(ฟรี) บทที่ 135 ขอบเขตมีไว้ให้อัจฉริยะก้าวข้าม!
อวี้เย่รู้สึกว่าสิ่งต่างๆเป็นปัญหาเล็กน้อย
เริ่มจากศิษย์สายตรงของสถาบันเทียนซู หัวหน้าศิษย์ของศาลาหมื่นดาบ แม่มดแห่งนิกายเหอหวน จากนั้นก็บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารโหยวหลัว!
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะจากนิกายชั้นนำและมีภูมิหลังที่ทรงพลัง!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เขาคงไม่สามารถอาศัยอยู่ในดินแดนอันกว้างใหญ่ได้!
แผนของเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ด้วยพื้นฐานการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ เขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้อย่างแน่นอน
“ไม่ ข้าต้องไม่ปล่อยพวกมันไป!”
สัมผัสสวรรค์ของอวี้เย่ล็อคไว้ที่เยว่เจียนหลี่และฉินหรูเหยียน จากนั้นในขณะที่เขากำลังจะไล่ตามพวกนางและฆ่าทิ้ง กำปั้นที่ส่องแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
ปัง!
กำปั้นทุบเข้ามาในหมอกดำ ส่งเขากระเด็นออกไปทันที!
—
หลินหลางเยว่มองไปที่ไป๋เจียงเย่อย่างระแวดระวัง
แม้ว่าฆาตกรคนนี้จะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่จากการพูดคุยกับอวี้เย่ นางก็สามารถยืนยันได้ว่าทั้งสองคนมีข้อตกลงบางอย่าง
หลี่หรานกำลังต่อสู้กับขอบเขตเทวะแปรผัน นางต้องจับตาดูไป๋เจียงเย่ให้ดีและไม่ปล่อยให้เขาลอบโจมตี!
“ไป๋เจียงเย่ เจ้าต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี หากเจ้ายืนอยู่ฝั่งนั้น เจ้าจะทำให้ทั้งวิถีธรรมและวิถีมารขุ่นเคือง!” หลินหลางเยว่กล่าว
ไป๋เจียงเย่มองนางและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังถ่วงเวลาและพยายามฟื้นฟูพลังปราณ”
สีหน้าของหลินหลางเยว่แข็งทื่อ
นั่นเป็นความคิดของนางจริงๆ
ไป๋เจียงเย่ส่ายหัว “ไม่จำเป็นหรอก เพราะข้าจะไม่เคลื่อนไหว”
“หืม?” หลินหลางเยว่ตกตะลึง “แล้วเหตุใดเจ้าถึงร่วมมือกับอวี้เย่?”
ไป๋เจียงเย่ยักไหล่ “แต่เดิมข้าคิดว่าผู้บ่มเพาะเหล่านั้นคงจะไม่สามารถต้านทานคลื่นสัตว์อสูรได้และจะได้เห็นการตายของสิ่งมีชีวิตนับแสนด้วยตาของข้าเอง สิ่งนั้นจะทำให้เต๋าแห่งการฆ่าฟันของข้าพัฒนา! ช่างน่าเสียดาย…”
เขาส่ายหัวและถอนหายใจ สีหน้าของเขาดูเศร้าโศกมาก
หลินหลางเยว่เข้าใจ
น่าเสียดายที่มีหลี่หรานอยู่ ชายผู้นี้อาศัยพละกำลังอันเหนือล้ำของเขาเพื่อพลิกกระแสของการต่อสู้ เขาเอาชนะคลื่นสัตว์อสูรอย่างเด็ดขาดและทำให้ไป๋เจียงเย่เปลี่ยนใจ
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินหลางเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
ตามที่คาดไว้ ศิษย์ของนิกายเซิงอวี่ล้วนเป็นพวกวิปริตไร้มนุษยธรรม!
“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่เคยเคลื่อนไหว...”
ไป๋เจียงเย่มองไปที่หลี่หราน “อวี้เย่อยู่ในขอบเขตเทวะแปรผัน แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ เขาแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าที่จะหนี”
“แต่หลี่หรานนั้นต่างออกไป...”
“เขาแข็งแกร่งเกินไป ข้าไม่มีแม้แต่ความมั่นใจที่จะหนีจากเขา”
หลินหลางเยว่ตกตะลึง
ในสายตาของไป๋เจียงเย่ หลี่หรานทรงพลังเสียยิ่งกว่าอวี้เย่?
ต้องรู้ก่อนว่าพวกเขาสองคนอยู่คนละขอบเขตกันด้วยซ้ำ!
ไป๋เจียงเย่มองผ่านความคิดของนางและยิ้ม “ตอนที่ข้ายังอยู่ที่ขอบเขตแก่นทองคำ ข้าฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณมาแล้ว ฉะนั้นเหตุใดขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณของหลี่หรานจะไม่สามารถฆ่าเขาได้ล่ะ?”
ขอบเขตมีไว้ให้อัจฉริยะก้าวข้าม!
พวกเขามองไปที่ร่างทั้งสองที่กำลังต่อสู้กัน
“เจ้าวางแผนจะทำยังไงถ้าหลี่หรานชนะ?”
ไป๋เจียงเย่กล่าวว่า “ก่อนจะถึงตอนนั้นข้าจะวิ่งหนีก่อน”
“……”
หลินหลางเยว่กลืนเม็ดเยาลงไปหนึ่งกำมือและพยายามฟื้นฟูพลังปราณของนาง
แม้ว่านางจะไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ แต่ถ้าหลี่หรานไม่สามารถเอาชนะได้จริงๆ นางจะเข้าไปช่วยเขาแม้จะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม!
—
บูม!
กำปั้นของหลี่หรานลอยไปตามสายลมขณะที่มันพุ่งเข้าหาใบหน้าของอวี้เย่ราวกับสายฟ้า!
หมัดสยบมารถูกเปิดใช้งานจนถึงขีดสุด มือของเขากลายเป็นโปร่งใส แม้แต่กระดูกและเส้นชีพจรของเขาก็สามารถมองเห็นได้!
อีกฝ่ายอยู่ที่ขอบเขตเทวะแปรผัน จิตวิญญาณของเขาทรงพลังและทักษะเต๋าของเขาก็คาดเดาไม่ได้
ถ้าเขารักษาระยะห่างออกไป มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ
ดังนั้นหลี่หรานจึงเลือกที่จะต่อสู้ระยะประชิดโดยตั้งใจที่จะทุบทำลายเขาจนตาย!
การตัดสินใจของเขาไม่ผิด
เนื่องจากอวี้เย่ถูกกัดกร่อนโดยปราณหยินมาตลอดทั้งปี ความแข็งแกร่งทางร่างกายจึงเป็นจุดอ่อนของเขา
แสงสีขาวจากกำปั้นของหลี่หรานมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยับยั้งหมอกดำกลืนกินวิญญาณได้อย่างมาก!
“เจ้านี่มันแปลกจริงๆ”
หมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นบนใบหน้าของอวี้เย่ เขาเปล่งเสียงหัวเราะแปลกๆออกมา “ยังไงก็ตาม เจ้าไม่ได้เข้าใจเลยว่าขอบเขตเทวะแปรผันที่แท้จริงเป็นยังไง!”
ร่างของเขาสลายเป็นหมอกสีดำและก่อตัวขึ้นอีกครั้งไม่ไกลออกไป
“ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน เช่นนั้นแล้วสตรีพวกนั้นจะหนีไปไหนไม่ได้!”
มือของอวี้เย่กดลงกับพื้น ทำให้พื้นดินตรงหน้าเขาสั่นสะเทือน
หมอกสีดำบุกเข้าไปในดินเหลืองที่เหี่ยวเฉา และมันกลายเป็นหนองน้ำที่พวยพุ่งออกมา!
หนองน้ำสีดำเดือดพล่านราวกับน้ำร้อน วิญญาณนับไม่ถ้วนดิ้นรนและล่องลอยอยู่ในนั้น
ในสายตาของพวกมัน หลี่หรานเป็นเหมือนอาหารอันโอชะ
พวกมันดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งขณะกระโจนเข้าหาเขาพร้อมปล่อยเสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึงกลัว!
หนองน้ำขยายตัวอย่างรวดเร็วและมาถึงเท้าของหลี่หรานในทันที...
หลี่หรานขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะบินขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นก็มีแรงดูดมหาศาลดึงเขาไว้ เป็นผลให้เขาไม่สามารถบินได้
พลังปราณในบริเวณนี้ดูเหมือนจะถูกปนเปื้อน
วิญญาณชั่วร้ายจับข้อเท้าของเขาและลากเขาลงไปในหนองน้ำ
ในชั่วพริบตา ร่างกายทั้งหมดของหลี่หรานก็จมลง
“หลี่หราน!”
เมื่อหลินหลางเยว่เห็นสิ่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา
อวี้เย่หัวเราะอย่างชั่วร้าย “ไม่มีใครรอดออกมาได้หลังจากถูกลากเข้าไปในบึงทมิฬต้องสาป ดังนั้นจงเชื่อฟังและกลายเป็นอาหารให้วิญญาณร้ายแต่โดยดี!”
หลินหลางเยว่ไม่สนใจพลังปราณที่ขาดห้วงของนางบินไปที่หนองน้ำ
นางต้องการดึงหลี่หรานออกมา
อวี้เย่ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ช่างน่าซึ้งใจเสียจริง! ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยก็แล้วกัน เห็นแก่ความพยายามของเจ้า จุ๊ จุ๊ จุ๊ จุ๊ จุ๊...”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลงทันที และร่องรอยของความประหลาดใจก็ฉายเข้ามาในดวงตาของเขา
“นี่... เป็นไปได้ยังไง?!”
หนองน้ำสีดำบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงเมื่อแสงสีทองส่องสว่างขึ้นมาจากด้านล่าง วิญญาณร้ายร้องโหยหวนและหนีไปทุกทิศทุกทาง
บูม!
ร่างหนึ่งทะลุผ่านหนองน้ำ ทั้งตัวของเขาส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา
ร่างของหลี่หรานถูกปกคลุมด้วยแสงสีทอง และข้างหลังเขาคือบทสวดของพุทธะ
บูม บูม บูม!
เขายกมือขวาขึ้นและบทสวดก็สว่างขึ้นบนฝ่ามือของเขาขณะที่แสงพุทธอันไร้ขอบเขตพุ่งออกมาราวกับพายุฝนสีทองที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า!
วิญญาณร้ายกลายเป็นเถ้าถ่านขณะที่พวกมันร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง
หลี่หรานมองไปที่อวี้เย่ และปากของเขาก็แสดงรอยยิ้มของปีศาจ มันค่อนข้างขัดกับแสงของพุทธที่กำลังส่องสว่าง
“มีใครบอกไหมว่าเสียงหัวเราะของเจ้ามันน่ารำคาญ?”
อวี้เย่กลืนน้ำลายด้วยความไม่เชื่อ “เจ้ามีพลังพุทธะบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ยังไง? เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับวิหารอู่หวาง?”
“ข้าเรียนรู้มันด้วยตัวเอง”
ราวกับสายฟ้าแลบ เขาพุ่งไปหาอวี้เย่
อวี้เย่ร้องออกมา พยายามที่จะกลายเป็นหมอกสีดำและสลายไป
“อา!”
นิ้วของหลี่หรานก่อตัวเป็นผนึกที่หมุนวนและแสงพุทธะที่พร่างพราวก็ส่องสว่างออกมาจากร่างของเขา
ในชั่วพริบตา ราวกับเวลาถูกหยุดลง
อวี้เย่รู้สึกว่าจิตใจของเขากลายเป็นเอื่อยเฉื่อย ราวกับว่าการขยับนิ้วเป็นเรื่องยากมาก เขาทำได้เพียงเฝ้าดูหลี่หรานวิ่งตรงเข้ามา
บูม!
หลี่หรานกระทืบหัวของเขาลงกับพื้น!
“หัวเราะต่อสิไอ้แก่ ไม่งั้นเจ้าคงไม่มีโอกาสแล้ว!”
/////