทุกคนเข้าด่านที่สามหุบเขาทราย
ที่นี่คือโลกแปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลือง ทรายทั้งหมดเป็นกระแสหมุนวนสามารถดูดกลืนชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ใครก็ตามที่ตกลงไปในทรายดูดจะถูกฝังอยู่ภายในถ้าไม่มีความสามารถพิเศษย่อมหลบออกมาไม่ได้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยพายุทรายและทรายที่ถูกหอบฟุ้งขึ้นและซัดใส่ร่างกายมนุษย์ด้วยพลังที่รุนแรงราวกับลูกธนู ถ้าเป็นคนที่พลังต่ำกว่าปราณก่อกำเนิดแค่ทรายอย่างเดียวก็ทำอันตรายได้แล้ว อย่าว่าแต่พายุทราย
เย่คงถามคำถามเย่ว์หยางอย่างระมัดระวัง “นี่เราจะไปวิหารปีศาจดินกันจริงๆ หรือ?”
องค์ชายเทียนหลัวเห็นด้วยกับความกังวลของเย่คง“ผู้เฒ่าอวี่ป๋อรู้เรื่องวิหารปีศาจดินนี้แน่นอน แต่เขาไม่พูดว่าวิหารปีศาจดินนี้ไม่ใช่สิ่งที่พลังของเราจะสามารถท้าทายได้ เวลานั้นนางพญาเฟ่ยเหวินหลีและจักรพรรดิอวี้ก็ยังไม่กล้าท้าทายนั่นสะท้อนให้เห็นถึงระดับความยากของมัน”
เจ้าอ้วนไห่รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “นางพญากับจักรพรรดิอวี้กลัวว่าคู่แข่งจะรีบเร่งผ่านด่านไปได้ เรามีเวลาไม่จำกัด และน่าจะทำได้”
พี่น้องตระกูลหลี่เพียงแต่ฟังเย่ว์หยางไม่ว่าเขาตัดสินยังไง พวกเขาจะไม่คัดค้าน
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เสนอตัว
เย่ว์หยางหลังจากคิดอะไรบางอย่างได้เขามองดูทุกคน “ข้าเข้าใจว่าวิหารปีศาจดินนี้ ไม่ใช่สถานที่ดีงามแน่นอนแต่ตอนนี้ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดก็คือความก้าวหน้าในเรื่องพลังของพวกเราข้าเกรงว่าถ้าเราไม่เร่งรีบก้าวหน้า เกรงว่าจีอู๋ลี่จะร่วมมือกับนักรบแดนทมิฬถล่มหอทงเทียน เวลาของเราเข้มงวดจำกัดยิ่งกว่าช่วงเวลาของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีที่ผ่านมาดังนั้นข้าจึงต้องสู้ อีกเหตุผลหนึ่งถ้าเราก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก็ย่อมจะทำให้จีอู๋ลี่สังเกตพบได้ทันทีที่จีอู๋ลี่สังเกตพบ เขาจะส่งยอดฝีมือแนวหน้าออกมาลอบทำร้ายเรา เมื่อเราผ่านจุดนั้นมาได้เราจะสามารถอยู่รอดได้ แม้ว่าตอนนั้นจะถูกเปิดเผยพลังอย่างสมบูรณ์แล้ว จีอู๋ลี่เมื่อตระหนักว่าหอทงเทียนและนักสู้รุ่นใหม่ของเราเกิดขึ้นมา พวกเขาจะเลิกไล่ล่ากัปตันคุ้กและหันมาไล่ล่าเราแทน ด้วยพลังปัจจุบันของเรา เรายังไม่สามารถท้าทายคนผู้นั้นได้!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ทุกคนได้แต่เงียบ
ในที่สุดเย่ว์หยางยกอีกเหตุผลหนึ่งขึ้นพูด“จิ่วเซียวและซิวคง สามจอมภพแดนสวรรค์ตะวันตกได้รับการคาดหมายว่ากำลังฟื้นฟูพลัง ถ้าเราไม่รีบก่อนที่พวกเขาจะฟื้นฟูพลังสุดยอดข้าเกรงว่าหอทงเทียนจะพบกับหายนะครั้งใหม่ พวกเขาไม่ต้องการให้เรารุ่งเรืองขึ้นมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเราให้เร็วขึ้น เราต้องการความท้าทายมากยิ่งขึ้นวิหารปีศาจดินเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกจุดหนึ่ง!”
เสวี่ยทันหลางพยักหน้าจริงจัง “ต่อให้ตาย เราจะท้าทายจนถึงที่สุด!”
เจ้าอ้วนไห่เย่คง องค์ชายเทียนหลัว พี่น้องตระกูลหลี่เหยียดแขนปฏิญาณกับเย่ว์หยาง“รวมพวกเราไว้ด้วย!”