ตอนที่ 802 กระบี่พญาเขียวใหม่
กระบี่พญาเขียวในมือของท่านหน้ากากผีพลันเปล่งรัศมีแพรวพราวทันทีเกิดเป็นบอลแสงหนึ่งใหญ่และหนึ่งเล็ก
บอลแสงสีเขียวเป็นประกายแพรวพราวจับตาทุกคน ชั้นระลอกพลังที่รุนแรงปรากฏออกมารอบตัวนายท่านพลังผันผวนที่อธิบายไม่ถูกกระจายออกมาอย่างรวดเร็วไปในทุกตำแหน่ง ฝูเจิ้งจือรู้สึกตัว ‘อวกาศผันผวน!’
พลังผันผวนรุนแรงก็หมายความว่ามิติรอบๆปั่นป่วนอย่างมาก
มิติใดๆที่ปั่นป่วนจะน่ากลัวน่าสยดสยองสำหรับนักสู้ทุกคน
หน้าของฝูเจิ้งจือบิดเบี้ยว เขาลอยตัวออกมาและดึงตัวพยายามหลบหนี ถ้าเขาถูกดึงดูดเข้าไป เขาอาจถูกตัดเป็นชิ้น
เพียงแต่หลังจากถอยออกมาเกินสามสิบเมตรเขาจึงหยุดได้เขาหันไปมองท่านหน้ากากผีทันทีด้วยความหวาดกลัวในใจ ทั่วทั้งค่ายทหารสั่นสะเทือน ทหารทุกคนเผ่นหนีออกมาและเมื่อมองฉากภาพข้างหน้า พวกเขาตะลึง
“เกิดอะไรขึ้น?” จี๋เจ๋อถามพร้อมกับทำหน้าประหลาดใจ
“ข้าไม่รู้” ฝูเจิ้งจือมองดูตกตะลึง สายตาของเขาจับนิ่งดูที่บอลแสงสีเขียวหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กในมือของเจ้านาย ระลอกพลังที่เปล่งออกมาไม่หยุดหย่อนมาจากบอลทั้งสอง
‘นั่นคือกระบี่พญาเขียวจากตระกูลข้าหรือ?’
กระบี่พญาเขียวเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลฝูซึ่งเขาได้รับมาเมื่อเขายังอายุน้อย หลังจากใช้มันมาหลายปี เขาคิดว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับมันอย่างสมบูรณ์ แต่กระบี่พญาเขียวในมือของเขาไม่เคยสร้างภาพอย่างที่เห็นข้างหน้า หรือจะเป็นเพราะว่ากระบี่เลือกเจ้าของที่สมควร?
‘หรือว่ากระบี่พญาเขียวยังมีความลึกลับอื่นที่ยังค้นไม่พบ
เมื่อคิดดูแล้ว ฝูเจิ้งจือถึงกับตื่นเต้น แต่เขารู้สึกวิตก ‘ถ้ากระบี่พญาเขียวก่อนนี้เป็นที่ต้องตาของเจ้านายแล้วละก็..อย่างนั้นเขาไม่ควรสนใจกับความก้าวหน้าของกระบี่พญาเขียวไม่ใช่หรือ?’
แสงรัศมีเปล่งออกมาจากกระบี่ยิ่งสว่างเจิดจ้ามากขึ้นกฎอวกาศผันผวนยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ร่างของถังเทียนลอยจากพื้นขึ้นไปในอากาศ
ความปั่นป่วนคงอยู่หนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะสงบ และกระบี่พญาเขียวรั้งรัศมีกลับคืน
ถังเทียนลงมาอยู่ที่พื้นและโยนกระบี่พญาเขียวให้ฝูเจิ้งจือ “เอาไปพิสูจน์ดูด้วยตัวเอง”
ฝูเจิ้งจือรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที เขาคว้ากระบี่และตอบรับอย่างปลาบปลื้ม“ขอบคุณนายท่าน!”
นับแต่เขารู้แจ้งเกราะเทพเจ้า เขาก็ได้รับความรู้กฎธรรมชาติประเภทต่างๆทั้งวันทั้งคืน ความเข้าใจกฎธรรมชาติของเขาอยู่เหนือคนอย่างฝูเจิ้งจือและจี๋เจ๋ออย่างมากมาย แต่หลังจากเห็นประจักษ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตกใจทันที สายใยแสงเขียวที่งอกออกมาในความเป็นจริงก็คือกฎธรรมชาติ ซึ่งก็หมายความว่ากฎธรรมชาติสามารถเติบโตได้อย่างนั้นหรือ? ใยแสงที่งอกในมิติอิสระอาจถือว่าเป็นการควบรวมกฎธรรมชาติ
ความคิดนับไม่ถ้วนผุดผ่านเข้ามาในใจของเขา เขาไม่ได้ทักทายใครและหายวับไป
เขาต้องการเวลาย่อยซึมซับความรู้
“เล่าฝู..เอ่อ..มาให้พี่น้องของเราได้เห็นประจักษ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
จี๋เจ๋อเดินเข้ามาด้วยความสงสัย ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น สมาชิกอื่นๆก็มารวมตัวกัน ความสับสนวุ่นวายทุกคนต่างก็ได้เห็น ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่สนใจก็คงเป็นการโกหก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนเป็นชาวเมืองพายุพวกเขาจะไม่เคยเห็นกระบี่พญาเขียวมาก่อนได้ยังไง?
ฝูเจิ้งจือเองก็เต็มไปด้วยความสงสัย
กระบี่พญาเขียวมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกไปมาก สีเขียวเข้มแต่เดิมกลายเป็นสีเขียวเหมือนกับหยก ตัวกระบี่คลุมไปด้วยเส้นตารางสีเขียวเข้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนง่ายๆ ท้ายด้ามกระบี่มีวงกลมสองสามวงซึ่งเป็นขนคล้ายกับพืชน้ำส่ายไหวอย่างนุ่มนวล แต่ลักษณะโดดเด่นเฉพาะที่สุดก็คือเส้นสายเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่สม่ำเสมอ
ทุกคนอดประหลาดใจไม่ได้
ฝูเจิ้งจือตกใจอย่างหนักเนื่องจากกระบี่ พลังผันผวนจากกระบี่พญาเขียวกลายเป็นสิ่งไม่คุ้นเคยสำหรับเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าเขา เขาไม่มีทางเชื่อว่ากระบี่คู่ที่อยู่ต่อหน้าเขาคือกระบี่พญาเขียวดั้งเดิมของเขา
กฎอวกาศที่ปั่นป่วนทำให้หัวใจของทุกคนเต้นแรงจนสังเกตได้เลือนราง
ฝูเจิ้งจือที่มีประสบการณ์กับพลังผันผวนยกกระบี่สั้นในมือซ้ายทันทีและตวัดออกไป
กระบี่สั้นหายไปในกลางอากาศ
ครู่ต่อมาในพื้นที่สนามฝึกฝนห่างออกไป 800เมตร เกิดระเบิดเป็นหมอกเขียวทันที
หมอกเขียวกระจายตัวอย่างรวดเร็วในพริบตาทั่วทั้งสนามฝึกก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกเขียว
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนพวกเขาได้รับการฝึกฝนในสนามฝึกฝนมาหลายวัน และรู้ดีแก่ใจถึงความยาวของสนามฝึก สนามฝึกรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความยาว 3กิโลเมตร และมีแผ่นหินบนพื้นหนา 1.5 เมตร
หมอกเขียวไม่สลายลงแม้แต่น้อยและมองดูเหมือนกับทะเลหมอกเขียว
ฝูเจิ้งจือโบกมือทะเลหมอกเขียวที่คลุมทั่วสนามฝึกฝนสลายไปทันที หมอกเขียวนี้สามารถปรากฏและหายได้โดยไม่มีคำเตือน
“ใครก็ได้เรียกสายลมกระโชก”
คนที่พูดก็คือฝูเจิ้งจือผู้มีความประหลาดใจอยู่ในใบหน้า
กฎธรรมชาติลมเป็นกฎทั่วไปและมีคนฝึกกฎธาตุลมมากที่สุด มีใครบางคนเรียกพลังสายลม
พื้นหินที่หนาซึ่งคลุมไปทั้งสนามฝึกค่อยๆลดขนาดลงเหมือนทรายและพอถูกลมพัดมันก็เริ่มถูกขัดบางลงด้วยความเร็วที่เห็นด้วยตาเปล่า
ทุกคนที่ตอนแรกตกตะลึงกับทะเลหมอกเขียวกลับตกตะลึงอีกครั้ง
ร่างของจี๋เจ๋อกระพริบวาบและปรากฏตัวอยู่ที่สนามฝึกซ้อม ทันทีที่เขายืนที่พื้น ซี่.... เขาอยู่ในท่ามกลางแผ่นหิน เขาก้มลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีรูเล็กๆในหินนับไม่ถ้วนเป็นกลุ่มหนาเหมือนกับว่ามีฝูงมดกัดกินจนแผ่นหินอ่อนร่วน
เขารู้สึกตกใจ
จากนั้นเขาค่อยเข้าใจสาเหตุที่แผ่นหินกลายเป็นทราย ทั่วทั้งสนามฝึกฝนถูกกัดกร่อนอย่างสิ้นเชิง และดูร่วนหลวมไปหมด
จี๋เจ๋อเคยเห็นเรื่องราวต่างๆมามากและมีความรู้ เมื่อเห็นรูขนาดเท่าเข็ม เขารู้ว่ามีบางอย่างที่ทำด้วยกฎธรรมชาติอวกาศ แต่ปริมาณและขนาดของมันใหญ่เกินไป เขาไม่เคยคาดเลยว่ามันยังจะมีพิษอยู่ด้วย
อาวุธที่มีพิษและพลังกฎอวกาศคุณสมบัติที่ไม่ง่ายจะรวมอยู่ด้วยกัน
ฝูเจิ้งจือสะบัดกระบี่สั้นอีกครั้งและเหมือนครั้งก่อน เมื่อมันหลุดออกไปจากมือของเขามันหายและไปปรากฏห่างออกไปร้อยเมตรทันที ขณะที่ทุกคนคิดว่ากระบี่กำลังจะระเบิดพลังอีกครั้งฝูเจิ้งจือสะบัดกระบี่อีกเล่มหนึ่งในมือ และกระบี่ที่อยู่ห่าง 100 เมตรหายไปอย่างเงียบงัน
ซี่....
เป้าหมายอยู่บนสนามฝึกอีกสนามหนึ่งมีควันและทรายลอยฟุ้งขึ้น และมีรูขนาดเท่าหมัดเห็นได้ชัดทะลวงผ่านลงไป
หน้าของทุกคนที่ตกตะลึงอยู่แต่เดิมแล้วยังบิดเบี้ยวอีกครั้งความกลัวเหลือจะพรรณนาปรากฏอยู่ในดวงตาพวกเขา
ไม่มีใครที่เป็นมือใหม่ มีหรือที่พวกเขาจะไม่ตระหนักถึงพลังในครั้งนี้? วิธีการดังกล่าวใช้สำหรับการลอบสังหารไม่สามารถหลบเลี่ยงและป้องกันได้ และยิ่งกว่านั้นพวกเขายังไม่รู้สึกถึงความผันผวนของมิติอวกาศใดๆ ก็หมายความว่ามันแทบจะป้องกันไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีพิษ!
ทุกคนเงียบ
แม้แต่ฝูเจิ้งจือก็ยังตกใจ ตะลึงเป็นไก่ตาแตก
กระบี่พญาเขียวเดิมสามารถใช้กฎอวกาศและเมื่อเขาสู้กับถังเทียน เขาอาศัยมันช่วยหลบหนี แต่กฎธรรมชาติอวกาศเดิมปลดปล่อยแสงโล่ป้องกันจากพลังมิติปั่นป่วนอย่างหนาแน่น
มิติอวกาศที่ปั่นป่วนคือสิ่งที่นักสู้ทุกคนที่ฝึกในกฎอวกาศหวังว่าจะทำให้ลดลงให้มากเท่าที่ทำได้
แต่มิติอวกาศปั่นป่วนที่น้อยและเล็กยิ่งพรางซ่อนตัวได้ดี ก็จะยิ่งมีพลังรุนแรงมาก
แต่ลดความผันผวนของมิติอวกาศได้เป็นปัญหาที่ยากยิ่งสำหรับทั้งแดนบาป และหลายคนใช้ความพยายามไปมากมายโดยไม่ได้ผล แต่ความผันผวนของมิติอวกาศของเขาเบาบางมาก และแม้แต่ฝูเจิ้งจือเองก็ยังยากตรวจสอบ
ใจของเขามึนชาและสะท้าน
‘นี่....นายท่านทำแบบนี้ได้ยังไง?’
ในท่ามกลางความตกใจ,เขาไม่รู้ว่าคนทั่วทั้งค่ายฝึกเหมือนกับอยู่ในอาการเสียสติ
“เล่าหวัง,ตบหน้าข้าที, ข้ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า!” เล่าปี๋บ่นพึมพำใบหน้าหดหู่
เล่าหวังที่กำลังมีสีหน้าอารมณ์อย่างเดียวกันตบทันที
ผัวะ!
“เฮ้ย..แล้วกันสิโว้ย!” เสี่ยวชิวอุทานออกมาเขากุมหน้าและหันมาถลึงตาใส่เล่าหวัง “เล่าหวัง! บ้าหรือเปล่าทำไมมาตบหน้าข้า!”
เล่าหวังค่อยหายตกตะลึงและได้สติ เขากล่าวขอโทษทันที “โอวข้าตบผิดคน, ผิดคนจริงๆ”
เล่าปี๋ค่อยรู้สึกตัวและหัวเราะ “ข้าไม่ได้ฝัน ข้าไม่ได้ฝัน เล่าฝูคราวนี้เจ้าได้รับผลประโยชน์กำไรแล้ว”
“กำไรแน่ๆ” ทุกคนที่อยู่รอบๆพยักหน้าถอนหายใจอย่างมีอารมณ์
ฝูเจิ้งจือถูกปลุกตื่นจากภวังค์เพราะคำว่า “กำไรแน่ๆ” เขาถือกระบี่พญาเขียวและซ่อนไว้เก็บอย่างกังวล
“ดูท่าทางเล่าฝูกลัวอย่างนั้นทำอย่างกับว่าเราต้องการจะขโมยมันไปจากเขาเสียอย่างนั้น!” เล่าปี๋พูดอย่างไม่สบายใจ
“เจ้าไม่อยากได้หรือ?” เล่าหวังถาม
“อยากได้จะแย่อยู่แล้ว!” ทุกคนตะโกนลั่น
สายตาทุกคนเต็มไปด้วยความอิจฉา ทุกคนจับตามองฝูเจิ้งจือที่กำลังวิ่งหนีออกไป
“ใครจะรู้ว่านายท่านทำของแบบนั้นได้!” เล่าปี๋ทำท่าเหมือนกำลังถอนหายใจ
“ลึกล้ำจริงๆ!” เล่าหวังกล่าว
“นี่ไม่เคยเกิดมาก่อน!” เสี่ยวชิวโพล่งออกมา
“เราไม่ปล่อยให้เล่าฝูผูกขาดความสะดวกสบายนี้แน่” เล่าปี๋พูดอย่างมีอารมณ์
“ใช่แล้วคราวนี้เล่าฝูทำได้ เขาโชคร้ายกลายเป็นดี”
“ท่านจี๋เจ๋อก็คงจะได้เหมือนกัน” เสี่ยวชิวกล่าว
ทุกคนหันหน้ามาพร้อมกัน จริงๆท่านจี๋เจ๋อหายไปแล้ว
“พวกเจ้าต้องการเป็นอย่างพวกเขาหรือ?” เล่าปี๋หันมาถาม
“พวกเจ้ามีสมบัติไหม?”เล่าหวังแย้ง
“วิญญาณยากไร้ได้แต่ฝัน” เสี่ยวชิวพูดอย่างไม่สบายใจ
เล่าปี๋พูดออกมา “นายท่านบอกว่ามันเป็นสมบัติหรือ? พวกเราส่วนใหญ่อาจไม่มีสมบัติแต่พวกเราทุกคนก็มีอาวุธดีๆ อยู่สองสามชิ้นไม่ใช่หรือ? ต่อให้ไม่สามารถทำได้ดีเหมือนอย่างของเล่าฝู,แต่มันก็ยังจะมีความก้าวหน้าได้ และพวกเราก็ยังจะได้รับประโยชน์อยู่ดี”
พอพูดออกไปเช่นนั้น ทุกคนเงียบ
ตาทุกคนกลายเป็นสีแดงด้วยความริษยาอีกครั้ง ‘ใช่แล้วถ้านายท่านสามารถสร้างสมบัติได้ อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องง่ายที่จะปรับปรุงสิ่งของต่างๆให้ก้าวหน้าขึ้น?’
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสมบัติ แต่อาวุธของพวกเขาก็มีคุณภาพดีและมีคุณสมบัติในการใช้งานที่ดีบางส่วนอยู่ในตัว ความจริงอาวุธหลายอย่างแค่มีขีดคั่นจากสมบัติแค่สายใยเดียวถ้าสามารถปรับปรุงพัฒนาเล็กน้อย แม้เพียงน้อยนิดอาวุธเหล่านั้นมีความเป็นไปได้จะเข้าขอบเขตเป็นอาวุธสมบัติ
นั่นจะทำให้คุณภาพของอาวุธเหล่านั้นก้าวกระโดด
มีสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นในแดนบาป และแม้ว่าอาวุธในมือของพวกเขาจะเป็นอาวุธชั้นเลิศ แต่ความแตกต่างในเรื่องพลังราวกับฟ้าและดิน พวกเขารู้ด้วยตัวเองว่าถ้าอาวุธของพวกเขาสามารถพัฒนาขึ้นได้แม้สักเล็กน้อย คุณค่าของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
‘แล้วจะเป็นยังไงถ้าพวกเขายกระดับอาวุธของพวกเขาเป็นสมบัติ?’
เมื่อคิดเรื่องนั้นได้ เรื่องที่ล่อใจนี้กลายเป็นสิ่งดึงดูดใจพวกเขาทันที ในสถานะของพวกเขาทุกคนเป็นคนสำคัญในตระกูลของตนเอง สมบัติธรรมดาไม่สามารถสั่นสะท้านพวกเขาได้ แต่มีสมบัติที่ประมาณค่ามิได้ ที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ทุกคนเริ่มคิดหาวิธีขอให้นายท่านช่วยพัฒนาอาวุธของพวกเขา
“เราน่าจะไปคุกเข่าที่หน้าห้องของเขาดีไหม?” ใครบางคนเสนอ
“ยังมืออาชีพไม่พอ พวกเจ้าจะโดนนายท่านจับแขวนกับเสา” ทุกคนแค่นเสียงทันที
คนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย
“เอาเงินให้นายท่านดีไหม?”
“พวกเจ้ามีเงินมากกว่านายท่านหรือ?”
ทุกคนแค่นเสียง
“หาสาวงามให้เขาสักคนดีไหม?”
“แม่นางกู้เสวี่ยคงได้แหกอกเจ้า”
“แม่นางหานปิงหนิงคงได้กลับมาฆ่าเจ้า”
“....”
“....”
“งั้นเรามีแต่ต้องใช้แผนชายงาม!”
“นายท่านคงได้ฉีกอกพวกเจ้าตาย”