ตอนที่ 789 จงหลีไป๋ที่น่าอาย
‘นี่มันสถานที่บ้าบอคอแตกชัดๆ!’
เซียวหานกวงสบถอยู่ในใจ ตลอดทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและเขาอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก ตั้งแต่เยาว์วัยเขาไม่เคยสกปรกอย่างนี้มาก่อน และบางครั้งเขาจะมองภาพสะท้อนในดาบของเขา และเกือบจะจำตัวเองไม่ได้ว่าเขาเป็นเหมือนขอทาน
แต่เขาไม่กล้าเสียสมาธิถ้าเขาทำผิดพลาดอย่างอื่นแม้สักเล็กน้อยในปฏิบัติการต่อไป ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นแต่ทั่วทั้งหน่วยเล็กๆจะต้องเผชิญหน้ากับการลงโทษมากขึ้นและฝึกต่อนานขึ้น ถ้าเป็นตัวเขาในอดีต เขาคงเดินออกมาด้วยความภูมิใจ ‘เจ้าเป็นคนร่วมกลุ่มที่อ่อนแอได้ยังไง?’
ทุกอย่างเกินกว่าจะควบคุมได้นับแต่เขาถูกส่งให้กับหน่วยสุญญตา
ในวันเดียวกันกับที่ต้องเดินทัพในตอนบ่ายเขาถูกขอให้ต้องฝึกกับหน่วยสุญญตาทั้งหมด
‘บัดซบเอ๊ย!’
เขาแค่มาอยู่ด้วยเพื่อต้องการเรียนดาบมารพิฆาต!
เหตุผลของเขาถูกกดลงโดยคนตาบอดที่พูดด้วยท่าทางใจเย็น เนื่องจากนายท่านส่งมอบกองทัพให้เขาดูแล ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพจะต้องให้เขาตัดสินใจเซียวหานกวงผู้มากไปด้วยความภูมิใจถูกทำแบบนั้นได้ยังไง? เขาไม่มีอะไรจะพูดสำหรับการพ่ายแพ้บุรุษหน้ากากผีแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกแต่งตั้งให้เป็นลูกน้องคนอื่น
‘คนตาบอดนี้กล้าวิจารณ์และออกคำสั่งข้าหรือ?’
เขาแค่นเสียงและเริ่มเดินออกมา เขาไม่เชื่อว่าคนตาบอดจะกล้าทำอะไรเขา
ก่อนที่เขาจะทันได้ออกจากค่ายฝึก สวี่เย่ก็ขวางทางเขาไว้
พลังของสวี่เย่กระตุ้นความกลัวในตัวเขา การรู้แจ้งของสวี่เย่และรังสีมรณะที่น่ากลัวแผ่ออกมาจากตัวเขากระจายไปทั่วเมืองพายุทิ้งความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเซียวหานกวง แต่มันคือแค่ความน่ากลัว แต่เขาไม่กลัว
ขณะนั้นเองพื้นที่ทั่วค่ายก็เริ่มสั่นสะเทือน
ร่างนับไม่ถ้วนวิ่งตรงมาหาเขาเหมือนกับน้ำหลากจากทุกมุมในค่าย สวี่เย่เป็นบุรุษผู้มากไปด้วยลูกเล่นแพรวพราวอยู่แล้ว เขาทุบใส่เซียวหานกวงอย่างหนักและบอกว่าตราบใดที่เขาสามารถหลบหนีไปจากกลุ่มพวกเขา เขาไม่จำเป็นต้องฝึกต่อไป
เซียวหานกวงแค่นเสียง ‘อาศัยแค่พวกเจ้าคิดว่าจะหยุดข้าได้หรือ?’
เขาวิ่งเข้าหากลุ่มคนอย่างไม่ลังเล
จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่น่าจดจำและน่าอายตลอดชีวิตเริ่มขึ้น คลื่นโจมตีที่บ้าคลั่งมาจากด้านในการรุกโจมตีเป็นพายุบุแคมทำให้เขาหมดสติอย่างรวดเร็ว เขาทนอยู่ได้เพียง 30 วินาที น่าสมเพชจริงๆ เขาถูกโจมตีโดยอาโมรี่ฉวยโอกาสไว้ได้ บุรุษร่างใหญ่ที่ผู้สอนดาบมารพิฆาตอย่างมีความสุขในตอนกลางวันยกดาบหัวตัดยักษ์และฟาดใส่ร่างเซียวหานกวงอย่างไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
เขารู้สึกขายหน้าไปหมด
หลังจากนั้นเขาถูกน้ำเย็นผสมน้ำแข็งราดปลุกขึ้นและถูกอาโมรี่ลากเข้าค่ายไปเริ่มการฝึกต่อ
นั่นคือจุดเริ่มต้นชีวิตที่เลวร้ายของเขา
เซียวหานกวงผู้หยิ่งผยองมักจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก และเพื่อนร่วมกลุ่มธรรมดาทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาซึ่งเขาดูแคลนไม่สามารถเข้ากับจังหวะของเขาได้ แต่ในเวลาอันรวเร็ว เขาก็ถูกลงโทษ และเขาพอถูกลงโทษจนไม่มั่นใจถึงกับแค่นเสียงออกมา ร่วมมือไปก็ไม่มีความหมาย
เนี่ยชิวไม่ต่อล้อต่อเถียงและปล่อยให้หานปิงหนิงและหน่วยเล็กๆ ของนางสู้กับเซียวหานกวงในการสู้รบจริง
เซียวหานกวงรู้สึกว่าเป็นโอกาสทำให้ตัวเขาก้าวหน้า เขาเริ่มบุกเข้าหาหานปิงหนิงทันที แต่เขาก็ตกอยู่ในความยุ่งยากทันที เนื่องจากรูปแบบการต่อสู้ของหานปิงหนิงแตกต่างจากอาโมรี่สิ้นเชิง
อาโมรี่เป็นเหมือนค้อนที่มองไม่เห็นที่หวดใส่ได้ทุกๆที่ เขาชอบชักดาบของเขาพร้อมกับหน่วยของเขา พลังผสานงานอย่างน่ากลัว
หานปิงหนิงมีอารมณ์ที่แตกต่าง นางเป็นเหมือนตาข่ายเหล็กที่แขวนเต็มไปด้วยดาบเชี่ยวชาญที่สุดในการใช้คนสามถึงห้าคนดำเนินการโจมตี พวกเขาแยกและรวมตัวกันได้เร็ว แต่ละการโจมตีไม่ใช่แค่พลังของอาโมรี่เท่านั้น แต่ในแต่ละครั้งที่โจมตีจะมีพลังแหลมคมทำลายล้างอย่างมิต้องสงสัย เซียวหานกวงตระหนักได้ว่ามุทราเทพอสูรของเขาทั้งหมดที่ใช้ได้อย่างรวดเร็วถูกตรึงไว้หมด แม้ว่าเขาจะควบคุมเพื่อสร้างความเจ็บปวดและทำร้ายกลุ่มของหานปิงหนิงให้บาดเจ็บก็ตาม แต่เขาต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มกำลัง แต่ว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนผลได้
เซียวหานกวงไม่มีอะไรจะพูด แม้ว่าเขาจะเป็นคนหยิ่งคนหนึ่ง แต่เขาไม่ใช่คนโง่ และไม่มีอะไรน่าเชื่อถือเท่ากับมีความสามารถที่ดีกว่า
‘แต่,โธ่เว้ย! กองทัพพวกนี้ใช้กลยุทธ์อะไรกับข้าแน่
‘ข้าแค่มาที่นี่เพื่อเรียนดาบมารพิฆาตนะเฮ้ย...’
เซียวหานกวงคำรามอยู่ในใจ แต่กับคำสั่งที่เนี่ยชิวสั่งให้เขาฝึกในตารางฝึกประจำวันมีเงื่อนไขของการได้เรียนดาบมารพิฆาตอยู่ด้วย เขาจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ฟังและฝึกร่วมกับพวกเขา
สวี่เย่นั่งอยู่บนกำแพงเมืองและมองดูเซียวหานกวงฝึกอย่างเต็มฝืน
สวี่เย่กำลังยินดีกับหายนะของเซียวหานกวง ‘เพลินจริงๆที่ได้เห็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ถูกทุบตี’ สวี่เย่ที่ได้เข้าร่วมฝึกในช่วงเวลาหนึ่งรู้ว่าหน่วยสุญญตาน่ากลัวเพียงไหน และแม้แต่ฉีเซี่ยงตงก็ยังต้องทนทุกข์เสียใจกับหน่วยนี้
เซียวหานกวงแข็งแกร่งกว่าฉีเซี่ยงตง แต่หน่วยสุญญตายังแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน ยอดฝีมือต่างๆจากเมืองจื่อจวนอย่างกู้เสวี่ยก็ยังร่วมกับหน่วยสุญญตายิ่งเพิ่มความสามารถต่อสู้ให้กับหน่วยสุญญตาอีก
อาโมรี่และหานปิงหนิงมีความก้าวหน้าทำให้คนอื่นๆตกตะลึง
สมาชิกหน่วยสุญญตาในสนามฝึกฝนต่างกัดฟันฝึก พวกเขาอดทนฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ในฐานะคนดูอยู่ภายนอก สวี่เย่ยังรู้สึกว่าการฝึกเคร่งเครียดน่าเบื่อ อย่างไรก็ตาม สมาชิกหน่วยสุญญตาหน้าแดงคอตั้ง พวกเขามีเหงื่อท่วมตัวและหอบหายใจ นัยน์ตาเบิกกว้าง
ทันใดนั้น สวี่เย่รู้สึกอิจฉาพวกเขาทันที
พลังของพวกเขาไม่มีอะไรสำหรับสวี่เย่ แต่พวกเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นขนาดทำให้เขารู้สึกคลั่งไคล้ได้ ความสามัคคีของพวกเขาและการไว้วางใจเป็นสิ่งที่ในดวงตา(ใน)ของเนี่ยชิวยังรู้สึกว่าไม่ได้มาตรฐาน แต่สำหรับสวี่เย่นั้นเพียงพอให้คนอื่นตกตะลึงได้
เพราะบางเหตุผล เขาชอบนั่งดูหน่วยสุญญตาฝึกฝนอยู่บนกำแพงเมือง
‘อาจเป็นเพราะพวกเขาเข้ากันไม่ได้กับแดนบาป’
แดนบาปพยายามปิดประตูตายมานานและทำให้พวกเขาสูญเสียลมหายใจมานาน ประชาชนคุ้นเคยกับการก้มหัวมานาน แต่สมาชิกของหน่วยสุญญตาแตกต่างออกไปพวกเขาเต็มไปด้วยพลังงานและความกระตือรือร้นต่อชีวิต กล้าหาญต่อการสู้รบ แม้ว่าเมื่อพวกเขาตกเป็นนักโทษ พวกเขาก็ยังยืนหยัดเชิดหน้าไม่ก้มหัวให้
ทั่วทั้งแดนบาปไม่สามารถทำอะไรกับนักโทษเหล่านี้ได้จริงๆ‘ข้าสงสัยจริง แดนบาปคิดยังไงเมื่อเห็นนักโทษหน่วยสุญญตาที่ก่อนนี้ยังเป็นเชลยอยู่เลยโดยทำอะไรไม่ได้ นี่ชักสับสนจริงว่าใครเป็นเชลยกันแน่?’
‘การพลิกคว่ำโต๊ะอย่างนี้ไร้สาระจริงๆ’
แดนบาปลืมความรุ่งเรืองของบรรพบุรุษพวกเขาไปแล้ว และจิตวิญญาณในการขยายตัวและพัฒนาได้หายไปในช่วงเวลาสองรุ่น นานเท่าใดแล้วตั้งแต่แดนบาปเพิ่มจำนวนเมืองมากขึ้น
ดังนั้นเขาจึงชอบมองสมาชิกหน่วยสุญญตาจากที่ไกล เพียงแค่มองดูพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความหวัง หัวใจของเขาที่มีหมอกควันรุมล้อมเหมือนกับได้เห็นแสงตะวันได้ในที่สุด
แดนบาปที่จมอยู่กับปลักความเลวร้าย แดนบาปที่สูญเสียความมุ่งมั่น แดนบาปที่กำลังดิ้นรนที่ปากประตูแห่งความตายเหมือนกับต้นไม้ผุที่อ่อนแอ
เพียงแต่จากภายในเถ้าถ่านยังอาจมีความหวังให้ต้นกล้าใหม่งอกงามขึ้น
แต่น่าเสียดายนายท่านไม่มีความสนใจในแดนบาป สวี่เย่ถอนหายใจในใจ ‘ตระกูลต่างๆ ในแดนบาปมีความระมัดระวังตัวต่อนายท่านมาก แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่านายท่านไม่มีความมุ่งหวังต่อแดนบาปแม้แต่น้อย
‘นายท่านไม่เคยปิดบังความตั้งใจของเขา เขาแค่ต้องการนำหน่วยสุญญตากลับไปยังดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ จากสิ่งที่เขาบอกได้ มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าที่นั่นจะต้องมีสงครามใหญ่’
เขาส่ายศีรษะ และทิ้งความคิดส่วนเกินออกไปทั้งหมด ‘ข้าควรคิดหาวิธีทำให้นายท่านยอมไว้วางใจข้า’
พวกเขาเสร็จสิ้นงานรับมอบสมาชิกหน่วยสุญญตาจากเมืองม้าบินอย่างสมบูรณ์แบบเป็นเรื่องเกินคาด แต่สวี่เย่รู้ว่านี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาทำงานหนัก แต่เพราะการข่มขู่ที่นายท่านแสดงออกไป ขอเพียงสามารถทำภารกิจของพวกเขาให้สำเร็จ เพราะไม่ใช่สิ่งที่นายพวกเขาสรรเสริญ
สวี่เย่ลุกขึ้นยืนทันที เขารู้สึกว่ามีบางคนจับตาดู
หน่วยสอดแนมที่มาในช่วงสองวันนี้มีความชัดเจนมากขึ้น หน่วยสอดแนมเหล่านี้ทุกคนมาจากสถานที่ต่างๆ มีอยู่หลายคนที่ทำให้สวี่เย่ประหลาดใจ
เมืองม้าบินและสี่เมืองใหญ่เป็นเพื่อนบ้าน ด้วยกองทัพทหารที่ฝึกฝนอย่างดี 2000คนเปลี่ยนแปรได้ แล้วสี่เมืองใหญ่จะไม่กังวลได้ยังไง
ความแตกต่างระหว่างเนี่ยชิวสวี่เย่ก็คือสวี่เย่เข้าใจได้ดีว่าระดับเบื้องสูงของแดนบาปจะปฏิบัติการอย่างไร
สี่เมืองใหญ่จะไม่ลงมือโดยตรงแน่นอน พวกเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับกองทัพ และพวกเขาจะไม่มีทางเสี่ยงเช่นนั้น นอกจากพวกที่จับตาอยู่รอบๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเมืองใหญ่
‘พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?’
เขาขมวดคิ้ว ประกายตาของเขามีแววกังวล เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เขาเป็นปฏิปักษ์กับสี่เมืองใหญ่ซึ่งมีพลังน่กลัวเมื่อคิดเช่นนั้ สวี่เย่อดหัวเราะไม่ได้ เมืองจื่อจวนเป็นแค่เมืองปลีกย่อย และตระกูลฉินตอนนั้นเป็นเหมือนภูผาเด่นที่ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ เขาไม่มีทางข้ามผ่าน เขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้คุกคามสี่เมืองใหญ่ได้
เมื่อคิดเกี่ยวกับอำนาจพลังที่สี่เมืองใหญ่ยืดครอง หน้าของสวี่เย่จริงจัง
‘พวกเขานับเป็นผู้เหี้ยมหาญทรงอิทธิพลของแดนบาปและทุกที่ที่แดนบาปมีคนก็จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา’
‘พวกเขาจะทำยังไง?’
********************
“โชคไม่ดีเลย!” หน้าของจงหลีไป๋บิดเบี้ยวน่าเกลียดเขาถ่มน้ำลายอย่างไม่พอใจ รังสีอำมหิตเพิ่มพูน
พวกเขาเพียงปิดล้อมฐานที่มั่นบนภูเขา ศัตรูล่อหลอกเขาและทำเป็นแกล้งยอมแพ้ ทำให้คนของจงหลีไป๋บาดเจ็บไปมากเมื่อเผชิญหน้าต่อความตายแผนของเขาล้มเหลว ศัตรูถึงกับหน้าซีดผลที่ตามมาคงสุดจะคาดคิด
“ทุกๆสิบคนให้ฆ่าหนึ่ง”
จงหลีไป๋พูดอย่างไม่แยแส บริวารของเขาลุยเข้าหากลุ่มเชลยที่กรีดร้องโหยหวนไม่มีที่สิ้นสุดจงหลีไป๋ไม่สนใจพวกเขา พวกเขามีกันมากมายหลายคน และถ้าเขาไม่ต้องการกำลังของพวกเขา เขาจะฆ่าให้หมด
จงหลีไป๋ที่ได้รับการศึกษาที่สมควรจากสถาบันการศึกษาไม่ชอบโจรและขโมย
แต่ตอนนี้เขาไม่ต่างจากโจรป่าและกองกำลังของเขาเพิ่มมากขึ้นจนเกินสองหมื่นคน ทั่วทั้งภูเขาถูกเขาเก็บกวาดเรียบ และโจรทั้งหมดตกอยู่ภายในบัญชาการของเขา
จำนวนดูเหมือนมาก แต่ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาไม่ต่างจากกระสุนมนุษย์
สิ่งที่ทำให้เขาน่าเกลียดน่ากลัวมากขึ้นก็คือการสู้รบในเมืองพายุทำให้ชื่อเสียงของเจ้านายทะยานขึ้นและปล่อยให้เนี่ยชิวได้ประโยชน์จากสถานการณ์ได้ยินว่าตอนนี้สมาชิกหน่วยสุญญตาอยู่ใต้บังคับบัญชาถึงสองพันคนแล้ว
“คนตาบอดนั่นล้ำหน้าข้าไปแล้วจริงๆ’ จงหลี่ไป๋รู้สึกย่ำแย่ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่ก็คือความก้าวหน้าของเจ้านายมากมายทำให้แผนการใหญ่ของเขาเหมือนกับเป็นตัวตลก
‘ไล่ตามความเร็วของนายท่าน ก่อนที่แผนของข้าจะได้สำเร็จ พวกเขาก็คงได้รับหน่วยสุญญตาทั้งหมดแน่’
‘ข้าได้ริเริ่มจะดึงคนออกมา ได้แต่วิ่งเต้นไปโดยไม่มีอะไรและ ข้าจะกลับไปด้วยมือเปล่าได้ยังไง? ข้าทำอะไรได้สำเร็จบ้าง? โอว ข้ากวาดล้างภูเขาและฆ่าพวกโจรสร้างความดีความชอบให้กับแดนบาป ทำให้พวกเขาปลอดภัย...’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น จงหลี่ไป๋อยากปิดหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
ขณะนั้นเองหน่วยสอดแนมคนหนึ่งวิ่งมาหาอย่างกระวนกระวาย “นายท่าน, เกิดเรื่องแล้ว!”