ตอนที่ 790 ความตั้งใจที่ดี [webmachine]
หุบเขาพิรุณ
เจ้าอ้วนไห่โวยวายใส่นักรบแดนสวรรค์ของกลุ่มทุ่งหิมะลั่น“พวกเจ้าบ้ากันหมดแล้วหรือ ข้าบอกไปแล้วว่าอย่าอัญเชิญอสูรพวกเจ้าโง่ไปแล้วตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ตั้งแต่เข้าหุบเขาพิรุณเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างพวกเขาจึงกลัวการซุ่มโจมตี
ดังนั้นนักรบของกลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามจึงเรียกอสูรรบออกมา และผลก็คือมีอสูรเงาเลียนแบบอสูรอัญเชิญออกมาเช่นกันอสูรเหล่านี้ดูเหมือนออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ทุกครั้งที่ฆ่าไปฝูงหนึ่งจะมีอีกฝูงหนึ่งออกมาจากเขาวงกตของหุบเขาพิรุณนักรบจากกลุ่มเขตรกร้างที่แปดได้พูดคุยกับถูไห่และราชาหลิงหวินจึงหลีกเลี่ยงการใช้อสูรพิทักษ์ แต่นักรบของกลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามเพราะเห็นเจ้าอ้วนไห่ที่อ่อนแอทำเป็นเจ้ากี้เจ้าการ จึงไม่มีใครให้ความสนใจ เป็นผลให้ถูกอสูรเงาถล่มแทบยับเยิน...
ทุกคนในกลุ่มเขตรกร้างที่แปดเห็นเช่นนั้นจึงรีบมาช่วยพูดคุย
ราชาหลิงหวินช่วยพูดรับประกันให้เจ้าอ้วนไห่ “ทุกคน, คำพูดของเสี่ยวไห่เป็นความจริงเขามีข้อมูลมากที่สุด รวมทั้งยังได้รับข่าวว่านักรบแดนทมิฬจะบุกโจมตีมาก่อน และเขาได้ทราบมาจากหัวหน้าของเขา”
นักรบแดนสวรรค์ทั้งสามกลุ่มรับฟังราชาหลิงหวินและทราบว่าราชาหลิงหวินไม่ได้พูดเองเป็นแต่ข่าวนี้ทราบจากคนอื่น
ที่ปากทางเข้าหุบเขาพิรุณที่ห่างไกลออกไป นักรบแดนทมิฬดูเหมือนจะฉลาดมากกว่า พวกเขาเก็บอสูรอัญเชิญไว้ทั้งหมด
ไม่มีอสูรเงาเข้ามาโจมตีพวกเขาอีก ผู้นำนักรบที่แข็งแกร่งรีบสั่งการทันทีบวกกับได้ราชาหลิงหวินช่วยรับรองให้เจ้าอ้วนไห่พวกเขาจึงยอมเชื่อคำพูดของเจ้าอ้วนไห่ แต่โดยฐานะผู้นำนักรบระดับปราณฟ้าและเป็นแม้กระทั่งผู้นำประเทศได้พวกเขาจะไม่ยอมขอโทษเจ้าอ้วนไห่ นักรบระดับปราณดิน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่กล้าแข็งกระด้างมาก บางทีเพราะเจ้าอ้วนไห่มีข้อมูลหุบเขาพิรุณอยู่มาก พวกเขาแค่เพียงพยักหน้ารับทราบเล็กน้อย
“นักรบแดนทมิฬกำลังไล่หลังมา ทุกคน!มาปรึกษากันก่อน จะเอายังไงกันดี?” ผู้นำของกลุ่มเขตรกร้างที่แปดหลายคนเห็นพวกเขาป้องกันเจ้าอ้วนไห่และเย่คงและคนอื่นอย่างแข็งขันก็มีความคิดอยู่สองประการ หนึ่งป้องกันเหตุไม่คาดฝันมิให้เกิดขึ้นกับกลุ่ม สอง กังวลว่ากลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามจะชิงชัยชนะไป
“จะไม่มีผลได้อะไรทั้งนั้นกับการเอาแต่ทะเลาะกันจนถึงที่สุด ถ้าพวกท่านกลับไปมือเปล่าจากที่นี่พวกท่านจะพอใจไหม?” ผู้นำหลายคนของสองกลุ่มตกลงกันว่าพวกเขาจะไม่สู้กับนักสู้แดนทมิฬชั่วคราว “อย่างนั้นตัวเลือกต่อไปก็คือทุกคนยอมฟังคำแนะนำของเสี่ยวไห่เป็นยังไง?” ราชาหลิงหวินให้โอกาสเจ้าอ้วนไห่และคนอื่น
“บอกเรามาได้เลย!” ผู้นำของสามกลุ่มนักรบใหญ่มีความหวังเล็กน้อย เสี่ยวไห่ผู้นี้จะสร้างผลงานได้ดีที่สุดจริงๆหรือ?
“หัวหน้าของพวกเราบอกว่าที่นี่เรียกว่า ‘หุบเขาพิรุณ’มีพลังกฎสวรรค์คอยจำกัดพลังอยู่ทุกที่ ห้ามบิน ห้ามอัญเชิญ ห้ามฝ่าฝืน มิฉะนั้นจะต้องเจ็บตัวหนัก ทั่วทั้งหุบเขาพิรุณเป็นเหมือนเขาวงกตเมื่อหลงทางก็ยากจะออกไปได้ ต่อให้พวกท่านเดินออกมาจากเขาวงกตของหุบเขาพิรุณได้ก็ยังจะมีการทดสอบด่านสุดท้าย...หุบเขาพิรุณเป็นด่านทดสอบแรกที่เรียบง่ายที่สุดในการทดสอบสิบด่าน” เย่คงยืนขึ้นพูดอย่างสบายๆเปิดเผยความลับที่ทำให้สามกลุ่มนักรบใหญ่ลอบตกตะลึง ในกลุ่มนักรบปราณดินนี้มีหัวหน้าผู้ลึกลับและมีความรู้ทุกอย่าง
มองอย่างผิวเผินกลุ่มนี้เป็นนักรบระดับปราณดินที่อ่อนแอที่สุด
แต่พวกเขาเต็มไปด้วยศักยภาพมากและยังมีอายุน้อย
ถ้าให้เวลาพวกเขาพวกเขามิกลายเป็นเจ้าพิภพแดนสวรรค์หรือนี่...หัวหน้าผู้ลึกลับนั้นที่แม้แต่ราชาหลิงหวินก็ยังเคารพและให้เกียรติน่าจะเป็นคนที่น่าเกรงขามมากเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ เขาเชี่ยวชาญข้อมูลมากมายนักหรือ?
ถ้าเด็กหนุ่มพวกนี้พูดความจริง พวกเขาคงได้รับคำแนะนำบางอย่างจากหัวหน้าพวกเขา มีความลับบางอย่างหรือเปล่า?
กลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามทั้งสองมองหน้าผู้ของกลุ่มเขตรกร้างที่แปดและยืนร่วมกับกลุ่มนักรบปราณดิน
มองผิวเผินก็คือให้การปกป้องแต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งก็คือป้องกันไม่ให้คนภายนอกใกล้ชิดพวกเขา
ทันใดนั้นผู้นำของทั้งสองกลุ่มปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่และมองเย่คงนักสู้ปราณดินอย่างให้เกียรติมากขึ้น “ดีมาก,ในเมื่อน้องชายและพวกพ้องรู้จักหุบเขาพิรุณดี ทั้งหุบเขานี้ก็มีความลึกลับ เอาอย่างนี้เป็นไงเลือกกลุ่มบุกเบิกทาง? ถ้าเป็นไปอย่างราบรื่นข้าและกลุ่มจะต้องตอบแทนแน่นอน”
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำของกลุ่มเขตรกร้างที่แปดคอยระแวดระวังอยู่หัวหน้าของอีกสองกลุ่มคงต้องการเข้ามาพูดคุยด้วย
“ไปกันเถอะ!” เสวี่ยทันหลางเห็นนักรบแดนทมิฬโผล่ให้เห็นในระยะไกลจึงนำกลุ่มวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาพิรุณ
ถ้าเขาเป็นนักสู้ปราณดินธรรมดาแต่บังอาจนำหน้านักรบปราณฟ้าระดับราชาหลายคน เขาคงถูกมองอย่างเย็นชาแน่นอน ตอนนี้ ไม่, ทุกคนยินดีให้เขานำทาง ที่ไปพร้อมกับเสวี่ยทันหลายยังมีองค์ชายเทียนหลัวพี่น้องตระกูลหลี่และเจ้าอ้วนไห่ เย่คงไล่ตามกันไป
เกือบทุกทางแยกทั้งหกคนจะคอยสื่อสารกันตลอด
เป็นการสื่อสารกันเฉพาะแบบ
แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เข้ามาแต่พวกเขาได้รับสัญญาณจากเย่ว์หยาง ก็เหมือนม้าแก่ที่รู้ทาง...ผู้นำทั้งสามกลุ่มที่ตามอยู่ด้านหลังเขา แต่ละคนคนลอบป้องกันตัวและต่างรู้สึกทึ่ง แน่นอนว่าเรื่องที่พวกเขาทึ่งไม่ใช่เสวี่ยทันหลาง องค์ชายเทียนหลัวหรือนักสู้ปราณดินผู้อ่อนแอ แต่เป็นหัวหน้าที่เป็นยอดฝีมือของพวกเขาที่ถ่ายทอดข้อมูลให้พวกเขาอย่างดี!
ใครจะรู้ว่าเขาสามารถรู้ความลับเก่าก่อนของโบราณสถานนี้มาก่อนหรือไม่?
ราชาหลิงหวินและเจ้าเมืองถูไห่ตอนนี้ลอบพอใจ
มีคุณชายสามตระกูลเย่ว์ดูเหมือนว่าอนาคตของพวกเขาจะไม่มีขีดจำกัด
หอทงเทียน
ชั้นที่สิบ
หมู่เกาะฝนดาวตกทะเลไร้ขอบเขต
เย่ว์หยางกลับมาที่นี่นอกจากนี้จักรพรรดินีสมุทรไห่อิงอู่จะไปฝึกฝนยังบันไดสวรรค์ ก็มีมารสัมฤทธิ์ฟ้าจักรพรรดิมังกร จักรพรรดิใต้พิภพและผู้เฒ่าหนานกงผู้กำลังปรับทุกข์เพราะประตูเข้าแดนสวรรค์
“มีอะไรเปลี่ยนแปลงในแดนสวรรค์บ้างไหม?” มารสัมฤทธิ์ฟ้าถามคำถามทั่วไปแต่ในใจของเขาต้องการสู้และฆ่า
“มีของอะไรดีๆ ติดไม้ติดมือมาบ้างไหม?” สิ่งที่จักรพรรดิมังกรคิดก็คือนึกว่าเย่ว์หยางคิดยาสูตรใหม่ได้ดังนั้นจึงให้ทุกคนทดลองดู
“ขออภัย!เรามาสายไปหน่อย!” จอมปีศาจบารุธ ฮาซินและราชาปีศาจอื่นๆ แม้ไม่ได้รับหนังสือเชิญจากเย่ว์หยาง แต่พวกเขารู้ว่าหนังหน้าพวกเขาหนากว่าธรรมดาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เย่ว์หยางเปิดเผยพูดคุยโดยตรงก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นพลังที่แท้จริงเย่ว์หยางไม่ชอบเป็นหนี้ผู้คนและไม่ปฏิบัติกับทุกคนอย่างไร้น้ำใจทุกคนมักจะได้รางวัลติดมือเล็กๆ น้อยๆ
“ดีแล้ว พวกท่านมาได้พอดี” เย่ว์หยางไม่ต้องการเรียกพวกเขา แต่ครั้งต่อไปอาจต้องใช้คนมาก ยิ่งมากยิ่งดี
เย่ว์หยางไม่พูดอะไรแค่เปิดประตูเทเลพอร์ตของโลกวารีของบันไดสวรรค์ชั้นหนึ่ง
มารสัมฤทธิ์ฟ้ากับพวกที่เหลือสงสัยกันมากไปบันไดสวรรค์ จะทำอะไรกันแน่?
โลกวารีบันไดสวรรค์ชั้นแรกใช้ผนึกหัวหน้าหย่งฮุยในเวลานี้ทุกคนยอมแพ้ อย่างไรก็ตามการใช้วิธีข่มเหงหย่งฮุยมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี นอกจากนี้คนผู้นี้เลือกยอมแพ้ แต่เย่ว์หยางยังไม่ว่าง ในที่สุดเขาจึงต้องถูกคุมขังอยู่ในโลกวารีต่อไป
หลังจากบาดเจ็บหนักเขาต้องซ่อนตัวอยู่ในคัมภีร์อัญเชิญและปล่อยมารสัมฤทธิ์ฟ้าเฝ้าศพเยี่ยเสี่ยวในจุดที่อยู่ใกล้ๆ และทุกคนถูกโจมตียอมแพ้
เพียงแค่คนผู้นี้ไม่ได้รับการปกป้องจากหย่งฮุยหลังจากต้านทานอยู่หลายวันก็ยอมแพ้
ประกาศยอมแพ้
ตอนนี้เขากำลังรักษาบาดแผล
ไปบันไดสวรรค์ใครจะคลายผนึกของนักสู้โบราณได้?
ทุกคนคิดเช่นนั้นพวกเขาประหลาดใจเล็กน้อย คุณชายสามตระกูลเย่ว์เรียกนักรบมารวมกันได้ เขาเป็นใครกัน?
“ไม่ต้องคิดมากเกินไปไม่มีใครเคยทำลายผนึกได้ชั่วคราวก่อน!” เย่ว์หยางความทะเยอทะยานของทุกคนเขากวักมือเรียกและไม่ได้พูดถึงบันไดสวรรค์ที่แท้จริง แต่พูดเกี่ยวกับดินแดนแห่งการฝึกฝนของแดนสวรรค์ “ในแดนสวรรค์นั้นนางพญาเฟ่ยเหวินหลีและจักรพรรดิอวี้เคยไปฝึกฝนในสถานที่นั้นมาแล้ว แม้ว่าในประวัติศาสตร์จะยังไม่เคยมีใครผ่านได้ถึงสิบด่าน ขนาดนางพญาเฟ่ยเหวินหลีที่มีฝีมือศักยภาพสูงที่สุดก็ยังผ่านได้เก้าด่าน ...พวกท่านจงไปฝึกที่นั่น แล้วข้าจะตามไปฝึกที่นั่นเพื่อผ่านด่านด้วยกัน!”
“ดินแดนแห่งการทดสอบหรือ? ก็ดีเหมือนกัน”มารสัมฤทธิ์ฟ้ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสท้าทานต่อสู้และที่น่าสนใจที่สุดก็คือดินแดนแห่งการทดสอบยังไม่มีใครผ่านทุกด่านได้
“ข้างในนั้นมีนักสู้ที่แข็งแกร่งของแดนสวรรค์มารวมตัวกันสำหรับพลังของชาวหอทงเทียนของเรา บอกตามตรงเลยว่าข้ามิอาจรับได้เท่าใดนัก”เย่ว์หยางพูดจนทุกคนอดรู้สึกละอายมิได้
ถ้าไม่ใช่เพราะจื้อจุนและจักรพรรดินีราตรีทั้งสองคนนี้โดดเด่นขึ้นมาหอทงเทียนนับว่าตกต่ำเช่นกัน
หลังจากการตายของจักรพรรดิอวี้ก็ไม่มีนักสู้ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษสามารถฝ่าผนึกเข้าแดนสวรรค์ได้จนกระทั่งคุณชายสามตระกูลเย่ว์ปรากฏตัว แน่นอนว่าเพราะการปรากฏตัวขึ้นมาของเขาหอทงเทียนจึงรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง อย่าว่าแต่ระดับปราณก่อกำเนิดเลยระดับปราณราชันย์ก็เริ่มมีคนบรรลุขึ้นมาทีละคนๆ ถ้าทุกคนยังสามารถก้าวหน้าได้ต่อไปอีก คาดว่าวันที่ชาวหอทงเทียนจะไปโลดแล่นที่แดนสวรรค์คงอยู่อีกไม่ไกล
เย่ว์หยางไม่พูดอะไรมากแค่โยนวัตถุเงาดำออกมา
เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาพบว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่คลุ้มคลั่งตนหนึ่ง
วิญญาณของมันพังทลายแต่ความแข็งแกร่งของมันทำให้ทุกคนประหลาดใจ นี่ทำให้ดูเหมือนว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์เป็นเจ้านายของสัตว์ประหลาดที่เสียสตินี้และมันมีพลังปราณฟ้าระดับห้าขั้นสูง!
“เขาคือผู้อาวุโสของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์มีผู้อาวุโสอย่างนี้อยู่หลายคนในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้อีกกี่คน นอกจากนี้ระดับเหนือพวกเขายังมีรองเจ้าตำหนักและเจ้าตำหนัก เหนือกว่านั้นไปอีกยังมีเจ้าตำหนักใหญ่ เจ้าตำหนักสูงสุด แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังสงสัยว่ามีระดับเทพในระดับที่สูงขึ้นไปเป็นระดับหนึ่ง ปกติแล้วบุคคลเช่นนั้นมีอยู่จริง และเรายังไม่สามารถรับมือได้ในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องคิดถึง ดังนั้นตราบใดที่ทุกคนคิดว่าถ้าเราพบกับเจ้าตำหนักที่แข็งแกร่งมากกว่าผู้อาวุโสตำหนักกลางนั้นร้อยเท่าในสนามฝึกฝนทดสอบนั้น นั่นจะดีแค่ไหน! ข้าไม่สงสัยเลยว่าพวกท่านจะสามารถท้าทายเจ้าตำหนักได้สักวัน แต่ก่อนอื่นนั้นพวกท่านโค่นคนที่เรียกว่าผู้อาวุโสตำหนักผู้มีร่างเกือบเป็นอมตะนี้ลงให้ได้ต่อหน้าข้าเสียก่อน” เย่ว์หยางลบสนามพลังสร้างโลกที่ใช้โค่นผู้อาวุโสตำหนักซึ่งวิกลจริตไปแล้วผู้อาวุโสตำหนักพอรู้สึกตัวว่ามีนักสู้ฝ่ายศัตรูล้อมไว้ทั้งหมดก็แตกตื่นตกใจร้องและปลดปล่อยพลังทันที
พลังปราณฟ้าระดับห้าชั้นสูงระเบิดออกทันที แข็งแกร่งจนมารสัมฤทธิ์ฟ้าถูกพลังกระแทกถอยหลังไปถึงร้อยเมตร
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป
ผู้อาวุโสตำหนักกลางยังมีพลังสูงถึงระดับนี้ไม่ต้องพูดถึงเจ้าตำหนักเลย ย่อมมีพลังมากกว่าคนเสียสติผู้นี้ถึงร้อยเท่า...จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้อาวุโสตำหนักนี้ยกเว้นอสูรที่เขาผสานร่างเข้าเป็นหนึ่งเดียวแล้วไม่ยอมให้เย่ว์หยางปลดมันออกไป เขาไม่มีอสูรอื่น ถ้ามันทรงพลังมากกว่าเขาในการครอบครองคัมภีร์อัญเชิญ สำนึกปราณราชันย์และอสูรพิทักษ์ที่ช่วยสนับสนุนพลังจะแข็งแกร่งมากเพียงไหน? นั่นเป็นเรื่องที่นึกภาพไม่ออก!
“ตกลง, การฝึกฝนที่ท้าทายก็เริ่มจากคนวิกลจริตของเจ้า!” มารสัมฤทธิ์ฟ้ารู้จักเย่ว์หยางดีที่สุด เขาเอาผู้อาวุโสตำหนักกลางกลับมาจากแดนสวรรค์แทนที่จะฆ่าคนวิกลจริตนี้ เย่ว์หยางตั้งใจดีเช่นกัน
นี่คือโอกาสให้ทุกคนได้ฝึกฝนและเสริมสร้างประสบการณ์
ถ้าได้แรงกดดันจากภายนอกที่น่ากลัวเช่นนั้นการฝึกฝนของทุกคนจะต้องไม่ช้าแน่
มารสัมฤทธิ์ฟ้าจักรพรรดิมังกร จักรพรรดิใต้พิภพและคนอื่นล้วนยกระดับพลังทุกคน และจะต้องทุ่มเทพลังล้อมผู้อาวุโสตำหนักผู้ถูกสนามพลังสร้างโลกทรมานจนเสียสติ แต่เย่ว์หยางปลีกตัวเหาะออกมาและรับตัวไห่หลานเซี่ยอีและราชันย์ปีศาจใต้และกลับไปรับหลิวเย่และเป่าเอ๋อพาไปที่ประตูเข้าบันไดสวรรค์ของแท้
ยังมีการฝึกฝนที่แตกต่างรอพวกเขาอยู่....