ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 174 เกมยิงปืน
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 174 เกมยิงปืน
แปลโดย iPAT
ฝูงผีดิบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำปล่อยควันพิษออกมาและพยายามปีนขึ้นเรือท่ามกลางความมืด
เหออี้ซื่ออ้าปากค้างขณะที่เขาลดหน้าไม้ลง ผีดิบที่น่าสยดสยองครอบครองทุกตารางนิ้วรอบตัวเขา เขารู้สึกเหมือนถูกโยนเข้าไปในฝันร้ายที่น่ากลัวและไม่สามารถตื่น แม้พวกเขาจะเป็นอัจฉริยะจากสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ แต่ชะตากรรมของพวกเขาก็ชัดเจนมากหากพวกเขาถูกดึงลงไปในน้ำ
ห่าวปิงหยางคำรามขณะเหวี่ยงปืนใหญ่แสงไปรอบๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังล้มเหลวในการส่งผีดิบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำออกไป ตรงข้าม ผีดิบทั้งหมดระเบิดและปล่อยควันพิษออกมา ในเวลาเดียวกันของเหลวสีดำจากร่างของพวกมันก็เริ่มกัดกล่อนเรือ มันทำให้เกิดเสียงฟู่และควันลอยขึ้น มันตกลงบนใบหน้าของห่าวปิงหยางเช่นกัน แม้พลังปราณของเขาหยุดมันเอาไว้ แต่เขายังดูค่อนข้างน่าสมเพช
“บึม บึม บึม บึม!” ผีดิบที่เกาะติดเรือระเบิดและสร้างม่านควันพิษขึ้นรอบๆ ทัศนวิสัยของคนบนเรือถูกบดบัง ทั้งหมดที่พวกเขาได้ยินคือเสียงคร่ำครวญของฝูงผีดิบ
เมื่อมองไม่เห็น จินเป่าเริ่มตื่นตระหนกและกรีดร้อง “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!” เขารู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในนรกที่น่าสะพรึงกลัวเพียงลำพัง เขาตะโกนขณะยิงลูกดอกออกไป นอกจากนี้เขายังปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อสกัดกั้นควันพิษที่โจมตีเข้ามาจากทุกทิศทาง หลังจากทั้งหมดเรือลำเล็กเกินไป เขาไม่สามารถใช้หุ่นเชิด
“บึม บึม บึม บึม!” ลูกดอกอีกาเพลิงหมดลงในพริบตา พวกมันหายไปในควันหนาทึบและทำให้เกิดความปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม มันดูเหมือนเรือลำเล็กกำลังแล่นผ่านพายุใหญ่และไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปข้างหน้า ขณะเดียวกันผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนยังพยายามปีนขึ้นเรือและดึงเรือลงไปในน้ำ
“ไม่ เรือกำลังจะจม!” จินเป่าตะโกนอย่างลนลาน เป็นเพียงเวลานี้ที่มือที่ชื้นแฉะแต่เหี่ยวแห้งคว้าข้อมือของเขา
“อ๊าก...” จินเป่ากรีดร้อง เขาเซไปด้านหลังและชนกับบางคน แม้เขาจะปัดมือออกไปด้วยพลังปราณแต่ร่างกายของเขายังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
จินหยวนได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องชาย เขาตะโกนถาม “จินเป๋า เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“ขะ...ข้า...” จินเป่ากำลังจะพูดแต่เขากลับถูกกดให้หมอบลงขณะที่ปืนใหญ่แสงส่งเสียงหวีดหวิวผ่านศีรษะของเขาไป อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถปัดเป่าควันพิษออกไป
“ไม่ พลังปราณของเข้ากำลังจะหมด!” เสียงครวญครางของเหออี้ซื่อดังขึ้น
อีกสี่คนไม่กล่าวสิ่งใด จางหลานฉิงตกตะลึงขณะที่ห่าวปิงหยางใช้ปืนใหญ่แสงพยายามขับไล่ผีดิบที่ปืนขึ้นเรือ
หลี่ฉิงซานใช้ดาบวายุผ่าแยกร่างผีดิบที่ตกลงมาจากด้านบนและรู้สึกเหนื่อยใจกับการตอบสนองของสหายบนเรือ ผีดิบในน้ำน่ากลัวแต่ความแข็งแกร่งของพวกมันยังไม่ใกล้เคียงผีดิบในห้องเก็บศพก่อนหน้านี้ แม้แต่จอมยุทธ์ทั่วไปในยุทธภพก็สามารถจัดการพวกมัน
นักพรตผีดิบประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศ เขาสามารถโจมตีจิตใจและทำให้ศัตรูสูญเสียพลังปราณ แม้เขาจะไม่ใช่นักกลยุทธ์แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ มันจะยิ่งอันตรายหากดาบเงาสังหารของเขายังอยู่และลอบโจมตีจากในที่มืด
หลี่ฉิงซานสัมผัสกระเป๋าที่เก็บยันต์แต่เขาเพียงเผยรอยยิ้มและชักมือกลับ เขากล่าวกับจางหลานฉิงว่า “เตรียมตัวออกเดินทาง!”
จางหลานฉิงตอบด้วยคำถาม “กระไรนะ!?”
เสี่ยวอันคว้าหน้าไม้มาจากมือของจินเป่าและบรรจุลูกดอกชุดใหม่อย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ยิงสาดลูกดอกอีกาเพลิงออกไปรอบๆ ลูกดอกทั้งหมดพุ่งปะทะผีดิบที่พยายามปีนขึ้นเรืออย่างแม่นยำ
“บึม บึม บึม บึม!” เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนฟังดูเหมือนเป็นการระเบิดครั้งเดียว คลื่นอากาศและน้ำพุ่งเข้าปะทะตัวเรือ
จางหลานฉิงคำรามและส่งพลังปราณให้กับเรือ คลื่นอากาศที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังส่งเรือบินออกไปและทิ้งฝูงผีดิบเอาไว้เบื้องหลัง
เมื่อสายตากลับมามองเห็นอีกครั้ง เหออี้เซี่ยมีความสุขมาก เขามองคนอื่นๆและพบว่าพวกเขามีความสุขเช่นกัน มีเพียงหลี่ฉิงซานและห่าวปิงหยางเท่านั้นที่ยังสงบนิ่ง
เสียงครวญครางดังขึ้นอีกครั้งเมื่อผีดิบจำนวนมากลอยเข้ามาและพ่นควันพิษ
เสี่ยวอันอยู่ที่หัวเรือ เสื้อผ้าของนางสบัดตัวขึ้นขณะที่เส้นผมของนางปลิวไปด้านหลังปะทะใบหน้าของจางหลานฉิง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ทั้งหมดที่เขารู้สึกคือเด็กที่เงียบสงบผู้นี้ส่องประกายเจิดจ้ามาก
การแสดงออกของนางยังเหมือนเดิม นางถือหน้าไม้ด้วยมือคู่เล็กๆที่บริสุทธ์ ยืนอย่างมั่นคงอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย ผีดิบที่ลอยอยู่ในน้ำไม่สามารถเข้าใกล้เรือในระยะสิบก้าว
“บึม!” เรือตกลงบนผิวน้ำและสร้างคลื่นกระจายออกไป มันพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดและทิ้งพื้นที่อันตรายเอาไว้เบื้องหลัง เสียงโห่ร้องดังขึ้นบนเรือ กระทั่งห่าวปิงหยางก็ยังถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลี่ฉิงซานวางมือบนไหล่เสี่ยวอันและเผยรอยยิ้มชื่นชม ท้ายที่สุดคนใกล้ชิดของเขาก็เชื่อถือได้มากกว่าสหายที่พึ่งรู้จัก
มุมปากของเสี่ยวอันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นนางก็กระพริบตาที่ระยิบระยับเหมือนดวงดาว
หลี่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นนางก็โยนลูกประคำหัวกะโหลกลงไปในน้ำ
ห่าวปิงหยางพึมพำ “นั่นเด็กจริงๆงั้นหรือ?” กระทั่งจอมยุทธ์ขั้นหกเช่นเขาก็ยังทำผลงานได้ไม่ดีเท่ากับเสี่ยวอัน แน่นอนว่าเขาแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ปืนใหญ่แสงของเขาก็ทรงพลังมากและมีระยะโจมตีกว้างไกล แต่มันไม่เหมาะสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด
หลี่ฉิงซานยักไหล่ ก่อนที่เขาจะกล่าวสิ่งใด ห่าวปิงหยางก็เริ่มดุด่าและพ่นน้ำลายใส่ศิษย์น้องของเขา “นี่คือความพยายามของพวกเจ้างั้นหรือ? แม้แต่เด็กยังมีประโยชน์กว่าพวกเจ้า ข้าคิดว่าเราสามคนจะปลอดภัยกว่าหากไม่มีพวกเจ้า!”
พวกเขามองหน้ากันและก้มศีรษะลงโดยไม่สามารถกล่าวสิ่งใด
เสี่ยวอันส่งหน้าไม้คืนให้จินเป่าและส่งอีกอันให้จางหลานฉิง นางรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้น่าสนใจมาก มันสนุกกว่าเมืองเจียเผิงมาก อย่างน้อยที่สุดการยิงผีดิบก็สนุกกว่าการแทงมด
หากห่าวปิงหยางและคนอื่นๆรู้ว่าการต่อสู้ที่ยากลำบากของพวกเขาเป็นเพียงเกมส์ยิงปืนที่น่าสนใจสำหรับนาง พวกเขาคงตกตะลึงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับอันตรายที่นางประสบมากับหลี่ฉิงซาน นี่เหมือนเกมส์ที่ไม่มีอันตรายใดๆทั้งสิ้น
จางหลานฉิงกล่าว “เจ้าสามารถเก็บไว้ ข้ายังมีสำรองอยู่อีกอัน” จางหลานฉิงต้องการลูบศีรษะเสี่ยวอันแต่นางหลบมือของเขา เขาไม่รู้สึกอึดอัดใจแต่ลูกหัวตัวเองและเผยรอยยิ้มแห้งๆ
จินเป่ากล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “ข้าจะมอบของข้าให้เจ้าเช่นกัน” เขาติดหนี้บุญคุณหลี่ฉิงซานกับเสี่ยวอันสองครั้งแล้วแต่เขาไม่สามารถตอบแทนบุญคุณ เมื่อจางหลานฉิงแสดงความใจกว้างออกมา เขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉย นอกจากนี้หน้าไม้ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่ออยู่ในมือของเสี่ยวอัน หากเสี่ยวอันถือมันไว้ เขาจะรู้สึกปลอดภัยมากกว่าการใช้มันด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นทั้งสองคนยังมอบลูกดอกอีกาเพลิงจำนวนมากให้นาง นี่เป็นค่าใช้จ่ายที่พวกเขาต้องจ่ายหากต้องการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เมื่อเทียบกับการโยนมันทิ้งเหมือนขยะ มันจะดีกว่าที่จะมอบให้เด็กผู้นี้
หลี่ฉิงซานขอบคุณพวกเขาแทนเสี่ยวอัน หน้าไม้พันศรเป็นอาวุธร้ายแรง พวกมันเพียงพอที่จะคุกคามจอมยุทธ์ขั้นสองหรือสูงกว่าและมันไม่ได้ใช้พลังปราณมากนัก หลังจากทั้งหมดนี่ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับต่ำทั่วไป หน้าไม้พันศรหนึ่งด้ามสามารถแลกเปลี่ยนเม็ดยารวบรวมพลังปราณได้หลายร้อยเม็ด
เสี่ยวอันก้มหน้าลงและเล่นหน้าไม้อย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานยังประเมินมูลค่าของหน้าไม้พันศรต่ำเกินไป ศิษย์นิกายม่อจื้อเหล่านี้ไม่ได้นำยันต์ติดตัวมาแม้แต่แผ่นเดียว สิ่งที่พวกเขานำมามีเพียงหุ่นเชิดสองสามตัวและหน้าไม้พันศร นั่นคือความมั่นใจที่พวกเขามีต่ออาวุธชิ้นนี้
หากสินค้าชนิดนี้ถูกวางขายในท้องตลาด มันสามารถเรียกเม็ดยารวบรวมพลังปราณมากกว่าหนึ่งพันเม็ดได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามในฐานะผู้สร้าง วัตถุดิบที่ใช้สร้างมันขึ้นมาไม่ได้มีราคาสูงนัก นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถแสดงความใจกว้างและมอบมันให้กับเสี่ยวอัน
ทันทีที่พวกเขาออกจากพื้นที่อันตราย ลูกปัดหัวกะโหลกก็กลายเป็นเปลวเพลิงกลืนกินผีดิบทั้งหมดราวกับมันเป็นงานเลี้ยงครั้งใหญ่
ไม่นานหลังจากนั้นเงาร่างในชุดดำก็มาถึง พวกเขาคือผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ภายใต้การนำของจ้าวจื่อป๋อ พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เรือ ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของพวกเขาก็เพียงพอที่จะนำพวกเขามาที่นี่แล้ว
เช่นเดียวกับลิง พวกเขายื่นมือไปจับหินย้อยบนเพดานและส่งตัวเองเคลื่อนที่ไปข้างหน้า บางครั้งพวกเขาจะใช้เท้าเตะกำแพงและทะยานร่างออกไป มันเหมือนพวกเขาบินอยู่กลางอากาศ อย่างไรก็ตามพวกเขากลับเคลื่อนที่ได้รวดเร็วไม่แพ้เรือที่ไหลไปตามกระแสน้ำ
คนที่เคลื่อนไหวได้งดงามที่สุดคือจ้าวจื่อป๋อ เขาไม่แม้แต่จะต้องขยับขา เขาสามารถยืนอยู่บนผิวน้ำเหมือนมันเป็นพื้นดิน แต่หากมองดูอย่างใกล้ชิดจะเห็นดาบเล่มเล็กอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
ตอนนี้พวกเขาหยุดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ เซี่ยหนานเต๋อกล่าว “มันค่อนข้างแปลก ก่อนหน้านี้มีเสียงการต่อสู้ชัดเจนมาก แต่เหตุใดไม่มีศพอยู่เลย?”
“ผู้ใดจะสน ตามไปและสังหารพวกมันทั้งหมด เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกมันจะหนีออกจากถ้ำ”
“ไม่ใช่ว่าเราต้องการใช้พวกมันเพื่อฆ่านักพรตผีดิบงั้นหรือ?”
“ข้าไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะไปถึงที่กบดานของนักพรตผีดิบจริงๆ”
หลังจากครุ่นคิด จ้าวจื่อป๋อก็โบกมือและส่งสัญญาณให้สังหาร ในสถานที่แคบๆ ห่าวปิงหยางไม่สามารถปลดปล่อยพลังอำนาจที่แท้จริงของปืนใหญ่แสง พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด
ดวงตาของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ส่องประกายขึ้นขณะที่พวกเขาทะยานร่างไปข้างหน้าด้วยเจตนาสังหาร บางคนตื่นเต้น บางคนหัวเราะ ขณะที่บางคนเลียริมฝีปากอย่างกระหายเลือด “มันนานมากแล้วตั้งแต่พวกเราออกล่าครั้งสุดท้าย”