ตอนที่ 788 ดาบพิศวงจี๋เจ๋อ
ถังเทียนลืมเรื่องที่จี๋เจ๋อคิดอย่างสิ้นเชิง และแม้แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ
เมื่อเรือพู่พลิ้วลอยลงจอดที่เมืองพายุ เกิดความโกลาหลขึ้น เพียงแต่เมื่อทุกคนเห็นถังเทียนยืนอยู่บนกราบเรืออารมณ์ของชาวเมืองพายุก็สงบลง หลังจากนั้นก็มีเสียงฮือฮาแตกตื่นขึ้นอีก
เรือพู่พลิ้วไม่ใช่เรือไร้ชื่อ แต่กลับเป็นเรือที่มีชื่อเสียงมาก มีเรือเพียงไม่กี่ลำในแดนบาป เพราะวัสดุสร้างมีจำกัด แดนบาปเองเป็นดินแดนแห้งแล้งยากไร้ วัตถุดิบยากเติบโต มีเพียงไม่กี่อย่าง ลำเรือขนาดมหึมาก็หมายความว่าต้องใช้วัสดุที่เกี่ยวข้องนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงมีราคาแพง เหตุผลที่กองคาราวานเป็นที่นิยมมากเป็นเพราะเรือหาได้ยากมากและมีเพียงตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจผลิตออกมา
เรือใหญ่ที่กำลังบินอยู่ในท้องฟ้ากลายเป็นเป้าหมายของหลายตระกูล
เรือพู่พลิ้วเป็นเรือที่มีศักดิ์ศรีและชื่อเสียงและนอกจากมาจากตระกูลซู ยังเป็นที่รู้จักกันในเรื่องความอลังการ บรรดาเรือในแดนบาปทั้งหมด เรือพู่พลิ้วได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในสามเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
รูโหว่ใหญ่สองรูที่ด้านข้างและกลิ่นคาวเลือดบ่งชี้ว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น
‘นายท่านยึดเรือพู่พลิ้วได้จริงๆ!’
ฝูเจิ้งจือและคนที่คนที่เหลือตกใจยืนตะลึง
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจหนักมากขึ้นก็คือคนที่ตามออกมาเชลยที่แต่งชุดงดงามมีสีหน้าเสียใจและจริงใจเดินออกจากเรืออย่างเป็นธรรมชาติตลอดกระบวนการ ไม่มีใครส่งเสียง ไม่มีเสียงฮือฮา ไม่มีใครกบฏหรือตั้งใจต่อต้านใดๆ
ฝูเจิ้งจือได้ขึ้นเรือและเห็นศพและเลือดและเมื่อเขาเห็นว่าเรือเป็นของใคร จากนั้นทุกคนตระหนักได้ว่าซูชิงถูกเจ้านายพวกเขาฆ่าตาย
ทุกคนมองหน้ากันและกัน
แม้ก่อนที่เขาจะขึ้นเรือ ฝูเจิ้งจือก็เดาได้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อเขาเห็นศพของซูชิงเขาอดเบือนหน้าไม่ได้
หลังจากต่อสู้เมื่อสองสามวันก่อน ฝูเจิ้งจือยังรู้สึกไม่สบายใจที่เขายอมแพ้แต่หลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงของท่านหน้ากากผีที่ผ่านมาสองสามวัน เขาไม่มีความรู้สึกต่อต้านในใจอีกต่อไป การแสดงศักยภาพที่น่ากลัวของท่านหน้ากากผีทำให้ทุกคนเห็นอนาคตที่สุกใส ‘จริงสิไม่ใช่เรื่องของศักยภาพอีกต่อไป แม้แต่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันนี้ของท่านหน้ากากผีก็เพียงพอเขย่าไปทั่วแดนบาปแล้ว’
เรือพู่พลิ้วที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาคือเครื่องพิสูจน์
สายตาของฝูเจิ้งจือกวาดผ่านไปที่เชลย ซูชิงเองไม่ใช่ยอดฝีมือ และเขาต้องพึ่งพิงยอดฝีมือที่แท้จริง เมื่อเขาเห็นบุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่ง ตาของเขา ตาของเขาให้ความสนใจ
อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกได้ถึงสายตาเขาและหันมามองเขา ก่อนที่จะรั้งสายตากลับไปที่ท่านหน้ากากผี
เพียงแค่เหลือบมอง แต่ก็ทำให้หน้าของฝูเจิ้งจือเปลี่ยน หัวใจของเขาเย็นยะเยือกทันทีเป็นสายตาที่คมราวกับดาบ และเป็นความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆแปลกประหลาดเหมือนกับหมาป่าเดียวดายเที่ยวไปตามลำพังในราตรีเต็มไปด้วยรัศมีอันตราย
‘คนผู้นี้ไม่ใช่นักสู้ไร้ชื่อแน่!’
ฝูเจิ้งจือเตรียมจะเตือนนายท่านให้ระวังเขา เมื่อเขาได้ยินใครบางคนขอคำแนะนำอย่างประจบ
“นายท่านหน้ากากผี ท่านต้องการให้จี๋เจ๋อทำสิ่งใด?”
ฝูเจิ้งจือจ้องดูบุรุษหนุ่มที่กำลังยืนต่อหน้าท่านหน้ากากผี ‘ไปได้แววตาเยือกเย็นแบบนี้มาจากไหน? เหมือนหมาป่าเดียวดายอะไรกันเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแค่สุนัขเฝ้าบ้านจอมประจบ! เด็กหนุ่มนี้สามารถเปลี่ยนสีหน้าของเขาได้ง่ายๆยังไงกัน? ความโกรธและความแค้นของเขาไม่ทราบมาจากไหน? บุรุษหนุ่มที่เหมือนใจร้อนนี้มาจากไหน? เขามีประสบการณ์มากอย่างนี้ได้ยังไง? เราอายุปูนไหนแล้วยังคงช่วยเรื่องอย่างนี้....’
‘เดี๋ยวก่อน!’
‘จี๋เจ๋อ? บุรุษผู้นั้นเรียกตัวเองว่าจี๋เจ๋อ?’
ตาของฝูเจิ้งจือเบิกกว้าง และเหงื่อเยียบเย็นหลั่งจนเต็มหลังของเขา
‘จี๋เจ๋อ!’
‘ดาบพิศวงจี๋เจ๋อ!’
ลำดับสามในสิบสองคนโฉดชั้นหนึ่งจี๋เจ๋อดาบพิศวงผู้มีตำนานยิ่งใหญ่ จี๋เจ๋อได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ปกครองคนโฉดในช่วงสิบปี!
หน้าของฝูเจิ้งจือเต็มไปด้วยความตกใจ
นอกจากคนโฉดอื่นอย่างโอคุมซึ่งเป็นอันดับห้าและแม้ว่าความแตกต่างจะมีแค่สองอันดับ แต่ฝูเจิ้งจือรู้ชัดถึงความแตกต่างสิ้นเชิงระหว่างทั้งสอง สิบสองคนโฉดชั้นหนึ่งผู้เป็นตำนานยิ่งใหญ่ความแตกต่างระหว่างสามอันดับสุดยอดจะต่างพลังกันมาก และทั้งสามนี้อาจแบ่งเป็นนักสู้ที่มีมาตรฐานต่างกันอันดับสามจี๋เจ๋อกับอันดับสี่สั่วหลินไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้รับความนิยมเพียงไหน ในเรื่องพลังของพวกเขามีความแตกต่างกันมาก แต่ระหว่างอันดับสี่และอันดับสิบสองความแตกต่างไม่มาก
สามอันดับแรกอยู่เหนือที่เหลือห่างไกล
แต่จี๋เจ๋อผู้มีอายุ 25ปีสามารถก้าวขึ้นสู่สามสุดยอดของคนโฉดชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงถูกจับตามองในฐานะบุรุษผู้สามารถยึดตำแหน่งอันดับหนึ่งได้และควบคุมกลุ่มคนโฉดได้ในอีกสิบปี ส่วนสองอันดับสุดยอดอายุเกิน 50 ทั้งคู่และเริ่มจะตกต่ำลง ขณะที่จี๋เจ๋ออายุ 25ปียังมีหนทางยาวนานก่อนจะขึ้นสู่จุดสูงสุด
นอกจากชื่อของคนโฉดอันดับหนึ่งในอนาคตแล้ว แม้แต่ในชื่อของทำเนียบสุดยอดนักสู้แดนบาปหลายคนเชื่อว่าภายในสิบปี จี๋เจ๋อจะถากถางหนทางขึ้นสามอันดับสุดยอดได้
ต้องรู้ว่าเมื่อฝูเจิ้งจือตระหนักว่าเด็กหนุ่มที่ชั่วร้ายและน่ากลัวอยู่ต่อหน้าเขาคือดาบพิศวงจี๋เจ๋อ เขาตกใจอย่างหนัก ฝูเจิ้งจือเองก็เป็นนักสู้คนหนึ่งในรายชื่อทำเนียบนักสู้ แต่เขารู้ชัดความแตกต่างในเรื่องพลังระหว่างเขาเองกับจี๋เจ๋อ ที่ระดับของพวกเขา การจะได้รับพลังเพิ่มเติมเป็นเรื่องที่ยากมาก
แน่นอน ท่านหน้ากากผียกเว้นไว้
‘ความก้าวหน้าของท่านหน้ากากผีในช่วงสองสามวันนี้เหลือเชื่ออย่างแท้จริง’
เมื่อนึกถึงท่านหน้ากากผีแล้วทั้งยังตกใจจากเรื่องดาบพิศวงจี๋เจ๋อหนักขึ้นอีก ‘ไม่ว่าจี๋เจ๋อจะแข็งแกร่งยังไงเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าท่านหน้ากากผี และไม่ว่าเขาจะมีศักยภาพมากเพียงไหนก็ไม่มากไปกว่านายท่าน
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นได้แล้วฝูเจิ้งจือสงบลงได้
ถังเทียนถอดเกาะเทพเจ้าและภาพการมองของเขาค่อยๆกลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง เขาออกจากสภาพใจที่แปลกประหลาดนั้นกระบี่อมตะบนมุทรากระบี่กำสรวลที่มือเทพอสูรในตัวเขาปล่อยพลังผันผวนชั้นแล้วชั้นเล่าซึ่งเป็นเหมือนกับมือที่มองไม่เห็นนวดเฟ้นตัวเขาไปทุกตารางนิ้ว ทำให้เขารู้สึกสบายจนบอกไม่ถูก
‘ใครจะรู้กันว่ากระบี่อมตะจะใช้บำบัดความเมื่อยล้าได้ นี่น่ายินดีอย่างคาดไม่ถึงถึงเลย’
พลังที่เกราะเทพเจ้ามีอยู่นั้นทรงพลังมาก แต่ก็สิ้นเปลืองพลังอย่างน่าประหลาดเช่นกัน ความจริงเกราะเทพเจ้าเป็นการค้นพบโดยบังเอิญขณะที่เขาบังคับตนเองให้เข้าสู่สภาวะวิกฤติ และมันดึงพลังถังเทียนออกมาเกือบ 95% หรือสูงกว่านั้น แค่ทำให้ถังเทียนอยู่ในสภาวะวิกฤติและให้เขาอยู่ในสภาวะตื่นรู้
แม้จะไม่อยู่ในสภาวะตื่นรู้ การควบคุมพลังของถังเทียนก็ถึงระดับผิดปกติผู้คนไปมาก บวกกับเกราะเทพเจ้าช่วยเพิ่มการควบคุมให้เขาทำให้การควบคุมกฎธรรมชาติของเขาเข้าถึงระดับใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถคงเอาไว้ได้นาน
เหมือนว่าพลังความสามารถในการควบคุมนี้ของถังเทียนเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าการควบคุมของถังเทียนในสภาพปลุกเกราะเทพเจ้าสามารถใช้พลังเพียงครึ่งหนึ่งของกายภายนอกของเขาแต่ความสามารถในการต่อสู้มากกว่าในอดีตหลายเท่า
ตอนแรกถังเทียนไม่สามารถถอดเกราะเทพเจ้าด้วยตนเองได้
แต่ตอนนี้เขาสามารถควบคุมพลังทุกส่วนในร่างกายได้ดีและโดยอาศัยเคล็ดเล็กน้อยเท่านั้น ความรู้แจ้งในกฎของเขาก็เพิ่มขึ้น และในที่สุดถังเทียนเรียนรู้วิธีควบคุมเกราะเต็มที่และวิธีถอดเกราะ
จี๋เจ๋อตกใจเจ้านายผู้ถอดเกราะเหมือนกับเทพตกสวรรค์ลงมาแล้วกลายเป็นมนุษย์ รังสีที่เร้าใจและน่าสะพรึงกลัวหายไปไม่เหลือร่องรอย
ใจของจี๋เจ๋อเริ่มมีความสงสัย
เมื่อเขารู้สึกถึงถังเทียนตอนอยู่บนเรือเหตุผลที่เขาถูกความตกใจครอบงำเป็นเพราะเขามีสัมผัสที่เฉียบแหลม ต่อหน้าคนอื่นเขาพบบุรุษหน้ากากผี เขารู้สึกถึงเขาได้แล้ว และเป็นเพราะความรู้สึกของเขาที่สามารถรู้สึกถึงอันตรายรุนแรงและรัศมีที่น่ากลัว
แต่ทันทีนั้น...
เจ้านายที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่มีอะไรที่ต่างจากบุรุษธรรมดา และเขาสามารถได้ยินเสียงหอบหายใจสูดอากาศราวกับว่าถังเทียนเหนื่อย
จี๋เจ๋อก้มหน้าและมองขาตนเอง สีหน้าของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนและเขายังคงอ่อนน้อมและแสดงความเคารพ แต่ดวงตาแคบยาวของเขาเป็นประกายเยือกเย็นและน่ากลัว
‘เจ้าตั้งใจทำท่าอ่อนแอเพื่อทดสอบข้าหรือ?’
‘เจ้าคิดว่าลูกไม้ตื้นๆ แบบนั้นจะหลอกข้าได้? ไร้เดียงสาเหลือเกิน!’
‘ข้าคือดาบพิศวงจี๋เจ๋อ!’
‘ข้าชอบเป็นหมาป่าเดียวดาย ข้าอดทนและเจ้าเล่ห์ ตราบใดที่ข้าอดทนเพียงพอ ข้าจะต้องหาจุดอ่อนและข้อบกพร่องของบุรุษหน้ากากผีเจอแน่, ถึงตอนนั้น...’
ทันใดนั้นใจของจี๋เจ๋อนึกถึงภาพที่ตัวเขาเองใช้ดาบพิศวงเสียบเข้าที่อกของบุรุษหน้ากากผี และบุรุษหน้ากากผีจะต้องแสดงอาการตกใจทำหน้าเหลือเชื่อและทำให้เขาตื่นเต้นมากจนแทบสั่นสะท้าน
‘ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ขอเพียงนักสู้ที่ทรงพลังอย่างบุรุษหน้ากากผีก็มีคุณสมบัติเป็นเหยื่อของข้า ดาบพิศวงได้!’
‘เพื่อชัยชนะนี้ ข้าจะจะต้องให้ตนเองยอมแพ้และรับความอัปยศ มันก็แค่สิ่งที่ผ่านไป ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกมึนชาต่อข้า’
‘แค่มึนงงนิดหน่อย!’ จี๋เจ๋อเบิกบานใจกับแผนการของเขา
เมื่อได้ยินการยอมตัวรับใช้ของจี๋เจ๋อ ถังเทียนสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมาทางฝูเจิ้งจือและกล่าว “หาบางอย่างให้เขาทำ”
จากนั้นเขาเดินจากไป
เขาปล่อยให้จี๋เจ๋อหลงใหลกับความคิดของเขา ‘ทดสอบใช่แล้วนี่คือการทดสอบ!’
หลังจากหลูเซิงเซียนหลบหนีไปพร้อมกับตระกูลหลู เมืองม้าบินตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ตระกูลหลูมักจะเป็นผู้นำของเมืองม้าบินเสมอ และไม่มีใครคาดว่าพวกเขาจะล่มสลายภายในคืนเดียว
พวกเขาไม่สามารถคิดได้ว่าใครกันที่สามารถสร้างความกลัวขนาดนั้นให้กับตระกูลหลู ความแตกตื่นอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้ครอบคลุมเมืองม้าบินจนถึงขนาดที่ตระกูลอื่นไม่มีอารมณ์จะแบ่งสมบัติที่ยังเหลือของตระกูลหลู ตระกูลทั้งหมดพยายามค้นหาข้อมูลและเมื่อพวกเขาได้ข้อมูลมากขึ้น พวกเขาก็ตกลงไปในความกลัวมากขึ้น
‘เป็นบุรุษหน้ากากผีและนักโทษหน่วยสุญญตาของเขา!’
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวว่าในการรบที่เมืองพายุที่บุรุษหน้ากากผีตะโกนบอก “ใครก็ตามกักขังบริวารของข้าจะต้องตาย!” ถูกส่งต่อมาที่พวกเขา ตระกูลที่เหลือทั้งหมดที่ยังมีนักโทษหน่วยสุญญตาพากันสั่นสะท้านด้วยความกลัว
ดังนั้นเมื่อเนี่ยชิวนำหน่วยสุญญตากวาดไปทั่วเมืองม้าบิน พวกเขาไม่พบกับการต่อต้าน ตระกูลต่างๆรออยู่ข้างนอกและต้อนรับหน่วยสุญญตาเข้าเมืองอย่างสมเกียรติ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นกองทัพกับตา และพวกเขาก็ถูกภาพบรรยากาศความน่าเกรงขามของหน่วยสุญญตาครอบงำจนวิญญาณของพวกเขาแทบกระเจิงออกจากร่าง
สำหรับเนี่ยชิว การเดินทางเข้าเมืองม้าบินเป็นเหมือนการเดินสวนสนามและพวกเขาไม่ได้เผชิญกับความยุ่งยาก
สมาชิกหน่วยสุญญตาทั้งหมดจากเมืองม้าบินกลับมาอย่างปลอดภัย พร้อมกับสมบัติกองเป็นภูเขาที่ได้รับมาจากตระกูลต่างๆ เป็นการแสดงความขอโทษ แต่เนี่ยชิวไม่สนใจเรื่องสมบัติ เขาใช้ตระกูลหลูเป็นค่ายทหารของพวกเขาเองและใช้ฝึกฝนอย่างจริงจัง
หลังจากได้สมาชิกหน่วยสุญญตากลับมาเพิ่ม พลังโดยรวมของหน่วยสุญญตาตกลงไป สมาชิกใหม่ต้องการเวลาและฝึกให้เข้ากันกับกระบวนของพวกเขา
เนี่ยชิวรู้ว่าปัญหานี้จะขัดขวางการทำงานของเขาในระยะยาว และตามคาดสองวันต่อมาตระกูลทั้งหมดในเมืองใกล้เคียง เมืองปี่เจ๋อและเมืองฉ่างอี๋ก็นำพาสมาชิกหน่วยสุญญตากลับมาให้ด้วยความเคารพ
การต่อสู้ในเมืองพายุและการหลบหนีของหลูเซิงเซียงทำให้ชื่อเสียงของบุรุษหน้ากากผีเพิ่มขึ้น และยังทำให้สมาชิกหน่วยสุญญตามีปัญหาอย่างหนึ่ง
เทียบกับคุณค่าของสมาชิกหน่วยสุญญตาแล้ว ชีวิตตระกูลต่างๆ สำคัญมากกว่าไม่มีใครต้องการกลายเป็นอย่างตระกูลหลูที่สอง
หน่วยสุญญตาหมีใหญ่ภายใต้การดูแลของเนี่ยชิวเพิ่มมากขึ้นเป็นสองพันคน
สี่เมืองใหญ่เริ่มรู้สึกกดดัน