ตอนที่ 790 ซุ่มจู่โจมยามราตรี
‘เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นหรือ?’
จงหลีไป๋เงยหน้า สีหน้าของเขาดุ
คนที่วิ่งเข้ามารายงานเป็นชายชราจากเมืองบูรพาอมตะ ชายชรานั้นกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากรู้สึกเหมือนตาของเจ้านายที่กำลังจ้องมองเขาคล้ายกับหมาป่าที่เตรียมจะกลืนกินเขาได้ทั้งตัว จงหลีไป๋รู้สึกไม่พอใจความสำเร็จของตนเอง แต่ในสายตาของบริวารของเขาให้ความรู้สึกน่ากลัวเกินไป
ตามเส้นทางพวกเขาเหมือนกับพายุฤดูใบไม้ร่วงกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นทั้งหมดถล่มที่มั่นภูเขาจนราบหมดทางสู้ พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากเนื่องจากพวกเขาหลายคนเคยสู้กับพวกโจรมาก่อน โจรที่น่าสงสารและดุร้ายยากจะรับมือได้ กลยุทธของพวกเขาดุดันและเหนียวแน่น พวกเขาจึงยากจะพ่ายแพ้ได้
การเปลี่ยนความภักดีของพวกเขาส่วนใหญ่เนื่องมาจากสถานการณ์บังคับ แต่หลังจากอยู่กับจงหลี่ไป๋พวกเขาค่อยมีความรู้สึกจริงใจให้เขา
ความแข็งแกร่งจะได้รับการนับถือเสมอ
แม้ว่าพวกฝีมือดีต่างๆของเมืองบูรพาอมตะจะไม่เข้าใจว่าแม่ทัพทหารคืออะไร แต่ชัยชนะของพวกเขามีมาอย่างตลอด การชนะสงครามหลังจากสู้ต่อเนื่องเป็นอาหารที่ดีที่สุดของพวกเขา เมื่อลิ้มรสแล้วก็ไม่ต้องการจะหยุด
หัวหน้าของพวกเขาผู้ร้ายกาจต่อศัตรูความจริงกลับดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรม ใครก็ตามที่ฝึกฝนเป็นอย่างดี ใครก็ตามที่มีความสำเร็จสูงจะได้รับรางวัลมาก ด้วยวินัยที่เข้มงวดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาและระบบรางวัลมากมายที่สนับสนุนให้พวกเขามุ่งมั่นจะทำผลงานให้ดีขึ้นโจรที่รวมตัวไม่ติดเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
แม้แต่โจรที่ยอมแพ้ในเวลาต่อมาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่สามารถจะใช้ชีวิตในเมืองได้อีกต่อไป พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างดี แต่สำหรับคนหยิ่งและไม่จริงใจ คนเจ้าเล่ห์ฉลาดแกมโกง จงหลีไป๋จะตัดหัวทิ้งโดยไม่ลังเล
เจ้านายเป็นคนดุร้ายที่แม้เห็นแม่น้ำสายเลือดก็ยังไม่กระพริบตา แม้แต่โจรที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายและเจ้าเล่ห์ก็ยังตัวสั่นเป็นลูกแกะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
คนสอดแนมที่ถูกจงหลีไป๋มองดูถึงกับสั่น และพูดขึ้นทันที “มีใครบางคนที่ข้างนอกต้องการจะพบกับนายท่าน!”
“พบข้า?” จงหลีไป๋หรี่ตา
“ขอรับ พวกเขาบอกว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อเจรจาธุรกิจกับสลัดภูผาบูรพาของเรา”
“ธุรกิจ?” จงหลีไป๋พึมพำ เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ
เขาดึงทหารออกมาจากเมืองบูรพาอมตะและเพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจ เขาปลอมกองกำลังทั้งหมดเป็นเหมือนโจรป่า และตั้งชื่อตัวเองเป็นโจรสลัดภูผาบูรพา
มักจะมีการสู้รบระหว่างโจรด้วยกันเสมอ และไม่มีใครเชื่อมโยงพวกเขากับบุรุษหน้ากากผี
หลังจากยึดครองที่มั่นบนภูเขาแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาก และชื่อของสลัดภูผาบูรพาก็เริ่มโด่งดัง ทุกคนรู้เรื่องโจรที่แข็งแกร่งจู่ๆก็โผล่ออกมายึดฐานที่มั่นโจรป่าอื่น
“พวกเขาไม่ได้ระบุว่าเป็นธุรกิจอะไร” คนสอดแนมพูดตามตรง
จงหลีไป๋แค่นเสียง “อย่างนั้นเรามาดูกันว่าพวกเขาต้องการอะไร ให้พวกเขาเข้ามา ส่งคำสั่งไปที่หน่วยองครักษ์ใหญ่บอกทุกคนว่าเรากำลังต้อนรับอาคันตุกะชั้นสูง”
“อาคันตุกะชั้นสูง” เขาพูดคำอย่างชัดเจน
หน่วยองครักษ์ใหญ่ทุกคนยืนรายล้อม รู้สึกได้ถึงความเคร่งครัดระเบียบวินัยมาจากร่างพวกเขา พวกเขาชักอาวุธยืนประจำตำแหน่ง
หอประชุมกลับเงียบลง และรังสีฆ่าฟันสลายออกไป
จงหลีไป๋อยู่ต่อหน้าดาบทองและม้าของเขา หน่วยองครักษ์มือดีเป็นยอดฝีมือดีที่เขาเลือกมาเองจากคนเกินหมื่นคน
มีโจร 2500 คนอยู่ในหน่วยองครักษ์ใหญ่ พวกเขาเป็นแกนหลักของโจรสลัดภูผาบูรพา
นอกจากพวกเขาแล้วยังมีนักสู้ฝีมือดีจากตระกูลต่างๆ ของเมืองบูรพาอมตะ นักสู้มือดีจากพวกโจร แต่พวกเขาส่วนใหญ่ถูกเลือกมาจากผู้ลี้ภัยธรรมดาในภูเขานี้ ผู้ลี้ภัยทั้งหมดเหล่านี้ไม่มีตำแหน่งอะไร และเป็นคนที่ทำงานอย่างยากลำบากได้รับอาหารน้อย
จงหลีไป๋เลือกพวกเขาเป็นพิเศษ
พวกโจรหลายคนอยากหัวเราะเยาะจงหลีไป๋ คนลี้ภัยที่ไม่มีความแข็งแรงมากไม่ค่อยมีประโยชน์ และไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะเป็นกระสุนมนุษย์ด้วยซ้ำ
หน่วยองครักษ์ใหญ่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุด แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบาก การฝึกฝนที่ทำให้โจรตื่นตะลึงไม่สามารถกระตุ้นการปฏิเสธจากหน่วยองครักษ์ใหญ่ได้
ไม่มีใครในพวกเขารู้ว่าการฝึกฝนประจำวันของพวกเขาและรูปแบบการต่อสู้เป็นกลยุทธที่เกี่ยวข้องกับกองทัพในตำนาน
แม้ว่าพวกเขาจะทำได้ พวกเขาก็ไม่สนใจ เพราะตราบเท่าที่พวกเขาฝึกเสร็จ พวกเขาจะได้กินและไม่มีใครต้องอดอยาก เทียบกับเป็นกรรมกรต่ำต้อยที่ไม่มีความหวังการฝึกจะมีอะไร? ทั้งหมดของผู้ลี้ภัยที่ต่ำต้อยล้วนเสี่ยงชีวิตฝึกฝนจนกระทั่งพวกเขาเป็นลม
พวกเขาอ่อนแอและไม่มีนิสัยชอบอวดโอ่ความแข็งแรง ดังนั้นพวกเขาไม่เคยปฏิเสธการตั้งกระบวนร่วมประสานที่ซับซ้อน
พวกเขาทุกคนเสี่ยงชีวิตฝึกฝนทำให้คนที่ดูพวกเขาถึงกับพูดไม่ออก หน่วยองครักษ์ใหญ่ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกเขามีวินัยเคร่งครัดและเชื่อฟังคำสั่งมากที่สุด และซื่อตรงมากที่สุดมีความจริงจังกับการฝึก พวกเขาเป็นคนที่ไม่กลัวตาย
ในศึกแรกหน่วยองครักษ์ใหญ่ตายไปหลายคนแต่จงหลี่ไป๋ให้รางวัลคนที่รอดอย่างดี ไม่ต้องใช้เวลามากกับการเติมจำนวนขาดให้เต็มเนื่องจากมีผู้ลี้ภัยนับไม่ถ้วนที่มองด้วยความอิจฉา พวกเขาทุกคนด้อยปัญญาพยายามเข้าร่วมกับหน่วยองครักษ์ใหญ่
บุรุษที่อยู่ในฝุ่นไม่เคยลังเลเมื่อพวกเขาสามารถใช้ชีวิตที่เล็กน้อยและตกต่ำแลกเปลี่ยนความหวังที่จะได้เห็นแสงตะวัน
หลังจากผ่านต่อสู้สองสามศึก หน่วยองครักษ์ใหญ่นี้เติบโตอย่างรวดเร็ว เหมือนดาบสมบัติที่เผยให้เห็นความมันวาวของมันเมื่อมันได้ดื่มเลือด ทุกๆ ศึกที่อยู่ในสภาพยันกันจะถูกทำลายโดยพวกเขา
ดาบและกระบี่ของพวกเขามีอยู่มากมายและความตั้งใจฆ่าของพวกเขาก็แผ่กระจายไป
เกราะหลากสีสันผสมเข้าด้วยกันไม่เป็นเหตุให้นักสู้ฝีมือดีนี้สูญเสียบุคลิกของเขา พวกเขาตบอกเชิดหน้า สีหน้าของพวกเขาเฉยเมย พื้นที่ระหว่างพวกเขายืนไม่มีช่องว่างให้ดาบใดๆตัดผ่านได้
เงียบราวป่าช้า แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความคุกคาม
เมื่ออาคันตุกะทั้งสามเผชิญหน้ากับกลุ่มนักสู้ฝีมือดี หน้าของพวกเขาเปลี่ยน
*****************
เมืองม้าบิน
“มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย”
สวี่เย่มีสีหน้าซับซ้อน
เนี่ยชิวหัวเราะ “ข้าหวังว่าได้ข่าวดีจะดีกว่าและหวังว่าข่าวร้ายก็คงไม่ร้ายขนาดนั้น”
สวี่เย่ขบขันกับคำพูดของเนี่ยชิว แต่ก็สลายยิ้มบนใบหน้าโดยเร็ว “ข่าวดีก็คือนายท่านได้รับเรือพู่พลิ้วของตระกูลซู ฆ่าซูชิงและจับจี๋เจ๋อ”
“ท่าทางเหมือนกับเป็นเรื่องน่าทึ่ง” เนี่ยชิวชม
“ไม่ใช่อย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก” สวี่เย่จำได้ว่าเนี่ยชิวยังไม่คุ้นเคยกับแดนบาป ‘มิน่าเล่าเขาถึงได้ใจเย็นนัก’ จากนั้นเขาอธิบายต่อ “จี๋เจ๋อมีฉายาว่า ดาบพิศวงและเป็นคนโฉดชั้นหนึ่งระดับตำนานที่อยู่ในลำดับที่สามเป็นคนที่อายุเยาว์ที่สุดในกลุ่มนั้น เขาเป็นคนฉลาด ข้าไม่คาดเลยว่าเขาจะถูกนายท่านจับเป็นเชลยครั้งนี้แดนบาปจะพบว่าเป็นเรื่องยากไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม”
“นั่นเป็นข่าวที่ดีจริงๆ” เนี่ยชิวอดรู้สึกดีใจไม่ได้
จากนั้นสวี่เย่มีท่าทางขมขื่น “ข่าวร้ายก็คือความตายสือซูชิงสร้างความตื่นตกใจให้กับตระกูลซู พวกเขาต้องการล้างแค้นและจะออกมาไล่ล่าเรา ความตายของซูชิงคือเหตุผลให้พวกเขาทำเช่นนั้น ความกังวลแต่เดิมของข้าก็คือสี่เมืองใหญ่จะตรวจสอบเรา แต่ตอนนี้ ข้าคาดว่าตระกูลซูคงถือโอกาสออกหน้า”
“ข้าเข้าใจ” เนี่ยชิวผงกศีรษะ“ เราจะต้องพบกับการโจมตีของศัตรูในไม่ช้า”
“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” ตาของสวี่เย่มีแววกังวลใจ “การโจมตีของตระกูลซูจะต้องรุนแรงแน่นอน!”
ขณะนั้นสัญญาณเตือนเหมือนเสียงนกฮูกดังขึ้นทำลายความเงียบ
“การประเมินของเจ้าแม่นยำมาก”
เนี่ยชิวหัวเราะ และยืนขึ้นและออกไปเมื่อออกมาสวี่เย่ตะลึง
ที่พักตระกูลหลูในเมืองม้าบินมีแสงสว่างเจิดจ้า และมนุษย์ทุกคนบินออกมา
“ทุกคนประจำตำแหน่ง!”
“เตรียมเผชิญหน้ากับศัตรู!”
บนกำแพงสูงของเมืองม้าบิน มีร่างคนสี่คนยืนเคียงไหล่กวาดมองไปทั่วพื้นที่
“พวกมันเป็นมดแมลงจริงๆ”
คนที่สูงที่สุดยืนนิ่งกับที่มีเสียงเยือกเย็น ฉินเจิ้น กวาดสายมองมองดูด้วยความโกรธ เจ้าพวกมดแมลงที่อยู่ต่อหน้าเขาทำลายตระกูลฉินและทำให้งานที่เขาทำมาอย่างหนักในช่วงสองสามทศวรรษต้องพังครืน
ที่อยู่ข้างเขาเป็นชายชราที่ดูเหมือนชาวนา หลูเซิงเซียง ประมุขตระกูลหลู เขามองดูเหมือนกับว่ามีอายุมากขึ้นถึงสิบปี หน้าของเขาตอบบางขณะที่เขายังคงเงียบ
“ข้ายังรู้สึกว่าพวกเขาค่อนข้างเรียบร้อย” คนที่พูดเป็นสุภาพสตรี ผมของนางสีม่วงห้อยลงมาเหมือนงูจนถึงเอวอกของนางเต็มอวบอิ่มยั่วยวน ริมฝีปากแดงเข้มดวงตาสีฟ้าเย็นให้ความรู้สึกที่งดงาม
ซูเฟยอันดับ 36 ในทำเนียบนักสู้แดนบาป
คนสุดท้ายปกคลุมไปด้วยหมอกดำทั่วทั้งร่างทำให้เขามองดูเหมือนกับภูตผี อีกสามคนดูเหมือนจะกลัวเขา ยังรักษาระยะห่างจากเขาด้วยความนับถือ
ไม่มีใครรู้ชื่อของเขา แต่เขาเป็นคนมีชื่อเสียงผู้จัดการกับความตาย และเป็นที่รู้จักกันดีไปทั่วแดนบาปในชื่อของทาสมรณะอยู่ในลำดับที่ 28 ในทำเนียบนักสู้แดนบาป เขาเป็นคนลึกลับมากนอกจากความจริงที่ว่าเขาฝึกมาทางด้านกฎตาย เรื่องอื่นไม่มีใครรู้เรื่อง เขามักเป็นคนเก็บตัวและยากจะออกมาภายนอก ไม่มีใครคาดเลยว่าตระกูลซูจะสามารถจ้างเขาได้
ตอนนี้เสียง ‘เอ๊ะ’ เบาๆ ดังมาจากหมอกดำที่หนาแน่น
ทั้งสามคนตกใจ ‘เขารู้สึกอะไรบางอย่างได้?’ พวกเขาเบนสายตาไปที่ลานบ้านตระกูลหลู
เนี่ยชิวนั่งอยู่เงียบๆ ข้างหน้าเขา ดาบหยินวัฒนะลอยอยู่ข้างหน้าเขาโดยปลายกระบี่ชี้ลงพื้น เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงที่ลึกลับมากกับมันทำให้เขารู้สึกแปลก หลังจากตรวจสอบต่อเนื่อง ความเข้าใจที่เขามีต่อกระบี่หยินวัฒนะก็มีเพิ่มมากขึ้นและลึกขึ้น มันสามารถเสริมพลังของค่ายกลของเขา และรู้คุณค่าของกระบี่
ความใจกว้างของถังเทียนทำให้เขาประหลาดใจอย่างแท้จริง
ในกลุ่มดาวราชสีห์สมบัติอย่างนั้นไม่มีทางมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชากันง่ายๆ แน่นอนแม้ว่าจะมอบให้ก็ยังไม่ถึงรอบคนอย่างเขา เพราะความหวังให้กำเนิดความทะเยอทะยาน เมื่อเขาออกจากกลุ่มดาวราชสีห์และกลายเป็นบริวารของถังเทียน เขายังคงทำหลายอย่างด้วยความระมัดระวังไม่ว่าใครจะมองยังไง เขายังไม่นับว่าขึ้นตรงต่อถังเทียน
เขาเคยคิดว่าเป็นเรื่องดีพอที่ถังเทียนให้เขาควบคุมกองทัพมากพอจนเขาไม่ได้หวังว่ากองทัพของเขาจะได้รับการยกระดับไปเป็นกองทัพหลัก
แต่เขาไม่คาดเลยว่าไม่เพียงแต่นายท่านจะมอบหน่วยสุญญตาให้เขาดูแลเท่านั้น เขายังให้ความเชื่อใจและพื้นที่และกระบี่หยินวัฒนะสมบัติวิญญาณชิ้นหนึ่งกับเขา
การปฏิบัติเช่นนั้นเกินกว่าที่เขาคาดไปมาก
ในกลุ่มดาวราชสีห์ แม้ว่าทุกคนจะยกย่องเขาให้เป็นอัจฉริยะ แต่เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างให้ความสำคัญมากมาก่อน แต่ภายใต้อำนาจของนายท่าน เขาในฐานะเป็นคนนอกมาก่อนกลับได้ควบคุมกองทัพสำคัญ ที่ได้รับความไว้วางใจและคาดหวังในตัวเขา แรงกดดันหนักนี้กลายเป็นพลังผลักดันเขาไม่มีที่สิ้นสุด
‘เมื่อคิดถึงวันคืนที่ถอนหายใจอย่างยากลำบากในการบรรลุเป้าหมายอย่างงดงามเพื่อให้เพลิดเพลินกับการสู้รบอย่างแท้จริง นั่นนับว่าโชคดีจริงๆ’
‘ชีวิตอย่างนั้น แค่นี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว!’
ฝ่ามือของเนี่ยชิวจับอยู่บนกระบี่หยินวัฒนะ คำพูดของเขาสงบ และไรผมที่หน้าผากของเขาขยับแม้ว่าจะไม่มีลมก็ตาม หน้าที่ซีดขาวของเขายังมีรอยยิ้มอ่อนโยน
‘มาเถอะ,ข้าจะสู้ในนามของนายของข้า!’
‘มาเถอะ, ข้าจะชนะในนามของนายข้า!’